ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 813
เดิมทีนางอยากจะบอกว่า ในเมื่อท่านพี่ตั้งใจจะมารับนางกลับไปอย่างผ่าเผย จะต้องไม่ดำเนินการอย่างลวกๆ ทำให้สถานการณ์วุ่นวายจนยากที่จะแก้ได้เช่นนี้แน่ แต่นางก็คิดได้อย่างฉับพลันว่ากู้โม่หานยังอยู่ข้างหน้า จึงได้กลืนคำพูดที่ขึ้นมาถึงปากลงไป
เมื่อครู่สนใจเพียงแต่จะพลิกสถานการณ์ นางจึงไม่ได้สนใจกู้โม่หานโดยสิ้นเชิง
เขายังอยู่ตรงนี้ นางยังต้องเลี่ยงสักหน่อย อย่างไรเสียความสัมพันธ์ทางการทูตของแคว้นต้าเซี่ยและแคว้นซีเหย่ก็ยังไม่ได้ยืนยัน นางจะเปิดเผยฐานะของท่านพี่ออกมาอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้
กู้โม่หานยืนอยู่ข้างกายของหนานหว่านเยียน ดวงตาอันลึกซึ้งเพ่งมองนาง แต่ตลอดมากลับไม่ได้พูดอะไรเลย
ไท่เฟยชำเลืองมองหนานหว่านเยียน และมองดูกู้โม่หาน ทันใดนั้นก็นึกอะไรได้ บนใบหน้าไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย กระแอมสองที ประคองหนานหว่านเยียนเดินไปทางด้านนอก
“กลับตำหนักก่อนแล้วค่อยพูด”
เพิ่งจะสิ้นสุดเสียง เสียงทุ้มต่ำของกู้โม่หานก็ดังขึ้น “เสด็จแม่ หม่อมฉันอยากพูดคุยกับฮองเฮาเพียงลำพังพ่ะย่ะค่ะ”
จิตใจของหนานหว่านเยียนเป็นกังวลทันที คิ้วอันงดงามขมวดแน่น สบสายตากับไท่เฟยอย่างอดไม่ได้
ไท่เฟยก็เม้มปาก มองไปทางกู้โม่หาน
รูปร่างที่สูงใหญ่เป็นพิเศษของเขา ดวงตาสีดำขลับลึกล้ำ มองดูพวกนางอยู่เช่นนั้น พูดให้ถูกคือจ้องมองเพียงแค่หนานหว่านเยียนเท่านั้น
ไท่เฟยจะไม่รู้นิสัยลูกชายของตัวเองได้อย่างไร ตอนนี้รู้ว่าหนานหว่านเยียนเป็นจวิ้นจู่ และทูตแคว้นต้าเซี่ยต้องการจะมารับจวิ้นจู่แห่งแคว้นต้าเซี่ยกลับไป เขาจะต้องไม่สบอารมณ์เป็นแน่
ตอนนี้อะไรก็ไม่พูด ไม่ทำ ดูแล้วท่าทางยังนับว่าให้ความร่วมมือ แต่ใครจะรู้ว่าเขากำลังเก็บกดอารมณ์แบบไหนไว้ และเก็บกดไว้นานเพียงใดแล้ว หากว่าก่อปัญหาขึ้นมา จะต้องแย่เป็นอย่างมากแน่นอน
“โม่หาน วันนี้หว่านเยียนได้รับความตกใจเข้าแล้ว ข้าอยากพานางกลับไปพักผ่อนที่ข้าให้ดีสักครู่หนึ่ง และถือโอกาสพูดจากับนาง ค่ำสักหน่อยเจ้าค่อยคุยกับนางตามลำพังละกัน”
สายตาของกู้โม่หานยังคงจับจ้องไปที่หนานหว่านเยียน แม้ว่านางจะไม่ได้มองเขาสักแวบเดียวก็ตาม
“มีบางคำพูด ลูกจำเป็นต้องพูดกับหว่านเยียนตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ วันนี้เสด็จแม่ก็เหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่เฟยขมวดคิ้ว ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่กู้โม่หานก็ดึงดันคว้าจับข้อมือของหนานหว่านเยียนไว้แน่นเป็นที่สุด ออกแรงเล็กน้อย “เจ้าก็มีคำจะพูดกับข้าเหมือนกันสินะ ฮองเฮา”
หนานหว่านเยียนรู้สึกเจ็บข้อมือขึ้นมาทันที นางตกใจ ในที่สุดก็เงยหน้ามองเขา
ท่าทางเช่นนี้ของเขา โดยมากคงจะไม่เปลี่ยนความคิดแล้ว หากปฏิเสธไปก็รังแต่จะยั่วให้โมโห หนานหว่านเยียนมองไปทางไท่เฟย “เสด็จแม่ ท่านกลับไปก่อนเถอะเพคะ ค่ำหน่อยข้าจะไปหาท่าน”
ไท่เฟยมองดูแววตาอันร้อนแรงของกู้โม่หาน ก็รู้เช่นกันว่าตัวเองขัดขวางเขาในเวลานี้ก็ไร้ประโยชน์
นางมองไปยังหนานหว่านเยียน กล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนเป็นที่สุด “ได้ เรื่องการกลับคืนสู่ฐานะ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก เรื่องนี้ ข้าจะต้องจัดการได้ดีอย่างแน่นอน”
หนานหว่านเยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่”
ไท่เฟยยิ้มให้หนานหว่านเยียน จากนั้นก็หันกลับและจากไป
ขณะที่หมุนตัวในนาทีนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึมในพริบตา ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจัดการอย่างไร นางจะต้องจัดการให้ดีๆถึงจะได้ จะปล่อยให้หว่านเยียนทนรับความทุกข์ยากลำบากไม่ได้เด็ดขาด……
เมื่อเห็นไท่เฟยเดินไกลออกไป กู้โม่หานก็คลายกำลังในมือ แต่กลับไม่ได้ปล่อย ก้มหน้ามองหนานหว่านเยียนด้วยความรักอันลึกซึ้ง “ข้าส่งเจ้ากลับตำหนักบรรทม”
“ได้” หนานหว่านเยียนให้ความร่วมมือกับเขา ขยับนิ้วอันเรียวยาวทั้งสิบ แต่ก็ไม่ได้ดึงมืออก ยกเท้าเดินไปตำหนักหยูซิน
ตลอดทาง หนานหว่านเยียนคิดว่าเขาจะเอ่ยปาก แต่จนสุดท้ายก็ไม่ได้เปล่งเสียง บรรยากาศอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
นางกัดริมฝีปาก กล่าวด้วยความใจเย็นว่า “ท่านมีความคิดอย่างไร ก็กลับไปพลางพูดไปพลางก็ได้”
ดวงตาที่ลึกล้ำดั่งหมึกอันเข้มข้นทั้งคู่ของกู้โม่หาน มืดมนจนน่ากลัว แต่น้ำเสียงกลับราบเรียบมั่นคงเหมือนดั่งปกติ
“เจ้าคิดอย่างไรต่อเหล่าทูตแคว้นต้าเซี่ยเหล่านี้?”
หนานหว่านเยียนไม่ได้เลี่ยง “ใช้กำลังตัดสินปัญหามากไปหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่คนเลวอะไร”
แม้ว่านางจะสงสัยในฐานะท่าทีของคนเหล่านี้ แต่ดูการตอบสนองเมื่อครู่ของบรรดาทูตพวกนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าสับสนงุนงงอยู่ ไม่ได้เจตนาร้ายต่อนาง
น่าจะเป็นเพราะพวกเขาเชื่อใจพ่อบ้านกาวมากเกินไป จึงมั่นใจและคิดว่าหยุนอี่ว์โหรวเป็นจวิ้นจู่ โดนพ่อบ้านกาวปลุกปั่นให้ขัดแย้งกับนาง
ดังนั้น พ่อบ้านกาวจึงเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด
บนใบหน้าอันสง่างามของกู้โม่หานเย็นชาเป็นอย่างมาก จูงมือนางไว้ตลอด แต่มืออีกข้างกลับกำหมัดไว้แน่น หลังมือมีเส้นเลือดค่อยๆเต้นปูดขึ้นมารางๆ
“แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรต่อจุดประสงค์การมาครั้งนี้ของแคว้นต้าเซี่ย?”
ด้วยคำถามสองข้อ หนานหว่านเยียนคาดเดาความนัยนอกเหนือคำพูดของกู้โม่หานได้โดยพื้นฐาน
เขาอยากจะถามนางว่า ทูตแคว้นต้าเซี่ยปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ นางผิดหวังหรือไม่ ทูตแคว้นต้าเซี่ยมาซีเหย่เพื่อมารับจวิ้นจู่แคว้นต้าเซี่ย ถึงเวลา นางจะติดตามคนกลุ่มนั้นออกจากแคว้นซีเหย่ไปจริงๆหรือไม่
เรื่องมาถึงจุดนี้ ตัวตนของนางก็ยกขึ้นไปบนเวทีแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง และหลบเลี่ยงอีก
ด้วยเหตุนี้หนานหว่านเยียนจึงชะงักฝีเท้า หันตัวไปด้านข้าง เพ่งมองกู้โม่หานด้วยความจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของนางไม่มีความผันผวนมากมายนัก ทั้งยังสุขุมเยือกเย็นและเฉยเมยยิ่งกว่าปกติซะอีก
“กู้โม่หาน ข้ารู้ว่าท่านอยากจะถามอะไร และในสิ่งที่ท่านคิดเช่นนั้น รอให้ฐานะของข้าได้ผลสรุปออกมา ทุกอย่างได้รับการยืนยัน ข้าก็จะจากไป” เมื่อถึงเวลาตัดก็ต้องตัด ไม่เช่นนั้นจะกลับกลายเป็นความวุ่นวาย
นางต้องการหยิบยืมโอกาสนี้บอกกู้โม่หานว่า ในเมื่อพวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถย้อนกลับไปดั่งแต่ก่อนได้นานแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปยังจะดีซะกว่า
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว สีหน้าของกู้โม่หานก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากมายนัก ราวกับว่าคาดไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ริมฝีปากบางๆยังคงเม้มจนเป็นเส้นตรง ความเจ็บปวดลอยคุกรุ่นอยู่บนใบหน้า หัวใจเหมือนดั่งถูกกรอกด้วยตะกั่วทำให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก
แม้ว่าเขาจะรู้คำตอบนี้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินหนานหว่านเยียนพูดเองจากปาก ในจิตใจก็ยังคงเจ็บและจุกเป็นพิเศษจนเกินที่จะทนได้
เขาหันตัวไปด้วยเช่นกัน สายตาจับจ้องที่นางอย่างจดจ่อ น้ำเสียงหนักแน่นเย็นชาแต่ตึงเครียด พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุม แต่ทันทีที่เปล่งเสียง ก็ยังคงเผยความกดดันและความคับข้องหมองใจเล็กน้อยออกมา
“แล้วข้าล่ะ?”
“หว่านเยียน เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วเหรอ…….”