ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 766
หนานหว่านเยียนฟังคำตอบของเกี๊ยวน้อยแล้ว สีหน้าแววตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนดั่งบุปผาสวยสดงดงามแห่งคิมหันตฤดู “ประเสริฐ มารดารับปากเจ้า รอให้ถึงเวลาพวกเจ้าพี่สาวน้องสาวทั้งสองเลี้ยงฉลองงานวันเกิด จะให้พวกเจ้าได้ทานอาหารรสชาติอร่อยด้วยกัน”
พลันเกี๊ยวน้อยก็ยินดีเบิกบานใจจนสองตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด “ดีฮะ! ขอบพระทัยท่านแม่ฮะ!”
แล้วนางก็คลอเคลียอย่างสนิทสนมใกล้ชิดภายในอ้อมแขนหนานหว่านเยียน กลิ่นอายที่แฝงกลิ่นน้ำนมหอมขจรตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้จิตใจของหนานหว่านเยียนก็สงบลงมาด้วยแล้วเช่นกัน
นางยิ้มแย้มพลางพินิจมองดูบุตรสาวแก้วตาดวงใจ ห้วงคำนึงกลับค่อยๆ ครุ่นคิดไปจนไกลแล้ว
นับตั้งแต่เข้าวังมา นางก็มิได้พบกับซาลาเปาน้อยอีกเลยเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะมีท่านน้าหรือหยุนเหิงและคนอื่นๆ คอยดูแลอยู่ แต่นางก็ยังคงห่วงใยลูกน้อยอยู่ดี ไม่ทราบว่าเวลานี้ซาลาเปาน้อยสบายดีหรือไม่
นอกจากนี้ เรื่องที่แคว้นต้าเซี่ยได้จัดเตรียมคณะทูตเดินทางมาแคว้นซีเหย่แล้ว ก็ต้องให้ท่านน้าได้รับทราบเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจำเป็นต้องออกวังไปพบหน้าพวกเขาสักคราโดยเร็วที่สุด……
มารดาและบุตรสาวสองคนรู้สึกจับเจ่าอย่างน่าเบื่ออยู่ภายในตำหนักบรรทม ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
จวบจนถึงเวลาเย็นย่ำสนธยา หวงไท่เฟยที่ได้ทราบว่าหนานหว่านเยียนตั้งครรภ์แล้ว ก็ได้ให้หวางหมัวมัวส่งของบำรุงร่างกายจำนวนมากมายอย่างยิ่ง มายังตำหนักหยูซินของหนานหว่านเยียนแล้ว
หวางหมัวมัวดึงตัวเซียงอวี้สองพี่น้องมากำชับเป็นเวลานานอย่างยิ่งก่อนแล้วจึงได้จากไป ทำเอาหนานหว่านเยียนก็ยังรู้สึกหัวร่อมิออกร่ำไห้มิได้อยู่บ้างเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน ไท่เฟยยังได้ส่งข้อควรระวังเกี่ยวกับสตรีมีครรภ์มากมายอย่างยิ่งให้กู้โม่หานแล้ว
กู้โม่หานนั่งอยู่คนเดียวภายในห้องอักษร แสงริบหรี่จากเปลวเทียนในห้องที่หนาวเย็นอบอุ่นมิกระจ่างนัก ส่องสะท้อนต้องใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ขาวผ่องเย็นชาของบุรุษนั้นจนน่ามองมากเป็นพิเศษ
คิ้วกระบี่ของเขาขมวดเล็กน้อย มุ่งมั่นตั้งอกตั้งใจอ่านสิ่งที่ไท่เฟยส่งมาทั้งหมดแล้วหลายรอบ ได้ทราบความรู้เสริมเพิ่มเติมเกี่ยวกับสตรีตั้งครรภ์มากมายขึ้นแล้วอย่างจริงจัง
บุรุษปิดหนังสือลงอย่างช้าๆ นิ้วมือที่ข้อกระดูกกระจ่างบีบนวดตรงบริเวณขมับ ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบหันด้านข้างให้ ขบคิดด้วยอารมณ์ที่รู้สึกหนักอึ้ง
ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เขาก็มิกล้าไปพบกับหนานหว่านเยียนอีกเลย และก็มิกล้าให้หนานหว่านเยียนได้ล่วงรู้โดยสิ้นเชิงว่าพวกหลิวซ่างซูและคนอื่นๆ พูดจาเรื่องชวนหงุดหงิดน่ารำคาญใจเหล่านั้น
