ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ – บทที่ 768 มิอาจบีบบังคับนางเร่งรัดเกินไป

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 768

แต่ความจริงแล้ว สามารถได้พบกับกู้โม่เฟิงในเวลานี้ ภายในใจของกู้โม่หานมิทราบเพราะเหตุใด เขายังคงรู้สึกผ่อนคลายอยู่บ้างเล็กน้อยด้วยซ้ำ

บางทีอาจเพราะได้รับความกดดันนานมากเกินไปแล้ว ตอนนี้สามารถมีพี่น้องสักคนอยู่เคียงข้างพูดคุยสนทนาด้วยกัน เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

กู้โม่เฟิงทำท่ามุ่ยปาก นั่งตัวตรงและกระแอมไอให้คล่องคอแล้วพูดว่า

“ความจริงก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใดเช่นกัน ก็คือช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ข้ามีความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ้างเล็กน้อย ต้องการมาสนทนาพูดคุยกับฮ่องเต้”

สองวันนี้เขามิได้อยู่ในวัง กลับได้ยินเสียงซุบซิบนินทามาแล้วมิน้อย

วันนี้ทันทีที่เห็นกู้โม่หานเขาก็เข้าใจกระจ่างแล้ว อารมณ์ของกู้โม่หานไม่ค่อยดีมากนัก ในเวลาเช่นนี้หากเขาคอยเป็นเพื่อนอยู่ข้างกาย สองพี่น้องสรวลเสเฮฮาหัวเราะกันอย่างสนุกสนานครึกครื้น บางทีอาจช่วยให้กู้โม่หานคลี่คลายอารมณ์ให้สงบลงได้

“หืม?” กู้โม่หานเลิกคิ้วขึ้นเต็มเปี่ยมด้วยความสนใจรู้สึกสนุก เผยอริมฝีปากเผยรอยยิ้มออกมาวูบ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่หลายส่วน “ข้างกายของเฉิงอ๋องมีสตรีรายล้อมดูตัวจำนวนมากมาย ยังมีช่วงเวลาที่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจด้วยหรือ?”

กู้โม่เฟิงถลึงตามองเขาแล้วคราหนึ่ง การดูตัวสตรีนั้นยังมิใช่การช่วยทลายวงล้อมแก้ปัญหาให้เขาหรอกหรือ คราวนี้ช่างประเสริฐนัก กลับหัวเราะเยาะเขาขึ้นมาแล้ว

“ข้าไม่ต้องการสนทนากับฮ่องเต้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วงเวลาล่าสุดนี้หลินเอ๋อร์เจ็บไข้ได้ป่วยสุขภาพไม่ค่อยดีนัก คำพูดเพ้อยามหลับฝันก็เอาแต่พูดถึงหนานชิงชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดมา ข้าเห็นแล้วรู้สึกช่างปวดใจยากทนทานจริงๆ เด็กคนนี้กำพร้ามารดาแล้วตั้งแต่เล็กๆ ข้า……”

กู้โม่เฟิงพูดพลางก็เปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาแล้ว ไม่สามารถเข้าใจสารพัดสารพันจริงๆ “เจ้าว่า หนานชิงชิงที่เป็นมารดาคนนี้ ไฉนจึงจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตถึงเพียงนั้นเล่า?”

“ข้าตอนนั้นก็ได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างสุดความสามารถแล้ว นางกลับฆ่าตัวตายไปแล้วภายในวัดชิงอัน? ตอนที่นางใช้ความตายยุติปัญหาทั้งหมดนั้น หรือว่านางมิเคยคิดถึงหลินเอ๋อร์บ้างเลยแม้แต่น้อยเชียวหรือ?!”

ความผิดของหนานชิงชิงช่างสุดแสนชั่วร้ายใหญ่หลวงยิ่งนัก จำเป็นต้องได้รับการลงโทษเช่นกัน แต่ตอนนั้นเขาละเว้นชีวิตของหนานชิงชิง มิใช่ก็เพราะเห็นแก่หลินเอ๋อร์หรอกหรือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนอย่างน้อยต้องยังมีชีวิตอยู่ เพราะการมีชีวิตอยู่นั้น ก็จะทำให้ลูกน้อยมีความหวัง!

สตรีนางนั้นกลับจริงจังอย่างยิ่งมิยินยอมรอมชอมแม้แต่น้อย กระทำอัตวินิบาตกรรมโดยตรงไปแล้ว!

