ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 760
นางไม่ต้องการสนทนาวิสาสะกับเขาอีกแล้วจริงๆ วันนี้ประสบเหตุการณ์ผ่านเรื่องราวมากเกินไปแล้ว นางก็ไม่มีปัญญาทะเลาะวิวาทกับกู้โม่หานแล้วเช่นกัน อย่าว่าแต่ยังมีหยุนอี่ว์โหรวผู้ที่ตายโดยไม่น่าเสียดายอีกคน
นางไม่มีพลังจิตสมาธิแข็งแกร่งเช่นนี้
คิ้วของกู้โม่หานขมวดวูบ ตรงกลางหว่างคิ้วหมองคล้ำบดบังไว้ด้วยละอองเมฆหมอกสีดำ เขาขบริมฝีปากรีบเร่งพูดต้องการอธิบายว่า “ข้าหาได้หมายความเช่นนั้นไม่ ข้ามิเคย……”
เขาไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน อย่าว่าแต่เรื่องที่ต้องการหย่าร้างกับหยุนอี่ว์โหรวนี้ เขาก็เคยคิดวางแผนมาแต่แรกแล้วเช่นกัน
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่านางคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงเคารพการตัดสินใจของหยุนอี่ว์โหรวเสมอมา
ทว่าเขาไม่มีความรู้สึกรักใคร่ผูกพันต่อหยุนอี่ว์โหรว!
แต่หนานหว่านเยียนมิเคยให้โอกาสกู้โม่หานได้พูดจาอธิบาย นางจ้องมองกู้โม่หานตาเขม็งอย่างเย็นชา ริมฝีปากแดงเผยอขึ้นเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็เพราะตอนนี้ความจริงทั้งหมดถูกข้าเปิดโปงเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงรู้สึกว่าตัวเองได้ถูกหยุนอี่ว์โหรวเย้าหยอก หลอกลวงความรักน้ำใจไมตรี กระทบกระเทือนถึงศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจเคารพในตัวเองแล้ว ดังนั้นจึงมาเรียกร้องแสวงหาคำปลอบประโลมใจจากข้าในสถานที่นี้?”
“กู้โม่หาน ข้าขอบอกให้ท่านทราบเอาไว้ ท่านแสวงหาคนผิดแล้ว ข้าหาใช่ถังขยะที่จะลองรับฟังเศษซากสิ่งปฏิกูลน้ำเสียจากความรักของเจ้า อีกทั้งมิใช่วัตถุสิ่งของที่ท่านใช้แสวงหาศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจ ข้าขอเตือนท่านเป็นครั้งสุดท้าย——ข้าไม่เคยคิดต้องการ ยิ่งไม่ต้องการเห็นท่านอีกต่อไปแล้ว”
คำพูดที่นางกล่าวออกมานั้น ประดุจหนึ่งเข็มแหลมทิ่มแทงใส่หัวใจของกู้โม่หาน
แม้ว่าจะไม่เจ็บปวดรวดร้าวจนมิต้องการมีชีวิตอยู่ แต่การค่อยๆ เคี่ยวกรำทรมานเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนรู้สึกช่างเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสยากทนทานมากยิ่งกว่า
คลื่นความเย็นชาทะลักครอบคลุมใส่กู้โม่หานประดุจหนึ่งกระแสน้ำหลากก็มิปาน ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ สรรพสิ่งบริเวณโดยรอบล้วนเงียบสงัดจนน่าแปลกประหลาดมากถึงปานนั้น
เขาได้แต่จ้องมองดูหนานหว่านเยียนอยู่เช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกช่างไร้เรี่ยวแรงมิมีความสามารถถึงเพียงนี้
“หว่านเยียน ข้าไม่ทราบว่าเจ้าคิดเช่นใดกับข้า แต่ข้าต้องการบอกให้ท่านทราบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งหมด ล้วนเป็นข้าเองที่ผิดไปแล้ว ข้ายินยอมแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาไว้ทั้งหมด”
“เจ้าสามารถลงโทษข้าได้ตามที่ต้องการ ข้าล้วนตามใจเจ้าทุกอย่าง ถ้าหากเจ้าต้องการชีวิตของข้าละก็ ข้าก็จะประคองมอบให้ด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ว่าข้าไม่สามารถจะแบกรับผลลัพธ์ที่ต้องสูญเสียเจ้าไปหรอกนะ”
ขอบตาของเขาเป็นสีแดงก่ำอยู่บ้างแล้ว ยามที่จ้องมองดูหนานหว่านเยียนนั้น บนใบหน้าขาวเนียนหล่อเหลาสดใสคมคาย ถึงกับมีการลดตัวลงขอร้องอ้อนวอนอยู่บ้างแล้วหลายส่วน
“ท่านอย่าได้ปักใจกับข้า ได้หรือไม่?”