อย่างมากก็คือตอนเวลาเที่ยงวัน เขาจะเรียกอวี๋เฟิงรุดมา ให้เขาไปยังร้านค้าแต่ละแห่งในเมืองหลวงหาซื้อพวกอาหารเบาๆ และของว่างที่หนานหว่านเยียนและเกี๊ยวน้อยชื่นขอบรับประทาน แล้วรอสักครู่จัดส่งไปให้พร้อมกับอาหารมื้อค่ำ
สามารถใคร่ครวญได้ว่าสิ่งที่เป็นความรักนี้ ยิ่งสะกดข่มไว้จิตใจก็ยิ่งเร่าร้อนมากขึ้น ยิ่งมีน้อยก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ตรึกตรองอย่างรอบคอบแล้ว บุรุษลุกขึ้นยืนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วออกจากห้องทรงพระอักษรไป มุ่งหน้าตรงไปทิศทางตำหนักหยูซินแล้ว……
ณ ภายในตำหนักหยูซิน แสงเทียนสว่างไสวอยู่เนืองนิตย์
หนานหว่านเยียนและเกี๊ยวน้อยในเวลานี้กำลังนั่งอยู่ตรงที่โต๊ะ ทั้งมารดาและบุตรสาวสองคนกำลังรับประทานของว่างที่อวี๋เฟิงนำมาอย่างยินดีมีความสุข
หน้าตาหนานหว่านเยียนยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนดั่งเช่นบุปผา มองดูอวี๋เฟิงพลางเอ่ยปากพูดล้อเล่นขึ้นว่า “ไฉนจู่ๆ เจ้าถึงได้คิดซื้ออาหารของกินอร่อยมากมายเช่นนี้ให้พวกข้าขึ้นมาล่ะ?”
อวี๋เฟิงเกาๆ หลังศีรษะอย่างเคอะเขิน สายตากลับชำเลืองมองไปยังประตูทางเข้าอย่างแนบเนียนไร้ร่องรอยพิรุธ
“เรื่องนี้ เรื่องนี้ยังมิใช่เพราะข้าน้อยรู้สึกว่าในช่วงหลายวันนี้อากาศช่างร้อนอบอ้าว เหนียงเหนียงท่านและองค์หญิงน้อยก็มิค่อยเจริญอาหารนัก สิ่งของที่คนครัวในห้องเครื่องเสวยปรุงขึ้นแม้ว่าจะมีลูกเล่นอย่างหลากหลาย แต่มักมิใคร่มีรสชาติอร่อยถูกปากเหมือนอย่างเช่นอาหารพื้นบ้านเหล่านี้ ก็จึงได้ถือวิสาสะไปซื้อของว่างมาแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นอาหารที่ท่านและองค์หญิงใหญ่ชื่นชอบรับประทานตอนนั้นที่อยู่ภายในจวนท่านอ๋องนั่นแหละ”
ผู้ที่สามารถขบคิดไตร่ตรองอย่างครอบคลุมรอบด้าน อีกทั้งจิตใจยังละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นองค์ฮ่องเต้แล้ว
เขาที่เป็นคนหยาบกร้านผู้หนึ่ง มิทราบอะไรเลยทั้งสิ้น ทั้งหมดล้วนกระทำไปตามพระกระแสรับสั่งขององค์ฮ่องเต้นั่นเอง
แต่องค์ฮ่องเต้ไม่ให้เขาพูด เขาก็สงบปากมิพูดถึงเช่นกัน
เซียงอวี้ที่อยู่ด้านข้างยิ้มแล้วผลักกระแทกใส่หัวไหล่ของอวี๋เฟิง “ดูไม่ออกว่า เจ้าก็ช่างเอาอกเอาใจผู้หญิงเก่งกาจยิ่งนัก ไฉนในยามปกติ มิเห็นเจ้ากระตือรือร้นเอาใจใส่ต่อข้าเช่นนี้บ้างเลยล่ะ?”
คำพูดเพิ่งจบลง หนานหว่านเยียนและเกี๊ยวน้อยต่างล้วนหัวเราะพรืดออกมาแล้วคำหนึ่ง
อีกทั้งเกี๊ยวน้อยก็มองดูเซียงอวี้ด้วยสีหน้าที่ช่างอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น แล้วคว้าขนมเค้กดอกท้อชิ้นหนึ่งมอบให้นาง ปิดปากแอบหัวเราะพูดว่า “พี่สาวเซียงอวี้อย่าโกรธเคืองเลยนะ! พี่ชายอวี๋เฟิงก็จริงๆ เลยน้า ซื้อสิ่งของฝากทั้งที ไฉนจึงขาดส่วนของพี่สาวเซียงอวี้ไปได้เล่า ชิ้วชิ้วน่าไม่อาย!”
เมื่ออวี๋เฟิงถูกเกี๊ยวน้อยเย้าหยอกเช่นนี้คราหนึ่ง พลันสีหน้าก็แดงก่ำไปถึงใบหูแล้วทันใด
“ข้า ข้าน้อยคิดขึ้นมาได้ว่ายังมีเรื่องราวส่วนหนึ่งต้องทำ ก็…ก็ต้องขอตัวไปก่อนแล้วพะย่ะค่ะ!”
ภายในเรือนพำนัก สตรีทั้งสามเห็นอวี๋เฟิงหลบหนีอย่างหมดท่าแล้ว ต่างล้วนอดที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
เซียงอวี้มองดูลักษณะการยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยนของหนานหว่านเยียนอย่างเงียบๆ สีหน้าแววตาลึกซึ้งอยู่บ้างเล็กน้อย
ถึงแม้นางก็ทราบเช่นกันว่าของว่างเหล่านี้ใครเป็นผู้ส่งมา แต่เพื่อให้องค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงสามารถลดการหมางเมินมีความปรองดองกันแล้ว นางก็เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ประเสริญกว่า
ภายนอกตำหนัก อวี๋เฟิงรีบเร่งปิดประตูลงอย่างลนลานลุกลี้ลุกลน เดินตรงไปยังด้านข้างแห่งหนึ่ง เขาโค้งกายคารวะต่อร่างกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่อยู่ภายในเงามืด
“ฮ่องเต้ สิ่งของล้วนส่งไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งฮองเฮาเหนียงเหนียงและองค์หญิงอานผิงล้วนเบิกบานใจมีความสุขอย่างยิ่ง”
ก้อนเมฆดำมืดครึ้มที่ลอยละล่องอ้อยอิ่งค่อยๆ เคลื่อนคล้อยผ่านไป ดวงจันทร์ที่ถูกเมฆาละอองหมอกบดบังเมื่อครู่นี้ค่อยๆ สาดแสงลงมา ส่องต้องบนใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายไม่มีที่ติของกู้โม่หานพอดี
บุรุษจ้องลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มเอาไว้ มองไปทางมารดาและบุตรสาวสองคนที่กำลังนั่งอยู่ในตำหนัก สีหน้ากลับราบเรียบสงบเงียบอย่างยิ่ง
คิ้วและดวงตาที่ยามปกติเหี้ยมหาญทะมึนและเย็นชา ยามนี้ล้วนถูกสายลมแผ่วละมุนโชยพัดผ่านปลอบโยนจนร่องรอยราบเรียบแล้ว เขายืนอยู่อย่างเงียบงันเช่นนั้นภายในความมืดเฝ้าจ้องมองดูภรรยาและบุตรสาวที่อยู่ภายใต้โคมไฟ ริมฝีปากบางเผยอส่วนโค้งอันพึงพอใจขึ้นมาวูบโดยมิรู้ตัว
เขาไม่กล้าไปพบนาง เกรงว่าจะกระทบกระเทือนต่อจิตใจนาง ได้แต่คอยเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ เช่นนี้ มองดูเพียงครู่เดียว เขาก็รู้สึกพึงพอใจแล้วเช่นกัน
ภายในตำหนัก หนานหว่านเยียนและเกี๊ยวน้อยที่ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย ภายใต้การปรนนิบัติของเซียงอวี้ กำลังรับประทานของว่างด้วยความเอร็ดอร่อยอย่างมีรสมีชาติ
เกี๊ยวน้อยเห็นว่าใช้ตะเกียบนั้นไม่สะดวก ก็ยื่นมือไปหยิบของกินโดยตรงแล้ว
เห็นแต่มือซ้ายของนางถือขนมเค้กดอกกุ้ยฮวา มือขวาถือขนมหมาฉือ(โมจิ)เอาไว้ กัดกินรับประทานคำแล้วคำเล่า โยกเท้าน้อยๆ ที่ห้อยอยู่ไปมา ยิ้มแย้มเริงร่าอย่างยินดีมีความสุขจนหุบปากไม่ลง
(หมายเหตุ ขนมหมาฉือ(โมจิ) เป็นอาหารแบบดั้งเดิมที่เหนียวและยืดได้ชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งข้าวเหนียวหรือแป้งชนิดอื่น)
แต่ขนมหมาฉือที่ทำด้วยมือนั้นถึงแม้รสชาติหอมหวานและเหนียวนุ่ม แต่ก็เหนียวหนืดอย่างยิ่งเช่นกัน มือน้อยๆ ที่เพิ่งล้างสะอาดของนาง ก็ถูกขนมหมาฉือติดเหนียวหนืบจนสามารถลากเป็นเส้นใยแล้ว ทั้งบนริมฝีปากและบนใบหน้านาง ล้วนเลอะเทอะติดเต็มไปหมดแล้ว
เกี๊ยวน้อยโยนขว้างอยู่เป็นเวลานานครึ่งค่อนวันแล้ว จึงได้หันไปทางหนานหว่านเยียน กระพริบตาแจ๋วแหววบ๊องแบ๊วทั้งสองไปพลาง ดูแล้วช่างน่าสงสารเอ็นดูนัก “ท่านแม่ ขนมนี้ เอาออกไม่ได้แล้วฮะ……”
เซียงอวี้รีบวางของว่างที่อยู่ในมือลง ต้องการเข้าไปช่วยเหลือ กลับถูกหนานหว่านเยียนห้ามไว้แล้วอย่างนุ่มนวล “ไม่เป็นไร ให้ข้าทำเถอะ”
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำให้เปียก เช็ดเบาๆ อย่างนิ่มนวลทั้งบนมือและตามใบหน้าของเกี๊ยวน้อย เช็ดพลางพูดขึ้นอย่างรักใคร่เอ็นดูพลางว่า
“ครั้งต่อไปจำไว้ให้ดี ขนมหมาฉือเหล่านี้ อย่าได้ใช้มือหยิบมากินโดยตรง ถ้าเกิดติดจนเลอะเทอะอีกละก็ ถึงเวลานั้นเส้นผมบนศีรษะก็ยังมี และบริเวณที่ล้างออกไม่สะอาดนั้น อาจต้องใช้กรรไกรตัดทิ้งด้วยนะ!”
นางจงใจขยับเข้าไปอยู่ใกล้เกี๊ยวน้อย ส่งเสียงหลอกให้บุตรสาวแสนรักแสนหวงเกรงกลัว
เกี๊ยวน้อยก็รู้เช่นกันว่าหนานหว่านเยียนกำลังกลั่นแกล้งนาง ดังนั้นจึงร่วมมือแกล้งแสดงสีหน้าท่าทางหวาดกลัวขึ้นมา แต่บนใบหน้ารู้สึกคันยุกยิก นางมิสามารถอดกลั้นไว้ได้แล้วจริงๆ ยังคงนอนหงายหลังลงกับพื้นและส่งเสียงหัวเราะดังๆ ออกมา
“ตกลงฮะ ท่านแม่ ครั้งต่อไปข้าไม้กล้าใช้มือหยิบมากินอีกแล้วล่ะฮะ!”
มารดาและบุตรสาวสองคนรักใคร่กันอย่างอบอุ่นเช่นนี้ ภายนอกตำหนัก กู้โม่หานมองดูอย่างเพลิดเพลินจนใจลอยแล้ว
เขาไม่ได้เห็นภาพที่ช่างสวยงามเปี่ยมความสุขมากถึงเพียงนี้มาก่อน เป็นระยะเวลายาวนานเพียงใดเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว……
ดวงตาของกู้โม่หานมีความหม่นหมองอยู่บ้างเล็กน้อย อวี๋เฟิงได้เห็นแล้ว เขาก็เม้มปากเช่นกัน ลองเลียบเคียงถามเสียงเบาๆ แล้วคำหนึ่งว่า “ฮ่องเต้ พระองค์จะไม่ลองแวะเข้าไปจริงๆ หรือ?”
เวลานี้บรรยากาศกำลังดี ไม่แน่ว่าเนื่องเพราะองค์หญิงอานผิงแล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงอาจสุภาพเกรงใจต่อฮ่องเต้มากขึ้นเล็กน้อยก็เป็นได้นะ
“ไม่ไปแล้ว” ขนตาดำหนาของกู้โม่หานหยีลง จ้องมองดูมารดาและบุตรสาวสองคนภายในเรือนชั่วขณะหนึ่ง ในน้ำเสียงมีความสลดหดหู่อยู่บ้างเล็กน้อย
“ถ้าหากข้าเข้าไปแล้วละก็ บางทีนางอาจจะไม่ยินดีปรีดาเช่นนั้นแล้ว……”