ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 722
หนานหว่านเยียนไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของกู้โม่หานแต่อย่างใด นางจดจ่ออยู่กับการสอนหนังสือให้กับบุตรสาวเท่านั้น
ในตอนแรกเกี๊ยวน้อยยังตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือ แต่พอนานเข้า หนังตาก็เริ่มคล้อยลงเรื่อยๆ
อักษรเหล่านี้ราวกับดาราศาสตร์ก็ไม่ปาน เหตุใดถึงจำไม่เข้าหัวสักที ยิ่งพูดก็ยิ่งง่วง
หัวของนางสัปหงกราวกับลูกไก่ที่กำลังจิกเมล็ดข้าว ปากท่องพึมพำไม่เป็นประสา “อ๋อ อืม ใช่ ลูกเข้าใจแล้ว…”
หนานหว่านเยียนเห็นว่าบุตรสาวง่วงนอนแล้ว ก็เอื้อมมือลูบศีรษะของนางเบาๆ อดไม่ได้ที่จะถอนลมหายใจออกมา “ง่วงแล้วหรือ เช่นนั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน ไปนอนหลับได้แล้ว”
เกี๊ยวน้อยไม่ชอบเรียนหนังสือตำรา เรียนไปเพียงเดี๋ยวเดียวก็ง่วงนอนเสียแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตนางก็เป็นแบบนี้เสมอมา
“เพคะ…เพคะ…” เกี๊ยวน้อยที่กำลังง่วงนอนพยายามฝืนลืมตา หนานหว่านเยียนลุกขึ้นเตรียมจะอุ้มเกี๊ยวน้อยไปนอนที่เตียง
แต่ทว่าจู่ๆ กู้โม่หานกลับเข้ามาอุ้มเสียก่อน แขนที่แข็งแรงของเขาอุ้มเกี๊ยวน้อยไว้ในอ้อมกอดอย่างเบามือ
ใบหน้าที่ใสหมดจดของกู้โม่หานเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาจ้องมองหนานหว่านเยียนด้วยแววตาที่รุ่มร้อน พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว รีบเข้านอนเถิด”
หนานหว่านเยียนเห็นว่ากู้โม่หานยังอยู่ นางก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที แต่เพราะมีบุตรสาวอยู่ด้วย นางจึงลดเสียงให้อ่อนลง “เหตุใดฝ่าบาทถึงยังไม่ไปเสียที?”
กู้โม่หานไม่ได้สนใจความฉุนเฉียวของหนานหว่านเยียน เขาอุ้มเกี๊ยวน้อยพลางเดินไปที่ขอบเตียง “พวกเจ้าอยู่นี่กันหมด ข้าย่อมต้องนอนค้างที่นี่อยู่แล้ว”
จากนั้น เขาก็ก้มมองเกี๊ยวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทะนุถนอม “อานผิง เจ้าว่าอย่างไร”
เกี๊ยวน้อยหาวพร้อมกับตบปากไปพลาง จากนั้นก็จ้องมองเขาด้วยความงัวเงีย “ดีเพคะ”
“เสด็จแม่ ให้เสด็จพ่อนอนกับพวกข้าหนึ่งคืนเถิดนะเพคะ?”
ครั้นจะช่วยก็ต้องช่วยจวนจบ นี่เป็นเรื่องสุดท้ายในค่ำคืนนี้ที่นางจะช่วยเสด็จพ่อ
อีกอย่าง นางเองก็ยังไม่เคยนอนกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่มาก่อน
จึงรู้สึกสงสัยอย่างบอกไม่ถูก
ในใจหนานหว่านเยียนรู้สึกจุกขึ้นมาทันทีทันใด แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของเกี๊ยวน้อยแล้ว นางก็พูดอะไรไม่ออก
แต่พอเห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของกู้โม่หาน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังยิ้มหน้าระรื่นและภาคภูมิใจแค่ไหน ในใจก็อดโมโหเสียไม่ได้
ไม่ได้เจอกันสองเดือน ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกเปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวหรือ?
หากนางบอกว่าไม่ได้ บุตรสาวของนางจะเสียใจหรือไม่?
