ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 769
กู้โม่หานหาได้สนใจคำพูดเหน็บแนมแดกดันของกู้โม่เฟิงไม่ ก้มสายตาลง “ยามอยู่เบื้องหน้านาง ข้ามักไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นใดดี”
คล้ายดั่งพูดอะไรล้วนแล้วแต่ผิดทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าต้องการง้องอนขอคืนดีกับนาง แต่ทุกครั้งล้วนกลับตาลปัตรไปหมด
กู้โม่เฟิงได้ยินเช่นนั้น พลันมองดูกู้โม่หานอย่างรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่รักดีมิมีความก้าวหน้า เดิมคิดจะก่นด่าสักสองคำ แต่หลังจากขบคิดดูยังคงอดกลั้นเอาไว้แล้ว เพียงแค่ตบไหล่ของกู้โม่หานพูดอย่างสัตย์ซื่อจริงใจมีความปรารถนาดีอย่างแท้จริงว่า
“เอาล่ะ เอาล่ะ ผู้ใดให้เจ้าเป็นที่โปรดปรานของสตรีมากถึงเพียงนั้น มิต้องตามง้อก็ยังสามารถได้มาด้วยซ้ำ แต่เวลานี้แม้แต่จะง้องอนขอคืนดีก็ยังมิสามารถทำได้แล้ว”
“ข้าจะสอนเจ้าสักหลายกระบวนท่า รับรองว่าจะสามารถชนะใจของฮองเฮาเหนียงเหนียงได้สำเร็จ!”
กู้โม่หานหันหน้ามองไปทางกู้โม่เฟิง ริมปากเผยอขึ้นเผยรอยยิ้มสนใจน่าตื่นเต้นอันแตกต่างขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ข้าล้างหูน้อมรับฟัง”
กู้โม่เฟิงรู้สึกสนุกน่าสนใจขึ้นมาแล้ว แบมือสองข้างออกด้วยความสนุกเพลิดเพลินยินดีเป็นอย่างยิ่ง เริ่มต้นพูดอธิบาย “ไม้เด็ดเคล็ดลับ” ของตนเองขึ้นมา
“สตรีของใต้หล้านี้ ก็มีเพียงไม่กี่ประเภทเช่นนี้เท่านั้น ถ้ามิใช่รสนิยมธรรมดาสามัญทั่วไปจนมิอยู่ในสายตาไม่น่าสนใจ ก็สวยสะคราญโฉมงดงามเลิศล้ำสง่างามสูงส่งจนกีดกันผู้คนห่างไกลนับพันลี้ หรือบางทีก็สวยบาดตาเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนใจทำให้ผู้คนลุ่มหลง”
“ฮองเฮานั้นเล่า เห็นได้ชัดว่าก็คือ……”
“ล้วนมิใช่ทั้งสิ้น” ยังมิทันรอให้กู้โม่เฟิงพูดจบ กู้โม่หานก็ขัดจังหวะขึ้นมาแล้วโดยไม่ต้องขบคิด
กู้โม่เฟิงตะลึงงันวูบ
กู้โม่หานกลับไม่แยแสสนใจเขา ขนตาดำหลบลงต่ำ เริ่มตั้งหน้าตั้งตาวิเคราะห์อย่างจริงจัง
“หว่านเยียน นางนั้นพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ทั้งไม่สามารถเข้าใจง่ายดายปานนั้นเหมือนเช่นสตรีสามัญชนคนธรรมดาดาษดื่นเหล่านั้น ไม่คลุกคลีคบหาด้วยยากเช่นนั้นเหมือนอย่างคนที่สวยสะคราญสง่างามสูงส่งเย็นชา อีกทั้งจะไม่ใช้วิธีเย้ายวนผู้คนให้ลุ่มหลงงมงายด้วยเสน่ห์ความงามประเภทนั้น”
“นางช่างน่ารักเป็นบางครั้ง อารมณ์ความปิติยินดี โกรธเคือง เศร้าโศกเสียใจ เบิกบานหรรษา ต่างล้วนแสดงออกมาบนใบหน้า บางครั้งภายในร่างกายที่ผอมเปราะบาง เพื่อพวกเด็กๆ แล้วก็สามารถระเบิดพลังมหาศาลออกมาได้อีกด้วยเป็นครั้งคราว”
“นางก็เหมือนกับต้นไอริสที่คุณสมบัติฤทธิ์เย็น รสชาติฉุนและขมฝาด เห็นชัดว่ายืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในโลกหล้า กลับสามารถเปล่งประกายส่องแสงสว่างอย่างอิสระได้ตามอำเภอใจในทุกแห่งหนอีก นาง……”
“พอ พอ พอแล้ว หยุด หยุดเลยนะ!” กู้โม่เฟิงฟังจนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขารีบเร่งหยุดกู้โม่หานที่พูดพร่ำมิหยุดหย่อนไว้แล้ว “ท่านดูตัวท่านสิ นี่มิใช่เช่นเดียวกับที่ได้ยินมาว่าช่างพูดนักหรอกหรือ?”
