ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 816
หนานหว่านเยียนรู้สึกตกใจอย่างอธิบายไม่ได้ ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นท่าทางที่ดึงดันของกู้โม่หานแล้ว ความไม่สบายใจก็ค่อยๆเข้าปกคลุมในจิตใจชั้นหนึ่ง
ตอนนี้อยู่ดีๆนางก็มีความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ว่าเพื่อที่จะรั้งนางให้อยู่ต่อแล้ว กู้โม่หานจะทำทุกวิถีทางโดยไม่เลือก นางก็กลัวเหมือนกันว่าเขาจะทำอะไรที่เกินความคาดหมายออกมา ทำให้นางตั้งตัวไม่ทัน
กู้โม่หานเดินเข้าไปหานางสองก้าวอย่างฉับพลัน ทำให้นางตกใจจนถอยไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่กลับถูกเขาโอบเอวไว้ เขาเม้มปากด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่น้ำเสียงกลับมีการสะกดอารมณ์เอาไว้อยู่
“ด้านหน้าเป็นตำหนักบรรทมของเจ้า ข้าไม่ส่งเจ้ากลับไปแล้ว เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจ้าโกรธอีก แต่เจ้ากลับไปแล้วจะต้องพักผ่อนให้ดีๆ อย่าใช้อารมณ์ เจ้ายังตั้งครรภ์อยู่”
พูดจบ เขาก็โน้มเอว แย่งชิงน้ำความจำเสื่อมที่กำแน่นอยู่ในมือของนางไป
“ของสิ่งนี้ ข้าเอาไปแล้ว”
เขาไม่ดื่ม ที่เอาไป ก็เพราะเขากลัวว่าหนานหว่านเยียนจะดื่มเอง ถึงเวลานางลืมทุกอย่างไป ลืมเขาไป เช่นนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าการที่เขาลืมนางซะอีก
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป โดยไม่มองนางสักแวบเดียว
หนานหว่านเยียนกลับไม่ได้ไล่ตามไป เพียงแค่หายใจเข้าลึกๆ ลูบท้อง แววตาซับซ้อนเป็นที่สุด
นางปลอบใจตัวเองเล็กน้อย ไม่ว่ากู้โม่หานจะทำอะไร เขาก็คงจะไม่ทำเรื่องราวใหญ่โตที่ทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนได้
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เสด็จแม่และไทเฮาก็กำลังระงับเรื่องนี้อยู่ รอจนยืนยันฐานะของนางแล้ว แม้ว่ากู้โม่หานจะไม่ยอมปล่อยคน เสด็จย่าเห็นแก่ส่วนรวม เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขาทำเรื่องเพ้อเจ้อ
คิดพลาง หนานหว่านเยียนก็ผ่อนคลายอยู่กับที่ครู่หนึ่ง แล้วจึงลากสังขาร เดินกลับตำหนักบรรทม
แต่กู้โม่หานที่กำยาน้ำอยู่ในมือ ได้เดินตรงกลับไปที่ห้องทรงงาน ให้คนไปตามเสิ่นอี่ว์มา
เสิ่นอี่ว์เพิ่งจะจัดการธุระบางอย่างเสร็จสิ้น เมื่อได้รับคำสั่ง ก็รีบไปที่ห้องทรงงานทันที เห็นสีหน้าของกู้โม่หานบึ้งตึง ก็ทำความเคารพด้วยความจริงจังในทันใด “ฝ่าบาท”
ใบหน้าอันเย็นชาของกู้โม่หาน ดวงตาที่ดุดันทั้งคู่ของเต็มไปด้วยความเย็นชาและดุร้าย
“เจ้ารีบไปรับอานผิงมาที่ตำหนักบรรทมของข้า ผู้ใดกล้าขัดขวาง จัดการให้หมด!”
“อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าส่งคนไปที่หอย่างหมิง รับอานเล่อเข้าวังมาอย่างลับๆ”
ขณะที่เขาสนทนากับหนานหว่านเยียน ก็ระมัดระวังไม่เอ่ยถึงการอยู่หรือไปของเด็กๆมาโดยตลอด กลัวว่าจะไปกระตุ้นนาง แต่คิดจะแย่งลูกไปจากมือของเขา ก็เป็นไปไม่ได้
ตอนนี้ท่าทีของหนานหว่านเยียนแน่วแน่ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงใช้ไม้แข็ง
มีเด็กน้อยสองคนนั้นรั้งฝีเท้าของนางไว้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่นางจะละทิ้งลูก แล้วจากไปเองคนเดียว
เรื่องมาถึงจุดนี้ เขาไม่สามารถมีเมตตาออมมือได้อีก ทำให้คนอยู่ต่อ จึงจะเป็นจุดประสงค์หลักของเขา!
เสิ่นอี่ว์สงสัย “ทำไมอยู่ดีๆถึงต้องไปรับองค์หญิงเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ?”
ใบหน้าอันสง่างามของกู้โม่หานเย็นชา กล่าวเตือนว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องยุ่ง แต่เรื่องนี้ทำให้คนของโม่หวิ่นหมิงรู้เข้าไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไม่สามารถทำให้ฮองเฮารู้ได้เช่นกัน ไม่เช่นนั้น ข้าจะเอาความกับเจ้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า……” เสิ่นอี่ว์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้พระองค์ไม่ได้กลัวมาตลอดหรือว่า หากบีบคั้นเหนียงเหนียงมากจนเกินไป ผลลัพธ์ก็จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่หวัง”
นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทพูดเองเชียวนะ ตอนนี้ก็เขาร้อนใจจนทนไม่ได้เช่นนี้แล้ว หรือว่าการเข้าพบของทูตในวันนี้ เกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรงอะไรขึ้น?
