ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 794
เสด็จย่ากำลังคอยนางอยู่อย่างนั้นหรือ?
หนานหว่านเยียนผงกศีรษะเล็กน้อย ก็เอียงตัวไปเอ่ยกับเฟิงยางว่า “เจ้ากลับไปที่ตำหนักหยูซินก่อน พาขนมของกินแล้วก็ของเล่นเหล่านี้ไปให้เกี๊ยวน้อยก่อนเถิด ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จย่า”
หลี่หมัวมัวเห็นหนานหว่านเยียนยินยอม ก็ผุดยิ้มเหมือนบุปผาผลิบานขึ้นทันใด
ทว่าเฟิงยางกลับอิดออด ขมวดคิ้วพลางจ้องหนานหว่านเยียนตาเขม็ง
เดิมนางคิดว่าไทฮองไทเฮาจะรักและทะนุถนอมจวิ้นจู่ด้วยใจจริง และยินดียืนเคียงข้างจวิ้นจู่ แต่เพราะเกิดเรื่องหยุนอี่ว์โหรวเมื่อคราวก่อน จากนั้นนางก็ไม่เชื่อใจไทฮองไทเฮาอีกเลย
นางมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าไทฮองไทเฮารักและทะนุถนอมจวิ้นจู่ไม่มากพอ
“คุณหนูเจ้าคะ ให้บ่าวไปกับท่านด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
หนานหว่านเยียนเข้าใจความรอบคอบและระวังตัวในใจของเฟิงยางดี ทว่านางเองก็เข้าใจฝั่งเหล่าไท่ไท่เช่นเดียวกัน ท่านผู้อาวุโสปกป้องทะนุถนอมนางมาหลายปี ไม่มีทางทำร้ายนาง
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้ากลับไปเถิด”
เฟิงยางดื้อรั้นต่อไปไม่ไหว ได้แต่กัดฟันกรอดก่อนจะผงกศีรษะรับคำ “เจ้าค่ะ คุณหนู”
เห็นฟังยางกับบรรดาองครักษ์เดินจากไปไกลแล้ว หนานหว่านเยียนถึงจะหันไปเอ่ยกับหลี่หมัวมัว “ไปกันเถิด”
ขณะเดียวกัน ภายในตำหนักหลวนเฟิ่ง
หลายวันที่ผ่านมานี้ สภาพร่างกายของไทฮองไทเฮาดูแก่หง่อมเหี่ยวเฉาลงหลายปี ทั้งเส้นผมก็มีหงอกสีขาวแซมขึ้นไม่น้อย ทั้งวันดูกลัดกลุ้มทุกข์ใจไม่สร่าง
นับแต่เรื่องหยุนอี่ว์โหรวผ่านพ้นไป นางก็รู้สึกว่าตนเองทำร้ายจิตใจหนานหว่านเยียนอยู่ลึกๆ มาตลอด เหตุนี้ถึงได้เอาแต่ทุกข์ตรมไม่ได้พักผ่อน กลัดกลุ้มกระวนกระวายถึงขั้นเป็นร้อนใน มีอาการไอด้วยเล็กน้อย
เมื่อวานนี้เอง นางได้ยินหลี่หมัวมัวเล่าว่า หนานหว่านเยียนตั้งครรภ์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว คล้ายว่า จะเป็นช่วงเวลาเดียวกับหยุนอี่ว์โหรวเลย
ทันใดนั้น ความรู้สึกผิดและตำหนิตนเองอันไม่สิ้นสุดพลันถาโถมพรั่งพรูใส่ไทฮองไทเฮาทันที สติยิ่งไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลอะเลือนเข้าไปใหญ่
ดังนั้นนางในวันนี้ครั้นทราบว่าหนานหว่านเยียนออกจากวังหลวงไปแล้ว ก็บัญชาให้คนไปเฝ้าหน้าพระราชวังไว้ตลอด ตราบใดที่หนานหว่านเยียนกลับมา จงรีบเรียนเชิญนางไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่งทันที
ยามนี้เอง ประตูห้องก็มีเสียงเคลื่อนไหวระลอกหนึ่งแว่วดังขึ้นมา
หลี่หมัวมัวนำทางหนานหว่านเยียนเข้ามาด้านในแล้ว
นัยน์ตาคู่นั้นของไทฮองไทเฮาพลันฉายประกายสว่างวาบ หยัดกายลุกขึ้นมาอย่างไม่มั่นคงนัก น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยเต็มด้วยความตื้นตันและมีความสุข “เยียนเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ”
หนานหว่านเยียนผงะไปเล็กน้อย เห็นแววตาของไทฮองไทเฮาเปล่งประกายสว่าง ก็ถอนสายบัวคารวะทันใด “หว่านเยียนถวายบังคมเพคะเสด็จย่า”