“คำพูดที่บาดหูเหล่านี้ ถ้าท่านอยากพูดก็ไปพูดต่อหน้าเจ้าตัวโน่นสิ กล่าวกับข้าในสถานที่นี้ ถือเป็นวีรบุรุษผู้กล้าอันใดกัน”
กู้โม่หานมองดูกู้โม่เฟิงอย่างมิพึงพอใจคราหนึ่ง ไม่ได้พูดต่อไปอีกแล้วเช่นกัน ขยับคางล่างเล็กน้อยแสดงสัญญาณให้กู้โม่เฟิงเอ่ยปาก
กู้โม่เฟิงจึงได้พูดต่อไปว่า
“สตรีลักษณะอย่างเช่นฮองเฮานั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ขาดอะไรเลย นอกจากนี้นางยังช่างร้ายกาจอย่างยิ่ง สามารถกล่าวได้ว่ากอปรด้วยทักษะของหมอฝีมือการรักษาสูงล้ำ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวนางเลยนะ นอกจากศักดิ์ฐานะแตกต่างกันแล้ว ท่านหาได้เหนือกว่านางมากมายเกินไปนักแต่อย่างไร สามารถกล่าวได้ว่าคู่คี่ก้ำกึ่งกัน”
“สตรีเช่นนี้ช่างจัดการให้อยู่หมัดยากลำบากอย่างยิ่ง นางสามารถสร้างสรรพสิ่งที่พึงพอใจได้ด้วยตนเอง ท่านในฐานะสามีของนาง สมควรทำให้นางพบความประหลาดใจและความรู้สึกหวานชื่นอย่างคาดมิถึงให้มากๆ เอาไว้ มิอาจเข้มงวดนักเหมือนอย่างเช่นในตอนนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าใครประสบเข้าต่างล้วนจะต้องเผ่นหนีไปทางอ้อมแล้ว”
“และก็ต้องยอมอ่อนข้อให้นางเป็นครั้งคราวบ้างด้วยนะ ใครว่าชายชาตรีจะต้องแข็งกร้าวมิอาจค้อมร่างงอเอวได้ เพื่อหญิงสาวผู้เป็นสุดที่รักของตนแล้ว การค้อมร่างงอเอวก็หาได้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอันใดไม่เช่นกัน ตรงกันข้ามกลับแสดงถึงจิตใจอันกว้างขวาง! ปากต้องหวานเข้าไว้ กล่าวมธุรสวาจาคำหวานระรื่นหูวลีไพเราะเสนาะโสตน่าฟังให้มาก ไม่มีสตรีคนไหนสามารถต้านทานได้หรอกนะ!”
