ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 835
ใบหน้าของกู้โม่หานขาวยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาดำขลับจ้องเขม็งหมอหญิง ความกระวนกระวายในแววตาชัดเจนยิ่งกว่าผู้ใด
เฟิงเช่อสะบัดมือของหยุนเหิงออกด้วยความโกรธ นางจ้องมองเขาอย่างไร้ความปรานี จากนั้นจึงหันไปทางเท่เฟย
“เท่เฟย จวิ้นจู่พ้นขีดอันตรายแล้ว ทารกในพระครรภ์ก็ปลอดภัย แต่ขณะนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ต้องรออีกสักพักหนึ่งถึงจะฟื้น”
“ตอนนี้ บ่าวจะต้องไปต้มยาให้จวิ้นจู่” ขณะที่พูด นางอดไม่ได้จ้องเขม็งไปที่กู้โม่หาน “และขอแนะนำทุกท่าน จวิ้นจู่จำเป็นต้องพักผ่อน ใครก็ห้ามรบกวน!”
พูดจบ นางเพียงก้มศีรษะเบาๆแสดงความเคารพต่อเท่เฟย ไม่สนใจผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง และมุ่งตรงจากไป
นางเกลียดคนแคว้นซีเหย่กลุ่มนี้ พวกเขาซ่อนจวิ้นจู่เอาไว้ที่นี่นานหลายปี ทำให้เจ็บปวดทุกด้าน วันนี้หากไม่ใช่เพราะจวิ้นจู่ดวงดี จะสามารถรอดมาได้อย่างไร!
ยิ่งไปกว่านั้น พี่สาวของนางเฟิงยางอยู่ในพระราชวังแห่งนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรมิอาจรู้ได้ มันยิ่งทำให้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
หยุนเหิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ฮองเฮาเหนียงเหนียงและพระโอรสต่างปลอดภัย ดีจริงๆ ช่างดีเหลือเกิน!
เขากำลังคิดจะหันไปมองกู้โม่หาน ทว่ากู้โม่หานกับคนอื่นทนรอไม่ไหวเข้าไปในตำหนักก่อนแล้ว ทุกย่างก้าวของกู้โม่หาน มีคราบเลือดสองสามหยดบนพื้น จังหวะฝีเท้าเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เห็นได้ชัดเจนว่าใกล้จะไม่ไหวแล้ว
สีหน้าของหยุนเหิงเคร่งเครียด รีบตามไปทันที
กู้โม่หานเดินมาถึงหน้าเตียง มองเห็นหนานหว่านเยียนนอนอยู่บนเตียง ดวงตาดำขลับสั่นไหวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดใจท่วมท้น
เห็นเพียงสีหน้าอันซีดเซียวของกู้โม่หาน บนใบหน้าอันสวยงามไม่มีสีสันอีกต่อไป และยิ่งไม่มีชีวิตชีวาและความกระปรี้กระเปร่าดั่งในวันวาน คราบเลือดแห้งกรังที่เปรอะเปื้อนอยู่บนแก้มขาวผ่องของนางดูน่าตกใจเป็นพิเศษ
ถึงแม้นางจะตกอยู่ในอาการโคม่า แต่ก็ยังขมวดคิ้วแน่น ไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ถึงแม้กระโปรงของนางจะถูกเฟิงเช่อจัดการไปแล้ว แต่คราบเลือดยังคงแพร่กระจายอยู่ ริมฝีปากขาวซีดของกู้โม่หานขยับ แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ดวงตาของเขาเป็นสีแดง มีน้ำตาคลออยู่ตลอดเวลา ประหนึ่งว่าหัวใจถูกอะไรสักอย่างบิดจนเจ็บปวด นิ้วมือเรียวยาวลูบไล้แก้มของนางเบาๆ
เขาจูบหว่างคิ้วของนางอย่างแผ่วเบา มันเต็มไปด้วยความสงสาร จากนั้นจึงลูบท้องน้อยที่นูนขึ้นมาของนาง และเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “หว่านเยียน……”
ในวินาทีนี้ เขาอยากจะตอบแทนเบื้องบนเพื่อเป็นการขอบคุณสวรรค์เหลือเกินที่ไม่ได้ฆ่าเขาทั้งหมด หว่านเยียนของเขาปลอดภัย เขาและลูกของหว่านเยียนก็ปลอดภัยเช่นกัน
หวงไท่เฟยมองเห็นการกระทำละเอียดอ่อนทั้งหมดนี้ นางอดเช็ดน้ำตาไม่ได้
ส่วนหยุนเหิงก็ก้มหน้าลง ไม่กล้ารบกวน
ใบหน้าของกู้โม่หานไร้เลือดฝาดยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เส้นประสาทผ่อนคลายลง ไม่คิดว่าตรงหน้าจะกลายเป็นสีดำไปชั่วขณะหนึ่ง ความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลก็เปลี่ยนเป็นยากจะทนได้
เขาฝืนมองไปที่หยุนเหิง “หยุนเหิง! ข้าขอสั่งเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เจ้าจะต้องปกป้องฮองเฮา!”