“ยังต้องมากพิธีอีกหรือ รีบลุกขึ้นเร็วเข้าเถิด” ไทฮองไทเฮาร่างกายกระท่อนกระแท่น สืบเท้าฉับๆ มายังข้างกายหนานหว่านเยียนอย่างใจร้อน พลางยื่นมือเข้าไปประคองนางมานั่งลงข้างโต๊ะด้วยตนเอง ในวาจาเหล่านั้นเต็มด้วยความห่วงใยและทะนุถนอม “ข้า คิดถึงและเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน อยากให้เจ้ามาร่วมรับประทานพระกระยาหารค่ำกับข้าสักมื้อ”
สิ้นเสียงนั้น หลี่หมัวมัวก็ล่าถอยออกไปอย่างรู้งานทันใด เพื่อตระเตรียมนำพระกระยาหารค่ำเข้ามา
ไทฮองไทเฮาเห็นหลี่หมัวมัวเดินออกไปแล้ว ก็นั่งลงข้างกายหนานหว่านเยียน ก่อนจะเลื่อนมือของนางมากุมไว้แน่น “เยียนเอ๋อร์ ทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้ายัง เจ้ายังโกรธเกลียดข้าหรือไม่?”
นิ้วมือของหนานหว่านเยียนกระชับขึ้นเล็กน้อยกุมมือตอบอีกฝ่าย ต่อให้หยุนอี่ว์โหรวไม่ได้จากไปอย่างกะทันหัน นางก็ไร้หนทางร่าเริงได้ ทว่านางในเมื่อเลือกจะถอยให้ท่านผู้อาวุโสแล้วก้าวหนึ่งแล้ว ก็ไม่ควรทำให้เรื่องนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวายต่อไปอีก
นางส่ายศีรษะปฏิเสธด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ “เสด็จย่าเพคะ หากเยียนเอ๋อร์ยังโกรธท่านเกลียดท่าน วันนี้ก็คงไม่มาเข้าเฝ้าท่านแล้ว”
“เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้ว เยียนเอ๋อร์เข้าใจดี ที่ท่านทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับทุกคน”
หนานหว่านเยียนเข้าใจและรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเพียงนี้ ในหัวใจของไทฮองไทเฮากลับยิ่งรู้สึกผิด
“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ทำให้เจ้าต้องกล้ำกลืนกับความไม่เป็นธรรม เพียงแต่ คราแรกข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าเจ้าเองก็กำลังตั้งครรภ์ หากทราบก่อนว่าเจ้า…”
ความจริงนางเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างไรดี
เรื่องเมื่อวันก่อนนั้นซับซ้อนเกินไป ต่อให้นางทราบว่าหนานหว่านเยียนตั้งครรภ์อยู่ นางก็ไม่มีทางปล่อยให้กู้โม่หานปลิดชีวิตหยุนอี่ว์โหรวและทารกในครรภ์ของนางด้วยตนเองเหมือนเดิม
แต่อย่างน้อย นางก็จะระมัดระวังหนานหว่านเยียน และจริงจังกับหนานหว่านเยียนมากกว่าเดิม แทนที่จะหันหัวหอกไปจัดการเรื่องของหยุนอี่ว์โหรวก่อน จนทำร้ายจิตใจหลานของตนเองเช่นนี้
หนานหว่านเยียนกลับมิได้แปลกใจเท่าใดนัก เรื่องที่นางตั้งครรภ์ บัดนี้ลือเลื่องไปทั่วทั้งวังหลวงแล้ว ย่อมมิอาจปิดบังเหล่าไท่ไท่ต่อได้สำเร็จ
ทว่าความเป็นจริง นางไม่อยากให้ไทฮองไทเฮาทราบเรื่องนี้เลย เพราะท้ายที่สุดนางต้องจากที่แห่งนี้ไป เจ้าทารกในครรภ์เอง ก็ต้องจากที่แห่งนี้ไปพร้อมกับนางเช่นกัน
“เสด็จย่าเพคะ ท่านอย่าโทษตัวเองเลย โทษทัณฑ์ที่หยุนอี่ว์โหรวได้รับ ไม่เกี่ยวข้องกับข้าที่ตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์หรอกเพคะ”
ไทฮองไทเฮาส่ายหน้า “ข้าแก่แล้ว เจ้าเป็นฮองเฮา กำลังตั้งครรภ์ ถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นของราชสำนัก แต่ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเลอะเลือน ลำดับความสำคัญผิดพลาดไปทั้งหมด”
“เยียนเอ๋อร์ หลายวันที่ผ่านมาร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้างไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? การตอบสนองของครรภ์รุนแรงหรือไม่? ทุกวันมีหมอหลวงมาจับชีพจรตรวจร่างกายให้เจ้าหรือเปล่า?”