กู้โม่เฟิงพูดพร่ำกล่าววาจาอย่างฉาดฉานอยู่ด้านข้าง กู้โม่หานก็หาได้เอ่ยปากรบกวนไม่เช่นกัน เปิดใจคอยรับฟังอย่างเงียบๆ
กล่าวถึงที่สุดแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็หาได้มีสตรีมากหน้าหลายตาคอยติดตามอยู่ข้างกายไม่ ตลอดเวลายี่สิบปีมานี้ นอกจากหนานหว่านเยียนแล้ว ก็คือหยุนอี่ว์โหรวนั่นเอง
และการปฏิบัติต่อหยุนอี่ว์โหรว กู้โม่หานไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มก่อน โดยพื้นฐานแล้วนางเป็นฝ่ายเสนอข้อเรียกร้องต้องการ และเขาตอบสนองความพึงพอใจนาง
แต่สำหรับหนานหว่านเยียนนั้น ก็ผิดแผกแตกต่างกันแล้ว โดยพื้นฐานแล้วนางหาได้เสนอข้อเรียกร้องจากเขามากมายนัก……
กู้โม่เฟิงพูดพร่ำต่อไปเรื่อยๆ เขาพบว่ากู้โม่หานกำลังจิตใจเหม่อลอย พลันรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาอยู่บ้างเล็กน้อย
“ฮ่องเต้ ท่านฟังเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”
กู้โม่หานตื่นจากภวังค์การครุ่นคิด ขยับเลิกคิ้วขวาขึ้นลง ริมฝีปากบางเผยอยิ้มขึ้นคราหนึ่งอย่างมีความหมายอันลึกซึ้งพูดว่า “อืม ได้รับการชี้แนะแล้ว”
ขณะกู้โม่เฟิงกำลังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่นั่นเอง พลันกู้โม่หานก็จ้องมองเขาอย่างมีความหมายลึกซึ้งอย่างอื่น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความสงสัยข้อกังขาว่า “แต่——วิธีการที่เจ้าพูดเหล่านี้ใช้ได้ผลจริงๆ หรือ?”
“ถ้าข้าจำไม่ผิดละก็ เฉิงอ๋องท่านตอนนี้ยังโสดอยู่คนเดียวกระมัง ทั้งไม่ได้ตกแต่งภริยาและไร้สาวงามคนรู้ใจ ข้าจะทราบได้อย่างไรเล่าว่าวิธีการของท่านนี้ใช่กำลังหลอกข้าหรือไม่?”
พูดได้อย่างจริงจังเป็นตุเป็นตะ แต่จะใช้ได้ผลหรือไม่กันแน่นั้น ก็ยังมิอาจทราบได้เลยนะเนี่ย
ปัญหานี้ช่างร้ายแรงอย่างยิ่งคร่าชีวิตเลยทีเดียว ต้อนจนกู้โม่เฟิงถึงกับสะอึกพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ๆ
แต่หลังจากเขาจิบน้ำคำหนึ่งแก้ความเคอะเขินแล้ว ก็จ้องมองดูกู้โม่หานอย่างอารมณ์ค่อยไม่ดีนัก “ไฉนก่อนหน้านี้ข้าจึงไม่พบว่า ฮ่องเต้ท่านปากคอเราะรายถึงเพียงนี้เล่า?”
กู้โม่หานยิ้มน้อยๆ คราหนึ่งพูดว่า “ชมเชยเกินไปแล้ว”
มุมปากของกู้โม่เฟิงกระตุกแล้วกระตุกอีก “ช่างหน้าไม่อายจริงๆ”
“อย่าได้เห็นว่าเวลานี้ข้างกายข้ามิมีสตรีแม้แต่คนเดียว นั่นเพียงเพราะสืบเนื่องมาจากข้าหาได้คิดต้องการไม่ เกรงว่ายามกะทันหันหลินเอ๋อร์มิสามารถรับได้ หากข้าต้องการจริงๆ แล้วละก็ จะมีนางสนมมากมายเป็นกลุ่มแต่แรกแล้ว!”
กู้โม่หานเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดเสียงดัง “โอ้” ขึ้นมาคำหนึ่งอย่างมิเชื่อถือโดยสิ้นเชิง
กู้โม่เฟิงก็หาได้โกรธเคืองไม่เช่นกัน ตรงกันข้ามเขากลับแสดงสีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเชื่อมั่นในตัวเองออกมา ตบๆ ลงบนหน้าอกของตนเอง
“ฮ่องเต้คงยังมิทราบกระมัง เริ่มแรกตอนที่ข้ายังไม่รู้จักกับหนานชิงชิงนั้น ข้าน่ะเป็นมังกรขาวตัวน้อยภายในเกลียวคลื่นเลยเชียวนะ การจัดการกับสตรีเพศนั้น สะดวกง่ายดายเหมือนดั่งมัจฉาได้น้ำเลยทีเดียว!”