“หากเกิดอะไรขึ้น……”
ยังไม่ทันพูดจบ กู้โม่หานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตรงหน้ามืดลงทันที และล้มลงไปบนพื้นอย่างแรง
“โม่หาน!” หวงไท่เฟยตกใจสุดขีด รีบเข้าไปโอบกอดกู้โม่หานที่หมดสติเอาไว้และตะโกนเรียกหมอหลวง “ช่วยด้วย!”
“เร็วเข้า หามฮ่องเต้ออกไป ต้องดึงปิ่นปักผมออกทันทีเพื่อห้ามเลือด!” หมอหลวงไม่กล้าโอ้เอ้ เขาเหงื่อตกดำเนินการปฐมพยาบาลให้แก่กู้โม่หานโดยพลัน
ใครต่างก็รู้ว่า กู้โม้หานฝืนทนมานานมาก เขาสูญเสียเลือดไปเยอะแล้ว แต่ที่นี่คนเยอะเกินไป ไม่อาจให้การรักษาได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่
หยุนเหิงเฝ้ามองผู้คนเข้าออกภายในตำหนัก กู้โม่หานก็ถูกพาตัวไป มือของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
เขาเม้มริมฝีปาก ขอบตาแดงก่ำกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่กลับไม่กล้าตามไป
อันที่จริงเขารู้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้เข้มแข็งเกรียงไกรเหมือนอย่างที่เคย และเขาก็เชื่อว่า ฮ่องเต้ไม่ได้ตั้งใจฆ่าท่านน้าหลวง
ทั้งหมดนี้ มันต้องมีความเข้าใจผิดแน่นอน
ครั้งก่อนที่ฮ่องเต้พาฮองเฮาเหนียงเหนียงไปจวนของเขาเพื่อรักษามารดาของเขา อันที่จริงเขาแอบหวังว่าพวกเขาจะมีความสุขดี
หยุนเหิงคุกเข่าออกไปที่ประตูอย่างเคร่งขรึม สีหน้าจริงจังผิดปกติ
“ฮ่องเต้โปรดวางใจ ข้าน้อยจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด!”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าน้อยจะเฝ้าอยู่เคียงข้างฮองเฮาเหนียงเหนียง ดูแลไม่คลาดสายตา!”