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่าควรรอให้ลูกหลับก่อน แล้วค่อยไล่เขาออกไป
“เกี๊ยวน้อย มานอนใกล้ๆ แม่”
หนานหว่านเยียนขึ้นไปบนเตียง กู้โม่หานวางเกี๊ยวน้อยข้างๆ นาง
หนานหว่านเยียนรีบดึงเกี๊ยวน้อยเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนทันที ทั้งนุ่มนิ่มและหอมอ่อนๆ สองเดือนแล้วที่นางไม่ได้นอนกับเกี๊ยวน้อย หนานหว่านเยียนหอมหน้าผากของนางเบาๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู ทั้งยังคอยระมัดระวังกู้โม่หานตลอดเวลาด้วย
กู้โม่หานรู้สึกถึงเจตนาร้ายของนางได้อย่างชัดเจน เจตนาร้ายแบบนี้ ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา แต่เหมือนกำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงอะไรบางอย่างกับเขาอย่างไรอย่างนั้น
เขาไม่ได้กังวลใจแต่อย่างใด หว่างคิ้วกลับดูผ่อนคลายขึ้นมาก เขาพลิกตัวไปนอนข้างๆ บุตรสาว พลางเอื้อมมือไปห่มผ้าให้กับหนานหว่านเยียนและเกี๊ยวน้อยอย่างเบามือ ตาหงส์หรี่เล็กจ้องมองไปยังเกี๊ยวน้อยด้วยรอยยิ้ม
“พ่อเล่านิทานให้เจ้าฟัง ดีหรือไม่”
เกี๊ยวน้อยกำลังจะตอบกลับ ทว่าหนานหว่านเยียนกับพูดขึ้นเสียก่อน “ก่อนนอนเกี๊ยวน้อยชอบฟังเพลง หม่อมฉันจะร้องเพลงกล่อมนางนอนเอง พระองค์ไม่ต้อง”
นี่คือบุตรสาวของนาง กู้โม่หานอย่ามาคิดใช้วิธีตีสนิท เอาอกเอาใจเสียให้ยาก!
กู้โม่หานเห็นสีหน้าท่าทีหวงลูกวัวของหนานหว่านเยียนแล้ว กลับไม่ได้รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความน่ารักที่อธิบายไม่ถูก
เขาเอื้อมไปห่มผ้านวมที่หลุดลงมาจากไหล่ของหนานหว่านเยียนอีกครั้ง ริมฝีปากเรียวบางโค้งงอเล็กน้อย ดูอบอุ่นและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
เกี๊ยวน้อยขยับเท้าไปมาด้วยความดีใจ “เย้! ในที่สุดลูกก็ได้ฟังเสด็จแม่ร้องเพลง!”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เวลาที่อยู่ตรงกลางระหว่างเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ความรู้สึกแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ซ้ายคือภูเขา ขวาคือแม่น้ำ ทั้งรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยในเวลาเดียวกัน
น่าเสียดายที่นางไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นัก หากซาลาเปาน้อยอยู่ด้วย คงจะคิดหาคำบรรยายที่ดีกว่านี้ได้
เกี้ยวน้อยนอนเงียบๆ อยู่บนเตียงอย่างสบายใจ
คนหนึ่งคอยตบไหล่กล่อมนางเบาๆ ส่วนอีกคนคอยลูบผมของนางอย่างอ่อนโยน พลางร้องเพลงกล่อมนางนอนหลับ
ห้วงเวลานี้ ในใจของนางรู้สึกหวานซ่านประหนึ่งกระปุกน้ำผึ้งหกก็ไม่ปาน จู่ๆ นางก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างเปี่ยมล้น
ดวงตาทั้งสองของนางค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ เริ่มสัมผัสความสุขของการมีพ่อและแม่ที่คอยอยู่เคียงข้าง
นางครุ่นคิด ต้องโทษพระเสด็จพ่อที่ก่อนหน้านี้ปฏิบัติไม่ดีต่อเสด็จแม่ ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นคุณค่าสตรีที่ดีเช่นเสด็จแม่ มิเช่นนั้น นางและซาลาเปาน้อยก็คงจะไม่ต้องแยกกับเสด็จแม่
ทว่านางกลับรู้สึกเห็นแก่ตัวเป็นอย่างมาก ความรู้สึกของการมีพ่อแม่นั้นไม่เลวทีเดียว ความรักที่มากเป็นสองเท่านั้นพลอยทำให้นางรู้สึกมีความสุขเป็นทวีคูณ หากน้องสาวอยู่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย…