กู้โม่หานเหล่สายตามองเขาคราหนึ่ง “มังกรขาวตัวน้อยภายในเกลียวคลื่นเรอะ? เกรงว่าจะเป็นจอมหลอกลวงความรักผู้หนึ่งกระมัง? พูดได้ช่างสง่างามสูงส่งน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น อย่าคิดว่าข้าไม่ทราบเรื่องหนี้รักความเจ้าชู้เหล่านั้นของเจ้านะ”
“ข้านะเรอะ!” กู้โม่เฟิงถูกกระตุ้นโกรธเคืองจนเต้นผาง “เช่นนั้นมิใช่ยิ่งพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าวิธีการของข้านี่สามารถใช้ได้ผลจริงหรอกหรือ?”
กู้โม่หานยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง คล้ายดั่งลืมความเหน็ดเหนื่อยเหนื่อยล้าและปัญหามากมายสารพันไปแล้วก็ปาน ฝืนพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ก็ได้ ข้าจะยอมเชื่อถือเจ้าสักครั้ง จากนี้ไปข้าจะลองปฏิบัติต่อหว่านเยียนตามวิธีการที่เจ้าได้ชี้แนะดู”
เมื่อกู้โม่เฟิงเห็นในที่สุดกู้โม่หานก็หัวเราะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วคำหนึ่ง
“ในที่สุดก็หัวเราะแล้ว” เขาคล้ายดั่งปลดภาระหนักอึ้งลงมาแล้วก็ปาน และนึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงงำประกายยิ้มแย้มให้น้อยลงอย่างมากมายแล้วพูดว่า “ข้าทราบว่า ตั้งแต่หลังจากท่านได้รับการสถาปนาขึ้นนั่งบันลังก์ฮ่องเต้แล้ว ภาระกิจหน้าที่และความรับผิดชอบก็ได้เพิ่มพูนขึ้นมากมายอย่างยิ่งแล้ว”
“การดำรงฐานะตำแหน่งเป็นฮ่องเต้ สำหรับท่านช่างไม่ง่ายดายเลยจริงๆ เพียงแค่การจัดการเรื่องข้อราชการในราชสำนักเหล่านั้น ก็ทำให้ท่านรู้สึกเหนื่อยทุกข์ใจมากเพียงพอแล้ว เวลานี้ฮองเฮากลับมาแล้ว พวกท่านกลับทะเลาะขัดแย้งกันจนเกิดปัญหามากมายอย่างยิ่ง ข้าทราบว่าท่านต้องการสมัครสมานปรองดองคืนดีกับฮองเฮาเร็วหน่อย แต่พวกท่านขัดแย้งกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องนี้จึงมิอาจรีบร้อนเกินไปนัก”
กู้โม่หานจ้องมองดูกู้โม่เฟิง มิทราบเพราะเหตุใด มีความอบอุ่นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจอยู่บ้าง
“ข้าทราบแล้ว”
เขากลัวเพียงแต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่มุมานะพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มา หนานหว่านเยียนก็จะจากไปอย่างเงียบเชียบเหมือนเช่นเดียวกับที่ผ่านมาอีกแล้ว
กู้โม่เฟิงถอนหายใจเบาๆ คำหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็มองออกไปทางนอกหน้าต่าง ประกายสายตาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมไร้เมตตาปรานีขึ้นมา
“แต่ว่าข้าเองก็คิดมิถึงเช่นกันว่า หยุนอี่ว์โหรวที่มองดูแล้วช่างแบบบางอ่อนแอมิอาจต้านทานลมคนนั้น ที่แท้แล้วจิตใจชั่วร้ายดุจอสรพิษดั่งแมงป่องมากถึงเพียงนี้”
“วิธีการของนางโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ พูดจาหลอกลวงโกหกมดเท็จเป็นพรวน ไม่เหลือเส้นทางรอดชีวิตแก่ผู้คนแม้แต่น้อยนิด ยามนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ข้าเองก็ยังรู้สึกสงสัยกังขาอยู่บ้างแล้วว่า การเสียชีวิตของหนานชิงชิงนั้น ใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางหรือไม่?……”