ลู่ยวนหลีฟังอยู่ด้วยความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาในใจ
เขารู้ว่าโม่หวิ่นหมิงนั้นเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่น แต่กลับนึกไม่ถึงว่าถึงจะตายไปแล้ว ก็ยังคิดคำนึงถึงหนานหว่านเยียนอยู่ ถ้าหากเขาเผยความในใจให้กระจ่างออกไป กลัวแต่เพียงว่าชาตินี้ทั้งชาติ หว่านเยียนจะต้องโทษตัวเองไปจนแก่จนเฒ่า ส่วนกู้โม่หาน ยิ่งไม่มีวันที่จะได้ใจของหนานหว่านเยียนกลับคืนไปอย่างแน่นอนตลอดกาล
ไม่นึกว่าหวิ่นหมิงกลับไม่สารภาพรักกับนาง เขาหวังจริง ๆ ว่านางนั้นจะมีความสุข
เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างเงียบ ๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องกู้โม่หาน
ถึงแม้ว่าตอนนั้นพวกนางจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็พอที่จะสามารถจินตนาการนึกเรื่องราวออกมาได้ ตอนที่ท่านแม่เห็นพ่อแสนเลวสังหารท่านน้าจนตาย คงต้องรู้สึกปวดร้าวยิ่งนัก
ตอนที่พวกนางแค่ได้ทราบข่าวนี้ ก็รู้สึกว่าหัวใจทั้งดวงเริ่มที่จะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ท่านพ่อเลว ทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ยังไงกัน เกลียดเขา เกลียด!
บรรยากาศดูเหมือนจะเงียบเชียบและมีความกดดันอยู่พอสมควร
ในใจของอาจี้เองก็รู้สึกว่าเกินกว่าที่จะรับไหว แต่ในเมื่อสุดท้ายแล้วคุณชายเองก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป เช่นนั้นย่อมแสดงว่าคุณชายไม่ต้องการให้จวิ้นจู่ต้องเป็นทุกข์เป็นแน่
เขาจึงกล้ำกลืนเก็บความลับทั้งหมดที่มีลงไปเสียสิ้นอย่างรู้ความนัย เช็ดน้ำตาที่นองจนแห้ง เผยให้เห็นท่าทีที่ขึงขังดึงดัน “ข้าน้อยทราบแล้ว”
“คุณชายได้กล่าวอำลากับท่านแล้ว ทั้งยังขอให้จวิ้นจู่นั้นอย่าได้เศร้าโศกอาดูรเช่นนั้น ตอนที่ที่คุณชายยังอยู่ ทนเห็นจวิ้นจู่เสียใจไม่ได้เป็นที่สุดเลย”
“คุณชายขอให้จวิ้นจู่นั้นต้องมีความสุข เช่นนั้นแล้วจวิ้นจู่เองก็ย่อมต้องร่าเริงแจ่มใส เพื่อให้ดวงวิญญาณคุณชายในปรโลกสามารถรับรู้ได้ถึงความสบายใจ”
เมื่อสิ้นถ้อยคำที่ฝากไว้ ใจของหนานหว่านเยียนก็รู้สึกถูกเสียบแทงทะลุเจ็บปวดไปทั้งดวง
น้ำตาของนางไม่อาจควบคุมให้หยุดไหลรินได้อีกต่อไป นิ้วมือที่บอบบางเกาะกุมผ้าปูเตียงที่อยู่ข้างกายจนแน่น ดวงใจเหมือนมีก้อนศิลาหนักอึ้งกดทับไว้ กดทับจนตัวนางจวนจะหายใจไม่ออก
ผ่านไปนานพอดู หนานหว่านเยียนจึงยอมฝืนสงบใจจนสามารถพูดออกมาได้ นางมองไปที่ลู่ยวนหลี ดูเหมือนว่าจะใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายทั้งหมดที่มีนั้นอ้าปากเอ่ยคำพูด “พี่ชาย ข้าอยากกลับบ้าน พวกข้ากลับต้าเซี่ยกันเถอะ”