เปลือกตาของหนานหว่านเยียนสั่นกระพริบ พร้อมกับปลายนิ้วมือสีชมพูกำแน่นอย่างแทบสังเกตมิเห็น แต่กลับไม่ฟังคำพูดของกู้โม่หานแม้แต่น้อย
นางหันร่างจากไป เดินเข้าไปในตำหนักบรรทมแล้วปิดประตูลงอย่างเด็ดขาด เหลือเพียงคำพูดอันเย็นชาแค่คำเดียวเท่านั้น “ไสหัวไปเสียเถอะ”
ประตูห้องที่หนาและหนักตัดเสียงรบกวนจากนอกเรือนทั้งหมด หนานหว่านเยียนเดินโซเซอยู่บ้างกลับมาถึงเตียงนอน
แต่ใจของนางไม่ได้เจ็บปวดมากมายนัก นางเคยพบกับความสิ้นหวังอย่างใหญ่หลวงมาแล้ว นางจึงไม่ใส่ใจต่อความขุ่นข้องคับแค้นใจเล็กน้อยเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว
สถานการณ์ตอนนี้ ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นบทสรุปตอนจบซึ่งดีที่สุดแล้ว
หนานหว่านเยียนลูบคลำตรงบริเวณท้อง นางหลับตาลงแล้ว ไม่ต้องการไปครุ่นคิดเรื่องราวอันวุ่นวายยุ่งเหยิงสารพัด วันนี้นางเหน็ดเหนื่อยแล้ว นางต้องการการพักผ่อนให้ดีๆ
บริเวณนอกประตู กู้โม่หานยืนนิ่งอยู่ในที่เดิมด้วยความรู้สึกอันมึนงง ดวงตาทั้งสองเศร้าสร้อยและหมองหม่นเย็นเยียบ
เมื่อครู่นี้ตอนที่หนานหว่านเยียนปิดประตูนั้นได้นำมาซึ่งสายลมที่ค่อนข้างอบอุ่นอยู่บ้าง แต่กลับมิสามารถละลายความเหน็บหนาวภายในหัวใจของเขา
จิตใจที่ถูกทะลวงด้วยคำพูดบาดหัวใจนั้นยังคงกำลังหลั่งเลือดซิบๆ ออกมา ความรู้สึกชนิดนี้เหมือนเช่นมดนับพันนับหมื่นตัวกำลังคลานผ่านไป ทำให้เขารู้สึกทั้งด้านชาและยากจะทนทาน
กู้โม่หานพิงหน้าผากลงบนทับหลังของประตู ถูกกางกั้นไว้ด้วยประตูบานหนึ่ง เขาต้องการสัมผัสถึงอากาศที่หนานหว่านเยียนหายใจ และต้องการเข้าใจอารมณ์จิตใจของหนานหว่านเยียนในตอนนี้
แต่อีกด้านหนึ่งของประตูนั้นช่างเงียบสงัดจนน่ากลัว เขามิสามารถได้ยินอะไรทั้งสิ้น อีกทั้งมิสามารถสัมผัสอะไรทั้งมวล
สิ่งที่หนานหว่านเยียนเหลือไว้ให้เขาตอนหันร่างนั้น มีแต่เพียงสายตาที่รังเกียจเย็นชา และถ้อยคำที่เพียงพอทิ่มแทงทำร้ายหัวใจเขาให้บาดเจ็บ ในที่สุดเขาก็ได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดที่ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านขัดขืนแล้วเช่นกัน
กู้โม่หานหันหลังกลับไปพิงประตูและนั่งลงกับพื้นช้าๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูตำหนักหยูซินอันวุ่นวายยุ่งเหยิงด้วยสองตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ครุ่นคิดด้วยสติปัญญาอันหลักแหลม
ในช่วงเวลานี้เขาคล้ายดั่งจะเข้าใจแล้ว ตอนนั้นทุกคนต่างล้วนกล่าวหาว่าหนานหว่านเยียนได้ข่มเหงรังแกหยุนอี่ว์โหรว และเขาก็อยู่ข้างหยุนอี่ว์โหรวด้วยเช่นกัน ภาพลักษณ์ของหนานหว่านเยียนที่ทำอะไรมิถูกทั้งตื่นตระหนกตกใจและหวาดกลัวนั้น
เนื่องเพราะมิมีผู้ใดยินยอมเชื่อถือคำอธิบายทั้งหมด ดังนั้นนางจึงล้วนแสดงออกด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวหมดสิ้นเรี่ยวแรง
และเขาในเวลานี้ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลักษณะนี้เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหนานหว่านเยียนนั้น พังพินาศแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แต่แรกเนิ่นนานแล้ว เดิมก็เหลือเพียงสายใยเส้นนั้นที่ง่อนแง่นใกล้ร่วงหล่นเต็มที และในวันนี้ก็ถูกพวกเขาสองคนแยกออกจากกันแล้วด้วยน้ำมือตนเอง
ตั้งแต่นี้ไป ไม่ว่าเขาจะพูดและทำสิ่งใด หนานหว่านเยียนล้วนแล้วแต่จะรู้สึกว่าขุ่นข้องน่ารำคาญ เพียงคิดว่าเขาก็แค่พยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจของตัวเองกลับคืนมาบ้างเท่านั้น เพียงต้องการได้รับความพึงพอใจจากนางส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง
เขาคอตกก้มศีรษะลง ริมฝีปากบางของบุรุษนั้นยกยิ้มขึ้นอย่างขมขื่นเจ็บปวดรวดร้าวและเศร้าสร้อยเสียใจ คล้ายกับกำลังบ่นพึมพำเสียงต่ำ และก็เหมือนกับกำลังพูดสิ่งใดกับใครอยู่
“ที่แท้แล้ว กลับเป็นความรู้สึกในลักษณะเช่นนี้นั่นเอง……”
มีร้อยปากก็ยังมิสามารถอธิบาย รสชาติของหัวใจแตกสลายผิดหวังในรักนั้น ที่แท้แล้ว……คือความเจ็บปวดชอกช้ำอันขมขื่นทุกข์ทรมานแสนสาหัสลักษณะเช่นนี้เอง