จะมีผู้ใหญ่คนใดบ้างที่ไม่รักไม่เมตตาบุตรหลานของตนเอง เดิมไทฮองไทเฮาทั้งรักและเอ็นดูหนานหว่านเยียนอยู่แล้ว บัดนี้มีโอกาสได้เห็นหนานหว่านเยียนตั้งครรภ์พระโอรสแล้วทั้งที ถ้อยคำเหล่านั้นจึงยิ่งเน้นหนักเป็นพิเศษ
หนานหว่านเยียนรับคำอย่างว่าง่าย เพราะกลัวว่าเหล่าไท่ไท่จะคิดฟุ้งซ่าน ทว่าในใจของไทฮองไทเฮากลับมีเสี้ยนหนามตำอยู่ตลอด จะบ่งอย่างไรก็บ่งไม่ออก
นางกลัวว่าหนานหว่านเยียนจะไม่พอใจเรื่องที่นางไว้ชีวิตหยุนอี่ว์โหรว “เยียนเอ๋อร์ บางคำพูด ข้าทราบดีหากเจ้าได้ฟังแล้วอาจขุ่นข้องหมองใจ แต่ถึงอย่างไรข้าก็อยากจะบอกเจ้าไว้”
“เรื่องที่ฝ่าบาทหย่าร้างกับหยุนอี่ว์โหรว ข้าคัดค้านแล้ว บัดนี้เจ้าเพิ่งกลับวังหลวงไม่นาน ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นกับหยุนอี่ว์โหรว ข้าเกรงว่ายามนี้หยุนอี่ว์โหรวจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ คนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเหล่านั้น อาจปัดความผิดใส่ตัวเจ้าก็เป็นไปได้”
“ถึงครานั้นข่าวลือกระจายทั่วทุกทิศ ตำหนิว่าเจ้าที่เป็นถึงฮองเฮา กลับปล่อยให้คนชั่วลอยนวลทั้งที่เห็นตำตา หากเป็นเช่นนั้นก็เกรงว่าอาจนำพาปัญหาใหญ่มาให้เจ้า เหตุนี้ข้าจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ก่อน คอยให้ผ่านเวลาไปสักพักแล้วค่อยป่าวประกาศให้ทราบทั่วกันทั้งใต้หล้า”
คราแรกที่ปกป้องหยุนอี่ว์โหรว แท้จริงแล้วเป็นเจตนาโดยส่วนตัวของนางเอง ไม่อยากให้กู้โม่หานต้องสูญเสียพระโอรสไปด้วยประการนี้ ทว่าต่อมาการแก้ปัญหาทั้งหมด ล้วนทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของหนานหว่านเยียนและกู้โม่หาน
กู้โม่หานต้องการเป็นจักรพรรดิผู้ทรงธรรม หากเขาคิดจะเป็นทรราช ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จตามอำเภอใจ นางเองก็ไม่จำเป็นต้องยึดถือขนบประเพณีและข้อห้ามต่างๆ มากมายเพียงนั้น ชื่อเสียงก็สั่งสมไปตามมีตามเกิด แต่นางปรารถนาให้เขาเหลือชื่อเสียงอันหอมหวนไปชั่วกาลนาน จึงจำเป็นต้องเคี่ยวเข็ญให้เขาประพฤติตนอยู่ในกรอบไม่กระทำความผิด
หนานหว่านเยียนเองก็เหมือนกัน นางเองก็ปรารถนาให้หว่านเยียนเป็นฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรมตลอดไปเช่นกัน
หนานหว่านเยียนมองท่าทางร้อนรุ่มกลุ้มใจยามอธิบายของไทฮองไทเฮา คิ้วงามพลันขมวดขึ้นเล็กน้อย
“แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จย่าล้วนทำเพื่อส่วนรวม เยียนเอ๋อร์ทราบดี ทุกสิ่งให้ท่านจัดการนั้นเป็นเรื่องดีทั้งสิ้นเพคะ”
ไม่ว่าอย่างไรหยุนอี่ว์โหรวก็ไม่เหลือตำแหน่งให้ใช้อำนาจบาตรใหญ่คุกคามผู้ใดได้อีกแล้ว บัดนี้เพียงอาศัยเด็กในครรภ์ต่อชีวิตอยู่ก็เท่านั้น
เปิดโปงความจริง ก็เพื่อปูเส้นทาง ต่อให้นางกลับต้าเซี่ยไปแล้ว คอยให้ทารกน้อยคลอดออกมา กู้โม่หานก็ไม่มีวันปล่อยหยุนอี่ว์โหรวไปเด็ดขาด