“ทั้งท่านน้าก็ด้วย พวกข้าพาเขากลับไปต้าเซี่ยด้วยกันเถิด ที่แห่งนี้ ข้าเองก็ทนอยู่ไม่ได้แม้ชั่วขณะเดียว”
นางรังเกียจซีเหย่ รังเกียจบรรดาผู้คนที่ทำให้นางเจ็บปวดแสนสาหัส และที่เกลียดยิ่งกว่าก็คือกู้โม่หานผู้ที่ฆ่าท่านน้าด้วยมือของเขาเอง
ทนรออยู่ที่นี่อีกต่อไปสักพัก นางก็ยิ่งรู้สึกว่าแม้แต่อากาศก็เริ่มดูขุ่นมัว ภายในท้องของนางก็เริ่มปั่นป่วน นางปวดจนไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป
“ได้”
เสียงของลู่ยวนหลีหนักแน่นทรงพลัง เขายื่นมือออกไปลูบเรียวคิ้วที่ขมวดแน่นของหนานหว่านเยียนอย่างอ่อนโยน แต่น้ำเสียงกลับปวดร้าวและเศร้าใจ
“พี่ชายจะพาเจ้ากลับบ้านเอง”
เขาก้มตัวลงไปโอบอุ้มตัวหนานหว่านเยียนไว้อย่างมั่นคง ขยับฝีก้าวเดินที่หนักแน่นเดินออกมาทางด้านนอกของตำหนักทีละก้าว
หนานหว่านเยียนเอนซบอยู่ในอ้อมอกของลู่ยวนหลี แล้วค่อย ๆ ปิดตาลงช้า ๆ
นางเอามือลูบไปที่ท้อง อีกทั้งพึมพำเบา ๆ เป็นประโยคว่า “ท่านน้า พวกข้าจะกลับบ้านแล้ว”
อาจี้และสาวน้อยทั้งสองคนเดินติดตามทางด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ตอนที่จะออกจากประตูตำหนัก ผู้คนยังเห็นว่าเฟิงยางรออยู่ที่ด้านนอก เพียงแต่ก้มหน้าไม่ยอมมองผู้คน เลยทำให้คนเหล่านั้นเห็นใบหน้าของนางไม่ชัด
อาจี้เดินตามหนานหว่านเยียนและลู่ยวนหลี ขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้นานแล้วด้านนอกตำหนัก
ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรถม้าเท่านั้น พระองค์ท่านยังทรงดำริอย่างถี่ถ้วน ว่าก่อนที่จวิ้นจู่จะรู้สึกตัว ก็ได้จัดการเรื่องราวทั้งหมดอย่างเสร็จสิ้นแล้ว
เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยเดินตามเฟิงยางไปข้างหน้า นัยน์ตาของสองพี่น้องต่างก็แดงก่ำ
พวกนางต่างหันมองไปยังตำหนักที่พำนักของกู้โม่หานอย่างพร้อมเพรียง ได้ยินว่าเขายังคงอาการสาหัสไม่คืนสติ ไม่รู้สภาพการณ์ที่เป็นรูปธรรมนัก
ทว่าตอนนี้ ทั้งสองพี่น้องต่างเกาะกุมมือของกันและกันจนแน่น ครั้งนี้พวกนางทั้งสองคนไม่มีความกังขาใด ๆ อีกแล้ว ตามขึ้นรถม้าไปโดยไม่ลังเล
ด้านนอกของรถม้ามีลมคิมหันต์พัดให้ระอุ แต่บรรยากาศภายในรถกลับเหมือนฤดูหนาวของเดือนสิบสอง ทั้งหนาวเหน็บและอาดูร
รถม้าคันหนึ่งได้วิ่งออกห่างจากวังหลวงอย่างเร็วรี่ ด้านหลังยังมีขบวนคณะทูตทั้งตัวจริงตัวปลอมจำนวนมหาศาลเดินตามมา รวมทั้งคนที่พันธนาการด้วยโซ่ตรวนและแววตาไม่ยอมคนอย่างพ่อบ้านกาว