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เกี๊ยวน้อยก็หลับตาสนิทลง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอ ในความฝัน นางฝันว่านางและซาลาเปาน้อยได้นอนกอดกันอยู่ตรงกลางระหว่างหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หาน
เสด็จแม่และเสด็จพ่อก็กล่อมพวกนางนอนเช่นนี้เหมือนกัน
นางยิ้มหวาน จากนั้นก็ค่อยๆ หลับใหลสู่นิทรา ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
เกี๊ยวน้อยนอนหลับอย่างสบายใจ หนานหว่านเยียนก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย “เกี๊ยวน้อยหลับแล้ว พระองค์กลับไปเถิด”
นางไม่มีทางให้เขาค้างแรมอย่างแน่นอน
หาดูได้ค่อนข้างยาก กู้โม่หานไม่ได้โต้แย้งนางแม้แต่คำเดียว แต่กลับลุกขึ้นพลางค่อยๆ ลงจากเตียงไปอย่างเบามือเบาเท้า
ชายผู้นี้ ในที่สุดก็รู้จักวางตัวแล้วหรือ
เมื่อคิดเช่นนี้ หนานหว่านเยียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก ปลดปล่อยความเหนื่อยล้าที่ท่วมท้นทั้งร่างกาย
นางกำลังจะจัดท่านอนของเกี๊ยวน้อยให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น แต่จู่ๆ เกี๊ยวน้อยก็ลอยขึ้นมากลางอากาศ เห็นเพียงกู้โม่หานที่กำลังอุ้มเกี๊ยวน้อยตรงไปยังเตียงเล็กที่อยู่ข้างๆ
ดวงตาคู่สวยของหนานหว่านเยียนสั่นเครือ รีบหยัดกายลุกขึ้นทันควัน นางขมวดคิ้วแน่นพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “กู้โม่หาน ทำอะไรน่ะ พระองค์อุ้มลูกไปทำไมกัน”
กู้โม่หานไม่ได้ตอบกลับ แต่ก้มหน้ามองเกี๊ยวน้อยที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนแทน เขาค่อยๆ วางเกี๊ยวน้อยนอนลงบนเตียงเล็กที่อยู่ข้างๆ แล้วจึงหยิบเอาผ้านวมผืนใหม่มาห่มให้นาง ปล่อยให้เกี๊ยวน้อยนอนตรงนั้นคนเดียว
จากนั้น กู้โม่หานก็หมุนตัวกลับมา เงาร่างสูงโปร่งที่อยู่ภายใต้แสงตะเกียง แลดูสูงใหญ่กว่าเดิมมาก ทว่ามองแล้วกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาเดินเข้ามาใกล้ขอบเตียงทีละก้าวอย่างช้าๆ ค่อยๆ เข้าใกล้นางเรื่อยๆ ตาหงส์ที่รียาวท่วมท้นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก
หนานหว่านเยียนมองดูเกี๊ยวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นก็หันไปมองสีหน้าท่าทีของกู้โม่หาน ก็รู้สึกได้เลยทันทีว่าไม่ชอบมาพากล
นางกุมท้องไว้พลางขยับถอยหลังกรูด แต่ด้านหลังของนางคือกำแพงที่เย็นเฉียบ ไม่มีที่จะให้ถอยหนี บุตรสาวของนางนอนหลับไปแล้ว นางย่อมไม่กล้าที่จะร้องตะโกนเสียงดัง จึงทำได้เพียงจ้องมองเขาด้วยความโมโหเท่านั้น
“กู้โม่หาน หมายความว่ายังไงกัน หม่อมฉันบอกไปแล้ว ว่าไม่ให้พระองค์นอนค้างที่นี่ อย่ามายั่วโมโหหม่อมฉันนะ…”
พึ่งจะพูดจบ กู้โม่หานก็ขึ้นมาบนเตียงพลางฉุดร่างของหนานหว่านเยียนเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น
กู้โม่หานไม่ได้สนใจการต่อต้านของนางแต่อย่างใด ปลายคางของเขาอยู่เหนือศีรษะของนาง เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บางเบาทว่าแหบพร่า
“หว่านเยียน ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้อยู่ในห้องบรรทมของฮองเฮาเป็นเรื่องปกติ จะให้ฮองเฮามาปรนนิบัติ ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน…”