กู้โม่หานเหลือบมองกู้โม่เฟิงที่สีหน้าเขียวคล้ำหม่นหมองคราหนึ่ง บนใบหน้าละเอียดอ่อนนิ่งสงบราบเรียบ ดวงตาสีดำสนิทหยีลงเล็กน้อย กลับสงบปากสงบคำมิออกเสียงใดๆ

ภายในความทรงจำของเขา หนานชิงชิงหาใช่คนที่แสวงหาความตายด้วยตัวเองอย่างง่ายดายเช่นนั้นไม่ นางเป็นคนมีความทะเยอทะยาน คนที่วางแผนเพื่ออนาคตของตัวเองเช่นนั้น ไหนเลยจะแสวงหาความตายโดยง่ายดายเล่า?

เรื่องนี้มีจุดที่น่าสงสัยอยู่จริงๆ

แต่ตอนนี้คนก็ตายไปแล้ว ซากศพและจดหมายลาตาย ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นว่านั่นคือหนานชิงชิงอย่างจริงแท้แน่นอนแล้ว คิดมากไปนั้นก็ไม่มีประโยชน์ต่อเรื่องราวเช่นกัน กล่าวถึงที่สุดแล้วในโลกนี้ คนตายไหนเลยจะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

ทันใดนั้นกู้โม่เฟิงโบกไม้โบกมือ ข่มความขุ่นข้องหงุดหงิดภายในใจลง “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องที่ทำให้เสียอารมณ์หมดสนุกเหล่านี้แล้ว คิดขึ้นมาหลินเอ๋อร์ก็คงเพียงแค่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น เขาคิดท่านแม่แล้ว ผ่านช่วงเวลานี้ไป ร่างกายฟื้นฟูแข็งแรงแล้วย่อมจะดีขึ้นเอง ก็จะไม่เอาแต่พูดถึงหนานชิงชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนั้นอีกแล้วเช่นกัน”

เขาเพียงแค่ปวดใจเป็นห่วงลูกที่ยังเล็กๆ ก็กำพร้ามารดาแล้ว อดที่จะพูดระบายบ่นความคับแค้นขุ่นเคืองในใจออกมา กลับทราบอย่างลึกซึ้งว่าจุดประสงค์ที่เข้าวังนั้นมิใช่เพื่อพูดเรื่องนี้

เขามองไปทางกู้โม่หาน พูดอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ฮ่องเต้ สองวันแล้วที่ข้ามิได้เข้าเฝ้าตอนออกว่าราชการในท้องพระโรงช่วงเช้าและไม่ได้เข้าวังมา ดูเหมือนว่าข้าจะพลาดเรื่องสำคัญภายในพระราชวังแห่งนี้ไปแล้วหลายเรื่องทีเดียว”

บนใบหน้าขาวผ่องและเย็นชาของกู้โม่หาน ปรากฏประกายเย็นเยียบขึ้นวูบหนึ่ง

เขาเหลือบสายตามองกู้โม่เฟิงเฉียงๆ คราหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่าเจ้าหาได้พลาดแม้แต่เรื่องเดียวไม่”

“ข่าวสารภายในวังแห่งนี้ ช่างเผยแพร่ออกไปรวดเร็วจริงๆ”

กู้โม่เฟิงจ้องมองอารมณ์การแสดงออกของกู้โม่หาน พลันเขารู้สึกขนลุกชูชันขึ้นมาอยู่บ้างเล็กน้อย รอยยิ้มก็งำประกายลงบ้างแล้วเช่นกัน

“เรื่องนี้ท่านมิอาจโทษผู้อื่น กล่าวถึงที่สุดแล้วการกลับมาของฮองเฮาเป็นเรื่องใหญ่ แต่ข้าก็คิดมิถึงจริงๆ เช่นกันว่า ที่แท้ไป๋จื่อก็คือฮองเฮานั่นเอง”

มิน่าล่ะวันนั้นตอนที่นางช่วยเหลือหลินเอ๋อร์นั้น จึงมีส่วนที่คล้ายกับหนานหว่านเยียนมากมายถึงเพียงนั้น แต่ตอนนั้นเขายังคิดว่า เป็นสตรีคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญทักษะของหมอเช่นเดียวกับหนานหว่านเยียนเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่านางก็คือหนานหว่านเยียนนั่นเอง!

