เมื่อออกจากวังกลับมายังจวนเฟิ่งแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ปิดประตูอยู่แต่ภายในจวน เรื่องที่ใครต่อใครซุบซิบกัน เฟิ่งชิงเฉินจะถือเสียว่าไม่เคยได้ยิน
เรื่องพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับนางล่ะ
และสำหรับเกียรติยศชื่อเสียงของตงหลิงจื่อลั่วและราชวงศ์แล้ว เรื่องซุบซิบเช่นนั้นก็นับว่าไม่เลวเลย
เพราะหากคนอื่นๆมารู้เข้า ว่าคู่หมั้นของลั่วอ๋องได้สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ราชสกุลตงหลิงคงจะตกที่นั่งลำบากแน่
เป็นเวลา 5 วันเต็มๆที่มีคนมาคอยจับตาดูสถานการณ์อยู่ที่หน้าจวนเฟิ่ง แต่ทำไมถึงไม่เห็นคนของเฟิ่งชิงเฉินบ้างเลยล่ะ
คนเหล่านี้แทบจะปีนกำแพงเข้ามาแล้ว ติดที่ว่าทุกคนกำลังครุ่นคิดกับคำพูดของลั่วอ๋อง
ห้ามไปรบกวนเฟิ่งชิงเฉิน
แล้วเฟิ่งชิงเฉินล่ะ?
ตลอด 5 วันที่ผ่านมา นางกำลังพักรักษาตัวอยู่ในจวน
บาดแผลบนใบหน้าไม่เท่าไร ล้างแผลให้สะอาดแล้วหาผ้ามาปิดไว้ก็ได้แล้ว แต่อาการบาดเจ็บตามร่างกายคงต้องใช้เวลาอีกนาน
การลงไม้ลงมือที่ประตูเมืองทำเอาร่างกายของนางบอบช้ำ บวกกับการที่นางถูกตงหลิงจื่อลั่วเตะขาตอนที่อยู่ในวังหลวง ทำให้นางกัดฟันด้วยความแค้น
เฟิ่งชิงเฉินแช่ตัวในอ่างน้ำ นางกำลังอาบน้ำผสมยาพร้อมกับครุ่นคิดว่าต่อไปนางจะทำเช่นไรดี
อาการฟกช้ำตามร่างกายดีขึ้นแล้ว นางต้องเลือกแล้วว่า จะอยู่ที่จวนเฟิ่งต่อ หรือจะไปจากสถานที่แห่งนี้
หลังจากที่คิดไปคิดมา เฟิ่งชิงเฉินก็ตัดสินใจว่านางจะอยู่ที่จวนเฟิ่งต่อไป
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ พ่อแม่ของนางล้วนจากไปอย่างอนาถ
เมื่อชาติที่แล้ว นางไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง คำว่าบ้าน เป็นคำที่พิเศษมากสำหรับนาง
แม้จวนเฟิ่งจะดูล้าสมัย แต่ก็ให้ความอบอุ่นกับนางมา นางไม่อยากจากที่แห่งนี้ไป……
เรื่องราวในวันนี้ คงไม่ใช่ฝีมือของราชสกุลตงหลิงแน่นอน หากเป็นพวกเขาจริงๆคงไม่พานางไปพบกับจุดจบที่น่าสมเพชเช่นนั้น เพราะหากนางเสื่อมเสีย ก็เท่ากับราชสกุลตงหลิงต้องมาพลอยเสื่อมเสียไปพร้อมกัน
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หากนางลาจากวังหลวงไป ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น!
“เป็นฝีมือใครกันแน่นะ?” เฟิ่งชิงเฉินตีน้ำที่นางกำลังแช่ นางพยายามค้นหาความทรงจำของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ดูเหมือนว่า เฟิ่งชิงเฉินคนก่อนหน้านี้ไม่เคยจดจำเรื่องความบาดหมางกับใครเลย
จะว่าไป ตงหลิงจื่อลั่วก็มีคนหมายปองอยู่มากมาย จะเป็นฝีมือคนพวกนี้หรือเปล่านะ?