แม้ว่าจะล่วงเกินไป แต่เขาก็ยังต้องถามให้ชัดเจน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาทเดินทางผิด ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลกับฮองเฮาเหนียงเหนียงมากขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาที่ลึกล้ำเย็นยะเยือกคู่นั้นของกู้โม่หานเปลี่ยนเป็นเฉียบคมในทันที เอาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงวันนี้ บอกต่อเสิ่นอี่ว์สั้นๆได้ใจความ
“อะไรพ่ะย่ะค่ะ ทูตแคว้นต้าเซี่ยมีผู้นำเป็นพ่อบ้านกาวจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?!”
เสิ่นอี่ว์ตกใจมาก หน้าตาไม่อยากจะเชื่อ
พ่อบ้านกาวไม่ได้ตายไปแล้วหรือ ทำไมตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นทูตแคว้นต้าเซี่ยได้?
อีกอย่างฟังจากที่ฝ่าบาทตรัสมา ตอนนี้หยุนอี่ว์โหรวและฮองเฮาเหนียงเหนียง ก็ล้วนอาจจะเป็นจวิ้นจู่แคว้นต้าเซี่ยได้
ฝ่าบาทคิดว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นจวิ้นจู่อย่างแน่นอน จึงได้กลัวว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงจะติดตามทูตกลุ่มนั้นจากไป จึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
ทว่า……
เสิ่นอี่ว์มองไปทางกู้โม่หานอย่างฉับพลัน มีความลังเลที่จะพูดออกมาเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เป็นเพราะความกังวลมากมายของตัวเอง จึงทำให้หนานหว่านเยียนและกู้โม่หานขัดแย้งเข้าขั้นลึกซึ้งได้เช่นนี้ เขาจึงกัดฟัน ทำมือเคารพและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งที่จะต้องทูลรายงานพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา”
เสิ่นอี่ว์กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าน้อยทำตามรับสั่งของพระองค์ ไปตรวจสอบทุกอย่างของหยุนอี่ว์โหรว รวมทั้งตำหนักกวนโม่ที่นางเคยอาศัยอยู่ในเดิมที”
“คิดไม่ถึง ว่าข้าน้อยจะพบศพองครักษ์ผู้หนึ่งอยู่ในพุ่มหญ้าที่ลานด้านหลังของตำหนักกวนโม่!”
“ศพนั้นถูกจัดการอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว ทั้งยังเสียชีวิตด้วยยาพิษอีก เวลาที่เสียชีวิตก็ไม่นาน น่าจะเป็นสองสามวันก่อน ข้าน้อยสงสัยว่าหยุนอี่ว์โหรวจะเป็นผู้ลงมืออย่างโหดเหี้ยม แต่สามวันก่อน นางก็ถูกฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกตัวไปอย่างกะทันหัน จึงไม่ได้กลับมาจัดการทำความสะอาดศพนี้”
“หลังจากที่หยุนอี่ว์โหรวถูกไทเฮาพาตัวไป ก็ไม่มีโอกาสกลับมาจัดการ ศพนั้นถูกตากทิ้งไว้ที่ลานด้านหลัง ทิ้งเบาะแสไว้มากมาย”
ได้ยินดังนั้น ม่านตาสีดำดั่งหมึกของกู้โม่หานก็หรี่ลงเล็กน้อย ลมปราณอันเย็นยะเยือกน่ากลัวแผ่ออกมารอบตัวของเขา เหมือนตกผลึกเป็นเกล็ดน้ำแข็งเช่นนั้น ยิ่งทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน “สืบได้หรือไม่ว่าองครักษ์นั่นเป็นผู้ใด?”
สีหน้าของเสิ่นอี่ว์เปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้น “ข้าน้อยสืบแล้ว องครักษ์ทุกคนในพระราชวัง มีเพียงคนเดียวที่ชื่อหยางเลี่ยได้หายตัวไปโดยไร้สาเหตุ และคนผู้นี้ ก็คือคนที่จวนอี้อ๋องสนับสนุนให้มาเป็นหนึ่งในองครักษ์ในตอนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท เป็นไปไม่ได้ที่องครักษ์ในวังจะเข้าออกตำหนักบรรทมของพระชายาและสนมได้ตามอำเภอใจ แม้ว่าตอนนั้นพระองค์จะไม่ได้ยอมรับว่าหยุนอี่ว์โหรวเป็นพระชายา แต่ก็ไม่มีองครักษ์คนใดสามารถข้ามเส้นเข้าไปง่ายๆได้อย่างแน่นอน! แต่หยางเลี่ยกลับปรากฏตัวในตำหนักบรรทมของหยุนอี่ว์โหรว กระทั่งยังตายในตำหนักบรรทมของนางอีก”
“หากจะบอกว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กันแม้สักนิด ข้าน้อยก็ไม่เชื่อ ไม่เช่นนั้นทำไมหยุนอี่ว์โหรวจะต้องฆ่าเขา ทั้งยังฆ่าเขาในเวลาที่พระองค์สงสัยที่มาของลูกในท้องนางตอนนั้นพอดีอีก”
พูดพลาง เสิ่นอี่ว์ก็สังเกตสีหน้าของกู้โม่หานอย่างระมัดระวัง และเปิดปากขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า เป็นไปได้มากที่หยางเลี่ยจะเป็นชายชู้ของหยุนอี่ว์โหรว เพราะกลัวว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดโปงจึงได้ถูกฆ่า หากว่าสันนิษฐานเช่นนี้ เช่นนั้นเด็กที่หยุนอี่ว์โหรวตั้งครรภ์ ก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็น……”