ไทฮองไทเฮาได้ยินถ้อยคำนี้ ในใจราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ลูบมือหนานหว่านเยียนเบาๆ
“เจ้าคิดได้เช่นนี้ ข้าเองก็วางใจแล้ว เพียงแต่เยียนเอ๋อร์ ยามนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เจ้าไม่อาจย้อนกลับไปเป็นพระชายาอี้ได้อีกแล้ว ยามนี้เจ้าเป็นฮองเฮาของแผ่นดินแล้ว หลายสิ่งหลายอย่าง ล้วนแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง”
“ข้าเคยผ่านเรื่องนี้มาก่อน เคยนั่งอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเจ้าตอนนี้ เข้าใจดีว่าการเป็นฮองเฮา นั้นมันยากลำบากเพียงใด”
“เมื่อครานั้นที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ วังหลังมีหญิงงามนางสนมกว่าสามพันชีวิต ข้าในฐานะฮองเฮา ด้วยความสัตย์จริงแล้วในใจก็มิได้ยินยอมให้ฝ่าบาทวันนี้รักคนนี้ วันพรุ่งนี้รักคนนั้น แต่ข้าก็ทำได้เพียงจำใจยกโทษให้เหล่านกขมิ้นนกนางนวลเท่านั้น เพราะพวกนางแม้เป็นสนมของฝ่าบาท ทว่าเบื้องหลังพวกนางล้วนยึดโยงกับขุนนางอำมาตย์หลายฝ่าย เพื่อสร้างสมดุลอำนาจให้ทุกฝ่าย สิ่งนี้เรียกว่าธรรมเนียมปฏิบัติที่มิอาจต่อต้าน”
“และนับจากนี้ไป วังหลังแห่งนี้มิได้มีเจ้าเพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว เจ้าเองก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ตามแบบอย่างของข้า มองภาพรวมเป็นหลัก เหล่านี้คือภาระหน้าที่ที่ฮองเฮาต้องรับผิดชอบ เข้าใจแล้วหรือยัง?”
หญิงงามสามพันนาง…
หนานหว่านเยียนยิ่งได้ยิน หัวคิ้วยิ่งขมวดกันแน่นเป็นปม
นางเป็นอย่างเสด็จย่าไม่ได้จริง ๆ ที่จะยอมเปิดใจให้บรรดาสตรีหญิงงามทุกคนในวังหลังเช่นนั้น
ลำพังแค่หยุนอี่ว์โหรวคนเดียวก็ทำให้นางเหนื่อยใจเหนื่อยกายสิ้นดีแล้ว นางไม่ต้องการประสบพบเจอกับสตรีที่ยากรับมือเช่นนั้นอีกแล้ว
มุมมองการสมรสของนาง ทั้งความรักและพิธีสมรสต้องไปด้วยกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สองคนคอยประคับประคองดูแลซึ่งกันและกัน มิใช่จิตใจโลเลพลิกไปพลิกมาโดยเด็ดขาด
หากกู้โม่หานต้องการครอบครองหญิงงามจำนวนมาก เช่นนั้นวังหลังก็ควรมีบุรุษหนุ่มรูปงามจำนวนนับไม่ถ้วนคอยปรนนิบัตินางบ้าง แบบนั้นถึงจะเรียกว่ายุติธรรม
ทว่าแนวคิดเหล่านี้ หนานหว่านเยียนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกไปได้อย่างเด็ดขาด เพราะเกรงว่าเหล่าไท่ไท่จะตื่นตระหนก จึงได้แต่รับคำว่า “เพคะ เยียนเอ๋อร์เข้าใจแล้ว”
ในที่สุดไทฮองไทเฮาก็ยิ้มออกมาแล้ว รีบเร่งให้หนานหว่านเยียนกินขนมอาหารว่างทันที
คล้ายกับคิดอะไรบางอย่างออก นางก็เอ่ยขึ้นต่อว่า “จริงสิเยียนเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่า คณะทูตจากแคว้นต้าเซี่ยบัดนี้เดินทางมาถึงแล้ว ยามนี้…”