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ณ ตำหนักอู๋ขู่ หนานหว่านเยียนฟื้นขึ้นมาพร้อมศีรษะอันหนักอึ้ง และอาการปวดท้องน้อย นางเอื้อมมือไปคลำท้องของตนเองโดยสัญชาตญาณ ความขึงตึงภายในศีรษะยิ่งแน่นขึ้น
ท้องยังคงนูนอยู่ นอกจากอาการปวดท้องเล็กน้อย ดูเหมือนไม่มีสัญญาณไม่ดีอย่างอื่น
ค่อยยังชั่ว ลูกน้อยยังคงอยู่
สีหน้าของหนานหว่านเยียนขาวซีด ขอบตาแสบร้อนอย่างไม่นึกมาก่อน
“หว่านเยียน เจ้าฟื้นแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงอันไพเราะอบอุ่นก็ดังขึ้นมาข้างหู ขอบตาของหว่านเยียนร้อนผ่าวทันที หันไปมองด้วยความยากลำบาก และพยายามส่งเสียงแหบพร่าออกไป “ท่านพี่……”
ลู่ยวนหลีกับเด็กผู้หญิงสองคนยืนอยู่ข้างเตียง และยังมีอาจี้ที่กำลังสะอื้นไห้
“ท่านแม่……” เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยตาแดง โดยเฉพาะซาลาเปาน้อย นางร้องไห้จนตาบวมแดง
พวกนางเห็นสีหน้าของหนานหว่านเยียนขาวซีดจนดูไม่ได้ ภายในใจเจ็บปวดและทุกข์ใจจนไม่อาจเอ่ยออกมา
พวกนางรู้ข่าวการตายของท่านปู่หมิงแล้ว มิหนำซ้ำยังรู้ว่าท่านปู่หมิงตายเพราะถูกเสด็จพ่อฆ่าเองกับมือ……
เกี๊ยวน้อยกัดริมฝีปาก มือเล็กๆกำหมัดแน่น ไม่อาจบอกได้ว่าอารมณ์ซับซ้อนภายในดวงตาเป็นแบบใด
ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกนางถูกพ่อเฮงซวยขังเอาไว้ในตำหนักบรรทมของเขา มีคนชุดดำสวมหน้ากากหลายคนมาฆ่าพวกนาง
พวกนางไม่คาดคิดเลยว่า เสด็จแม่ที่อยู่ตรงนี้ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน ส่วนท่านปู่หมิงก็ยัง……
เกี๊ยวน้อยทำปากมุ่ยพยายามไม่ให้ตนเองร้องไห้อีกครั้ง ฟุบลงข้างเตียงหนานหว่านเยียนมองนางเงียบๆ เอื้อมมือไปลูบใบหน้าสวยที่เย็นเยือกของหนานหว่านเยียน “เสด็จแม่ ยังเจ็บอยู่ไหมเพคะ?”
หนานหว่านเยียนส่ายหน้า มองไปที่ซาลาเปาน้อย “เจ้าเข้าพระราชวังมาได้อย่างไร?”
ซาลาเปาน้อยกัดปาก “คือ คือว่าท่านพี่เสิ่นอี่ว์พาลูกเข้ามา”
เสิ่นอี่ว์?
ความเยาะหยันฉายแวบขึ้นมาในแววตาของหนานหว่านเยียน นั่นคือคำสั่งของกู้โม่หาน นึกถึงที่เขาบีบบังคับนาง ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นหรือตาย แต่นางไม่เคยมีความปรารถนาที่จะถามอยู่แล้ว
ซาลาเปาน้อยปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว นางบิดแขนเสื้อและก้าวไปข้างหน้า จ้องมองหนานหว่านเยียนอย่างใกล้ชิด
“เสด็จแม่ ท่านอย่าร้องไห้ไปเลย ก่อนหน้านี้ท่านปู่หมิงเคยบอกว่า หลังจากมนุษย์ตายไปแล้วจะกลายเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า หากเสด็จแม่คิดถึงใคร ก็ให้เงยหน้ามองท้องฟ้าในยามค่ำคืน เสด็จแม่จะเจอแน่นอน”
ท่านน้า……
ความเสียใจอย่างไม่รู้จบที่ผสานเข้ากับความเจ็บปวดปะทุขึ้นในหัวใจทันที ดวงตาของหนานหว่านเยียนเปียกชื้น แต่พยายามกลั้นเอาไว้ ไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าเด็กๆ
ลู่ยวนหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงเด็กผู้หญิงสองคนมาไว้ข้างกาย และเอ่ยเสียงเบา “หว่านเยียน เจ้าอย่ามีอารมณ์มากเกินไป มันไม่ดีต่อเจ้าและลูก ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยดีใช่ไหม ข้าจะเรียกเฟิงเช่อมาตรวจดูเจ้า?”
เฟิงเช่อเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าบุรุษที่มีนามว่าหยุนเหิง เขาเองก็เฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนักตลอดเช่นกัน ไล่ไม่ยอมไป
หนานหว่านเยียนมองดวงตาสีทองคู่นั้นของลู่ยวนหลี
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ท่านไม่ต้องเป็นกังวล……ท่านน้าล่ะ?”