พูดขึ้นมาเช่นนี้แล้ว แสดงว่าตอนนั้นกู้โม่หานทราบเรื่องนี้อยู่แต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงได้แสดงความอหังการถืออำนาจบาตรใหญ่และแข็งกร้าวกับไป๋จื่ออย่างไม่มีเหตุผล

ลักษณะต้องการใกล้ชิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง

คิดแล้วกู้โม่เฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ฮ่องเต้ ท่านทราบศักดิ์ฐานะแท้จริงของไป๋จื่อแต่แรกแล้วชัดๆ ไฉนจึงปิดบังมิพูดออกมาโดยตลอดล่ะ?”

เอ่ยถึงเรื่องราวในตอนนั้น ประกายดวงตาของกู้โม่หานลึกล้ำและเงียบงันลงบ้างแล้ว “ข้ามิต้องการบีบบังคับนาง”

“ตอนนั้นเจ้าก็ได้เห็นการระเบิดรอบนั้นแล้วเช่นกันว่า นางจากข้าไปด้วยลักษณะเช่นใด ข้าเกรงว่าขืนบีบบังคับนางเช่นนีัอีก นางก็จะใช้วิธีการโดยไม่เลือกหน้ามากยิ่งขึ้น”

คำพูดที่มากเกินไปเขามิต้องการพูดกับกู้โม่เฟิง แต่เรื่องที่เขาไม่คิดจะบีบบังคับหนานหว่านเยียนนี้ เขาไม่เคยพูดจาโป้ปดมดเท็จมาก่อน

กู้โม่เฟิงพยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งกึ่งสงสัย เลิกคิ้วและค้นหาหัวข้อสนทนาอื่นได้อีกเรื่องหนึ่ง “เช่นนั้น——ฮองเฮาก็ตั้งครรภ์แล้วจริงๆ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าแววตาของกู้โม่หานก็ยิ่งคมกริบเย็นชาพูดว่า “อืม”

เนื่องเพราะความโง่เขลาของตนเอง เขายังเกือบทำร้ายร่างกายของหนานหว่านเยียน และเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเองไปแล้วด้วยซ้ำ

กู้โม่เฟิงเห็นสถานการณ์ก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างแล้ว และพยักหน้าเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็วกเข้ามาสู่หัวข้อหลักแล้ว “ข้ายังได้ยินมาว่า เมื่อวานซืนก่อนหน้านี้พวกท่านได้ทะเลาะกันครั้งใหญ่อีกรอบหนึ่งแล้ว?”

“ทำเช่นนั้นไม่ดีหรอกนะ ต่างล้วนเป็นสามีภรรยามาเนิ่นนานปีถึงเพียงนี้แล้ว นอกจากนี้ยังมิต้องพูดถึงศักดิ์ฐานะของพวกเจ้าเป็นเช่นใดก่อน ต่อให้เป็นสามีภรรยาสามัญชนคนธรรมดาทั่วไป ก็มิอาจทะเลาะกันลักษณะเช่นนี้เลยนะเนี่ย”

“ข้านั้นเข้าใจอุปนิสัยของเจ้านี้เป็นอย่างดี มีเรื่องอะไรก็มักจะเก็บเงียบเอาไว้มิยอมพูดออกมา การทะเลาะกันครั้งนี้ เจ้าจะต้องไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มไปง้องอนขอคืนดีอย่างแน่นอนกระมัง? จะต้องทำอะไรแล้วไม่พูดอะไรเลยอีกเป็นแน่แท้สินะ ให้ฮองเฮาไปคาดเดาเอาเองกระมัง?”

คำพูดของกู้โม่เฟิงถูกต้องตรงเผ็งเลยทีเดียว กู้โม่หานขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วอย่างไม่ธรรมชาตินัก

เขาก็เข้าใจเรื่องราวอีกหลายอย่างเช่นกัน หากคนทั้งสองไม่เผชิญหน้าเพื่อสื่อสารกันให้ดี มีแต่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้น

ก็เหมือนเช่นเดียวกับในอดีต เขาเกลียดชังคนของจวนเฉิงเซี่ยง แล้วพลอยเกลียดชังแม้แต่หนานหว่านเยียนไปด้วย มิต้องการติดต่อกับหนานหว่านเยียนมากเกินไปนัก และก็สงสัยต่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทบจะปลิดชีวิตนางไปแล้วด้วยซ้ำ