น่าหงุดหงิดจริงๆเลย!
เฟิ่งชิงเฉินตีน้ำอย่างแรง แล้วก็เอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมที่วางอยู่ใกล้ๆ
“ช่างเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว! อย่างไรก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะอยู่ที่จวนเฟิ่งต่อไป” ตงหลิงจื่อลั่วจะต้องคอยปกป้องนางครึ่งปี ภายในครึ่งปีนี้ จะต้องหาตัวคนลงมือได้แน่นอน
เฟิ่งชิงเฉินลุกออกมาจากอ่างน้ำ เส้นผมที่เปียกน้ำของนางยาวแนบไปกับแผ่นหลัง และมีหยดน้ำหยดออกมาเรื่อยๆ
เฟิ่งชิงเฉินหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างๆมาห่อหุ้มร่างกายของนางไว้ หยดน้ำจากเส้นผมพลันหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชื้น
เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจไม่ นางเดินออกมาข้างนอกด้วยสภาพที่กึ่งเปียกกึ่งแห้ง
แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนร่างเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาแห่งแสงจันทร์!
แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินก้าวเดิน ภาพลักษณ์เทพธิดาของนางกลับถูกทำลายไปเสียสิ้น
เฟิ่งชิงเฉินฝีเท้าหนักหน่วง นางเดินอย่างอกผายไหล่ผึ่ง การก้าวเดินแต่ละก้าวเหมือนจะขาดความอ่อนโยนแบบผู้หญิง ท่าทางของนางดูห้าวหาญเสียมากกว่า
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ภายในคืนๆเดียว เจ้าก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ข้านึกว่าเจ้าจะตายอยู่ในจวนเฟิ่งเสียแล้ว ไม่นึกเลยว่า……เจ้าจะทำให้ข้าสนใจในตัวเจ้ามากขึ้นทุกวัน” บนกำแพงของจวนเฟิ่งปรากฏร่างชายชุดม่วงนั่งอยู่ ในมือของเขามีเหล้าอยู่ 1 ไห ท่าทางสบายอกสบายใจ……
ชายผู้นี้ก็คือซีหลิงเทียนเหล่ย หรือรัชทายาทซีหลิง ซึ่งเป็นคนที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ที่โรงน้ำชาในวันนั้น ดึกสงัดเช่นนี้ ซีหลิงเทียนเหล่ยเหมือนจะว่างเกินไป จึงมาปีนกำแพงจวนผู้อื่นเล่น
……
เมื่อฟ้าสาง สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินทำเป็นอันดับแรกก็คือการตรวจสอบนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
นาฬิกาข้อมือนี้เปรียบเสมือนกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะที่เดินทางมาที่ยุคโบราณพร้อมกับนาง
กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการแพทย์ในสนามรบโดยเฉพาะ ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงทดลอง เฟิ่งชิงเฉินคือหนึ่งในผู้ที่ริเริ่มทดลองใช้เป็นครั้งแรก
นาฬิกาข้อมือสีดำที่ปราศจากลวดลายใดๆ หากทำหล่นไว้ตามข้างทาง ผู้คนคงมองเป็นเพียงแค่เศษเหล็ก
แต่เจ้านาฬิกาข้อมือชิ้นเล็กชิ้นนี้กลับมีชิปฝังอยู่มากมาย
ซึ่งชิปเหล่านี้เชื่อมต่อกับสมองของผู้ใช้ หากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ถูกเปิด คลื่นสมองก็จะสามารถรับทราบข้อมูลของกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ได้ทันที
ภายในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ นอกจากจะมียาและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดแล้ว ยังสามารถใช้แทนอุปกรณ์ตรวจขนาดใหญ่บางชนิดได้อีกด้วย ซึ่งช่วยในการตรวจร่างกายเบื้องต้น
เครื่องมือเหล่านี้ ไม่เพียงแค่ในสนามรบ แม้แต่ในป่าก็สามารถใช้รับมือกับทหารที่บาดเจ็บได้โดยตรง
กระเป๋าเครื่องมือแพทย์เป็นของล้ำค่าของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าจะเป็นในยุคปัจจุบันหรือว่ายุคโบราณ
ครอบครัวของเฟิ่งชิงเฉินนั้นขัดสนมาก ขัดสนชนิดที่ว่า……
งานแต่งงานของเฟิ่งชิงเฉิน สมบัติในจวนที่จะติดตัวนางไป มีเพียงแค่ 8 หีบเล็กๆเท่านั้น
ดีที่งานแต่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น มิฉะนั้นตระกูลเฟิ่งต้องขายหน้าเป็นแน่
มองดูเสื้อผ้าแต่ละตัวที่พับไว้อย่างเรียบร้อยในหีบแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกสลดใจ
เฟิ่งชิงเฉินคนเดิมช่างเป็นคนที่เรียบร้อยจริงๆ
ถ้าหากว่า ถ้าหากว่านางสามารถมีชีวิตต่อไปในร่างกายที่อยู่ในยุคปัจจุบันได้ คงจะมีความสุขไม่น้อยเลย
แต่กระเป๋าเครื่องมือแพทย์ของนางหาย ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินกลับไปยังยุคปัจจุบันได้ ก็คงต้องเจอปัญหาใหญ่……
ช่างเถอะ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องที่ยังแก้ไขไม่ได้ ในเมื่อกลับมาที่นี่แล้ว ก็จงมีชีวิตต่อไปแทนเฟิ่งชิงเฉินก็แล้วกัน เรื่องราวที่ผ่านมาก็พักเอาไว้ก่อน เพราะอดีตของนางในโลกปัจจุบันก็ไม่มีสิ่งใดมาทำให้นางต้องคิดถึงอยู่แล้วนี่
หลังจากเก็บกวาดจวนเฟิ่งเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เตรียมเงินที่ทั้งจวนเฟิ่งเหลืออยู่เพียง 10 ตำลึงเพื่อจะออกไปซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน หลังจากที่นางอยู่แต่ในจวนเฟิ่งมา 5 วัน ของใช้ต่างๆ นางได้ใช้ไปหมดแล้ว
แต่ทันทีที่นางเปิดประตู ก็พบกับเจ้าหน้าที่ 2 คนที่กำลังจะเคาะประตูอยู่พอดี
“หืม?” เฟิ่งชิงเฉินมองหน้าเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่มาหานางถึงหน้าจวน คงไม่ใช่เพราะเรื่องคุณชายเหยียนกระมัง ตงหลิงจื่อลั่วไปพูดอะไรแทนนางหรือเปล่านะ?
“คุณหนูเฟิ่ง ขออภัยที่มารบกวนนะขอรับ” เจ้าหน้าที่มีท่าทีเกรงใจ
แน่นอนน่ะสิ พวกเขาต้องเกรงใจนางอยู่แล้ว เพราะต่างได้ยินกิตติศัพท์ที่กล่าวขานถึงวีรกรรมของนางที่ประตูเมืองในวันนั้น เพียงแค่เห็นหน้าของเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเจ็บตัวแล้ว
“มีธุระอะไรหรือ?” มีเจ้าหน้าที่มาหาคงไม่มีใครดีใจ
เมื่อถูกเฟิ่งชิงเฉินมองหน้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนก็ขยาดจนต้องถอยหลังไป หนึ่งในนั้นก้มหน้าและกล่าวว่า “คุณหนูเฟิ่ง พวกเรา คือว่าพวกเรามาขอให้คุณหนูเฟิ่งช่วยจัดการเรื่องรับศพน่ะขอรับ”
“รับศพ?” เฟิ่งชิงเฉินยังมีญาติหรือคนใกล้ชิดอีกหรือนี่
“ขอรับ คุณหนูเฟิ่ง แม่นางหวั่นอินสาวใช้ของคุณหนู มีคนพบร่างนางอยู่ที่ริมแม่น้ำ ตอนนี้นางอยู่ที่ห้องเก็บศพ เชิญคุณหนูช่วยจัดการเรื่องรับศพด้วยขอรับ” เจ้าหน้าที่กล่าวด้วยความเป็นกังวล
พวกเขารับหน้าที่นี้มาก็อยากจะมาดูว่าคุณหนูเฟิ่งผู้สร้างวีรกรรมสะท้านเมืองหลวงมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่นึกเลยว่า……
ทันใดนั้นเอง เจ้าหน้าที่ก็ต้องสะดุ้งโหยง
“สาวใช้ของข้า?” เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะเชื่อเลย นี่ฝ่ายตรงข้ามเล่นฆ่าปิดปากเลยหรือนี่
“ใช่ขอรับ คุณหนู” เจ้าหน้าที่เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่เชื่อจึงได้พูดต่อไปว่า “มีคนเห็นว่าเมื่อ 5 วันก่อน นางได้ปรากฏตัวอยู่ที่ประตูเมืองพร้อมกับคุณหนู หลังจากนั้นก็ไม่เห็นนางในเมืองหลวงอีกเลย เมื่อวานนี้เราได้รับรายงานมาว่ามีศพลอยน้ำมานอนเกยอยู่ริมแม่น้ำนอกเมือง หลังการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นสาวใช้ของคุณหนู จึงมาแจ้งคุณหนูน่ะขอรับ”
โดยปกติแล้ว เหตุการณ์ทำนองนี้ให้บ่าวไพร่ไปจัดการก็เรียบร้อย แต่จวนเฟิ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ ทั้งจวนก็มีเพียงนางและสาวใช้อยู่ 2 คน ตอนนี้สาวใช้เสียชีวิต เฟิ่งชิงเฉินจึงจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง
คุณหนูอย่างนางช่างมีชีวิตที่รันทดจริงๆ
ดีที่เฟิ่งชิงเฉินคนปัจจุบันไม่ใส่ใจ นางชินกับการจัดการธุระด้วยตัวเองอยู่แล้ว นางพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่ทั้งสอง เฟิ่งชิงเฉินพูดกับพวกเขาอย่างสุภาพ “เช่นนั้น เชิญพวกท่านนำทางข้าไปด้วย”
คนตายทั้งที จะให้นางใจดำทิ้งศพไว้แบบนั้นได้อย่างไร
หา?
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
พวกเขานึกว่าคุณหนูเฟิ่งจะมอบเงินให้พวกเขาไปจัดการเรื่องงานศพ ไม่นึกเลยว่าคุณหนูเฟิ่งจะเดินทางไปด้วยตัวเอง นางเป็นถึงคุณหนู หากไปที่ห้องเก็บศพนางจะไม่ตกใจกลัวหรอกหรือ?
“เป็นอะไรไป? ทำไมไม่ไปล่ะ?” เฟิ่งชิงเฉินนึกว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองต้องการเงินรางวัล นางคลำเงิน 10 ตำลึงที่นางมีแล้วเก็บเงินไว้อย่างเดิมโดยที่ไม่ต้องคิด
ตอนนี้นางจนจะตายอยู่แล้ว!
เจ้าหน้าที่ทั้งสองรีบส่ายหน้า “เปล่า เปล่าขอรับ เชิญขอรับคุณหนูเฟิ่ง……”
เรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับนางทุกๆปี ปีนี้ดูเหมือนว่าจะหนักหนาเป็นพิเศษ
คุณหนูอย่างนางกลายเป็นคนใจกล้าตั้งแต่เมื่อใดหนอ
มันน่าแปลกจริงๆเลย!
บทที่ 010 บุญคุณ แอบหวั่นไหวต่อเสด็จอาจิ่ว
บทที่ 12 ช่วยคน