หนานหว่านเยียนเองก็เช่นกัน ตอนนี้ไม่เชื่อถือเขาเป็นอย่างยิ่งแล้ว นางล่วงรู้เรื่องที่หยุนอี่ว์โหรวกระทำเหล่านั้นแต่แรกเนิ่นนานแล้ว แต่ว่านางไม่ต้องการจะบอกเขา

กู้โม่เฟิงใช้ข้อศอกผลักใส่แขนของกู้โม่หาน “มัวคิดอะไรอยู่อีกเล่า? ยังไม่รีบเป็นฝ่ายริเริ่มรุดไปง้องอนขอคืนดีกับนางอีก?”

ดวงตาสีดำเหมือนหมึกของกู้โม่หานมีอาการเหม่อลอยอยู่บ้าง แต่แล้วตั้งสติกลับคืนมาทันใด ริมฝีปากบางของเขาเม้มสนิท พูดน้ำเสียงทุ้มต่ำโดยใช้ความคิดอย่างลึกซึ้งขึ้นว่า

“ข้าก็ต้องการง้องอนขอคืนดีเช่นกัน แต่นางมิเคยให้โอกาสข้าเลย”

หาใช่เขามิต้องการพูดไม่ แต่ทุกครั้งที่นึกถึงสีหน้าแววตาเย็นชาดุจน้ำแข็งของหนานหว่านเยียน และคำพูดที่ทิ่มแทงทำร้ายเขาโดยไม่ตั้งใจได้ทุกเมื่อเหล่านั้นแล้ว ก็มีความมุ่งหวังอยู่บ้างแต่กลับล่าถอยแล้ว

คิดแล้วเขาก็เอ่ยปากพูดเสริมเพิ่มเติมอีกว่า “มิอาจบีบบังคับหว่านเยียนกระชั้นมากเกินไป เวลานี้นางยังกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย อารมณ์แปรปรวนมิมั่นคงนัก ข้าเกรงว่าหากข้ารุดไปหานางอีก จะกระทบกระเทือนจิตใจนางยิ่งขึ้น”

“ข้ามิต้องการทำให้นางบาดเจ็บ”

คำพูดเหล่านี้ถ้าให้คนที่ไม่รู้จักกู้โม่หานได้ยินแล้วละก็ จะต้องรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้มีความรับผิดชอบและอ่อนโยนอย่างแน่นอน แต่กู้โม่เฟิงได้ฟังแล้ว ในใจเขารู้สึกแต่ว่าขนลุกชูชันไปตลอดทั้งตัวเลยทีเดียว

เขาลูบใบหูและเกาพุ้งแก้มวุ่นวายอยู่ข้างกายกู้โม่หาน และขมวดคิ้วด้วยความดูแคลนอย่างยิ่ง (การลูบใบหูและเกาพุ้งแก้ม เป็นการการแสดงออกถึงอารมณ์ ความสุข โกรธเคือง วิตกกังวล หรือทุกข์ใจ)

“ฮ่องเต้คนที่ข้ารู้จักนั้น แต่ไหนแต่ไรล้วนมิใช่คนที่หดหู่เศร้าใจท้อแท้ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้เสมอมา”

“ท่านลองพูดถึงตัวเจ้าซิว่า ปีนั้นนำทหารจำนวนนับล้านทำศึกสัประยุทธ์ต่อสู้อยู่ในสนามรบ ภาพลักษณ์อันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดอย่างเห็นได้ชัดนั้น ทำให้ศัตรูได้ข่าวต่างก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว แต่ไฉนยามพบกับหนานหว่านเยียนเท่านั้น เจ้าก็มือไม้ปั่นป่วนวุ่นวายยุ่งเหยิงถึงเพียงนี้แล้วล่ะ?”

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

Status: Ongoing
หนานหว่านเยียน อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ ข้ามภพมาเป็นพระชายาอัปลักษณ์ผู้ถูกทอดทิ้งแห่งจวนอ๋องอี้ แต่ด้วยมันสมองของอัจฉริยะ และความแข็งแกร่งฉบับสาวยุคใหม่ เธอจะพลิกเกมกลับมาแก้แค้นไอ้พวกเศษสวะให้สิ้นซาก!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท