นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 30 ยุติคดี

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ผู้เฝ้าประตูเดินอยู่ด้านหน้าด้วยอาการเหนื่อยหอบ เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็หอบเช่นกัน มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินที่ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อยเท่านั้น

ทันทีที่นางเดินเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจได้ว่าตระกูลเซี่ยต้องการทำให้นางอับอายขายหน้า

คนที่มิเคยกินหมู จะมิเคยเห็นหมูเชียวหรือ?

จวนเช่นนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งหมื่นหมู่ ซึ่งมีรถม้าอยู่ภายในจวนเป็นแน่ มิฉะนั้น คนที่อยู่ชั้นในสุดวันๆ คงก็มิต้องทำงานอะไร เพียงเดินออกจากจวนก็ปาไปครึ่งวันแล้ว

คนรับใช้ของตระกูลเซี่ยคงคิดว่านางมิสามารถเดินได้มาก เช่นเดียวกับสตรีของตระกูลใหญ่ที่เท้าจะต้องถูกมัดให้เล็กเรียว จากนั้นก็รอให้นางร้องอ้อนวอนด้วยความเหนื่อย แต่คงคาดมิถึงว่าเป็นเพราะนางเสียมารดาไปตั้งแต่เล็ก จึงมิได้ผูกเท้าให้เล็กเรียว

เฟิ่งชิงเฉินมีเท้าที่เป็นธรรมชาติ ประกอบกับการฝึกฝนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา มิต้องกล่าวถึงการเดินทางเป็นเวลาสี่สิบห้าสอบนาที แม้นจะเดินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงนางก็ยังสามารถเดินได้โดยหน้ามิแดงและหายใจสะดวก

ล้อเล่นหรือ ความแข็งแรงทางกายภาพของศัลยแพทย์ต้องยอดเยี่ยมอยู่แล้ว มิฉะนั้นพวกเขาจะมิตายหรือหากทำการผ่าตัดใหญ่เป็นเวลาสามสิบหรือสี่สิบชั่วโมง

เมื่อถึงตอนนั้น การเป็นลมบนโต๊ะผ่าตัดมิใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการสูญเสียถึงชีวิต!

อีกฝ่ายคิดผิดไปแล้วละ

ฟู่……

“คุณหนูเฟิ่ง ไหวไหมขอรับ?” เจ้าหน้าที่ทั้งสองเหนื่อยหอบจนใช้มือโบกตามลม

พวกเขาทั้งเหนื่อยและกระหายน้ำ

จวนเซี่ยนี้ทำเกินไปแล้วจริงๆ

“ข้ามิเป็นไร หากเจ้าทั้งสองเหนื่อยก็พักก่อนเถิด หากมีเขานำทางข้าคงมิหลง” เฟิ่งชิงเฉินตอบเบาๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองชื่นชมนางมาก ส่วนคนเฝ้าประตูที่อยู่ด้านหน้าเหนื่อยเสียจนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ

นางเป็นสตรีหรือ? เป็นสตรีจริงหรือ?

นางสามารถเดินได้มากกว่าชายทั้งสามอีกหรือ?

ฟู่…… ตลอดทางมานี้เขาเดินอย่างรวดเร็ว บัดนี้เขามิมีกำลังพอที่จะดุด่าใคร โชคดีที่เขากำลังจะไปถึงเรือนรองแล้ว

หลังจากเดินไปอีกประมาณหนึ่งเล่มธูป ผู้เฝ้าประตูและเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็เหงื่อออกมากท่วมตัว ช่างทรมานยิ่งนัก

ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงอันโกรธของเซี่ยซานก็ดังออกมาจากลานข้างใน

“ส่งคนไปดูสิ เหตุใดเฟิ่งชิงเฉินยังมามิถึงอีก? ช่างทะเยอทะยานจริง นางไปกินดีหมีดีเสือมาหรือไร? กล้าละเลยตระกูลเซี่ยของข้าได้อย่างไร! นางคิดว่าชีวิตยืนยาวไปหรือ? ส่งคนไปดูนางว่าตายแล้วหรือยัง?”

เมื่อคนเฝ้าประตูได้ยินดังนั้น เขาก็หยุดอยู่กับที่ เท้าของเขาสั่นหน้าซีดจากความเหนื่อยล้า มองไปช่างซีดเซียว

เฟิ่งชิงเฉินมิได้แสดงความเห็นอกเห็นใจใดออกมา นางเดินผ่านคนเฝ้าประตูไปแล้วกล่าวว่า “มิจำเป็น ข้าอยู่นี่แล้ว”

เฟิ่งชิงเฉินผลักประตูเข้าไปและเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา

ดวงตาของนางกวาดมองไปมองสถานการณ์ในห้องนั้น รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

“ชิงเฉินคารวะใต้เท้าเว่ยและคุณชายทั้งสอง” นางกล่าว แต่ร่างกายของนางมิได้ขยับเขยื้อนเลย มิได้แสดงท่าทีของความเคารพแม้แต่น้อย

ส่วนคนอื่นๆ เฟิ่งชิงเฉินเพิกเฉยต่อพวกเขาทั้งสิ้น

“เฟิ่งชิงเฉิน ช่างลีลายิ่งนัก พวกเรารอเจ้ามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว” เห็นได้ว่าคุณชายเซี่ยซานอารมณ์มิดีและมีความอดทนต่ำ เขาตะโกนดุด่าออกมาทันที

คราวนี้เฟิ่งชิงเฉินมิได้ปล่อยไปเช่นนั้น แต่นางกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชาว่า “คุณชายสาม ดูเหมือนจะมองชิงเฉินผิดไปหรือไม่? มิใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินลีลาชักช้า แต่จวนเซี่ยของเจ้าใหญ่โตเสียเกินไป นับจากประตูเข้ามายังที่นี่ใช้เวลาอยู่ถึงสี่ห้าสิบนาที หากมิใช่เพราะมารดาของชิงเฉินจากไปแต่เล็ก ดังนั้นชิงเฉินจึงมิได้ผูกเท้าให้เล็ก ในวันนี้อย่าว่าแต่เดินทางมาช่วยคุณชายสามแบ่งเบาภาระเลย เกรงว่าหากสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากจวนเซี่ยได้ ชิงเฉินก็คงคิดว่าเป็นเรื่องตลกแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยซานรู้สึกหงุดหงิดทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้และหันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ

“ข้าน้อยจะไปสอบถามดูเดี๋ยวนี้ขอรับ” บ่าวข้างกายเฉลียวฉลาด เขารีบวิ่งออกไปทันที

“มิจำเป็น หากปราศจากคำสั่งของนาย ข้าคิดว่าบ่าวเหล่านี้คงมิกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย ในเมื่อตั้งใจทำแล้ว เหตุใดจึงได้ทำท่าทางเป็นมิรู้เรื่องราว น่าสะเอียนใจยิ่งนัก”

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับเซี่ยซาน แต่นางก็ดูมีความสุขที่ได้โยนความผิดนี้ให้กับเซี่ยซาน จะทำไมเล่า

“คนรับใช้ของตระกูลเซี่ยนั้นไร้มารยาทนัก” หวังชีเห็นด้วย เขามิได้ช่วยเฟิ่งชิงเฉิน เขาแค่อยากจะเหยียบเซี่ยซานซ้ำเท่านั้น

เซี่ยซานโกรธมาก เขากำลังจะอ้าปากด่าทอกลับ แต่ข้างหลังเขาปรากฏชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำตาลเดินออกมาอย่างรวดเร็วเขายกมือคำนับไปทางเฟิ่งชิงเฉินอย่างมิได้ใส่ใจแล้วกล่าวเบาๆ ว่า

“คุณหนูเฟิ่งต้องมารับความอับอายเช่นนี้ เป็นเพราะการละเลยในตระกูลเซี่ยของข้า หลังจากนี้ตระกูลเซี่ยจะส่งมอบชิ้นโตของไปให้คุณหนูเฟิ่งเพื่อรับขวัญ”

คำกล่าวนั้นดูดี แต่เต็มไปด้วยการดูถูก รวมไปถึงสายตาอันเหยียดหยามนั่นด้วย

“อืมดี ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากมาย ข้าเองก็อยากเห็นของขวัญชิ้นโตจากตระกูลเซี่ยเช่นกันว่าเป็นอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำตัวเป็นมิรู้มิชี้ นางไม่เพียงแต่ไม่ได้โมโหเนื่องจากถูกดูหมิ่น แต่กลับใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส

เอ่อ…… ชายวัยกลางคนถึงกับตกตะลึง

มีสตรีหน้าด้านหน้าทนได้ขนาดนี้ด้วยหรือ ฟังมิออกว่านี่เป็นการเยาะเย้ยหรือไร?

“อืมดี ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากมาย ข้าเองก็อยากเห็นของขวัญชิ้นโตจากตระกูลเซี่ยเช่นกันว่าเป็นอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำตัวเป็นมิรู้มิชี้ นางไม่เพียงแต่ไม่ได้โมโหเนื่องจากถูกดูหมิ่น แต่กลับใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส

พรึบ! หวังชีเปิดพัดออกแล้วซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากของเขาเอาไว้ จากนั้นสายตาที่มองไปทางเฟิ่งชิงเฉินก็ดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย

น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี หากนางเกิดเป็นชายละก็ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมิได้ขึ้นศาลในฐานะขุนนาง นางก็อาจมีโอกาสรับราชการได้

ความว่องไวปราดเปรื่องนี้ช่างน่าชื่นชมนัก

แค่กๆ……

บรรยากาศดูน่าอึดอัด ใต้เท้าเว่ยในชุดเครื่องแบบอย่างเป็นทางการซึ่งยืนอยู่ข้างหลังจึงเดินออกไป

เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลหวังและตระกูลเซี่ย ใต้เท้าเว่ยก็มิกล้าที่จะวางท่า แต่ต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินแล้ว กลับแสดงท่าทีเย่อหยิ่งออกมา เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “คุณหนูเฟิ่ง พวกเรารอกันอยู่นานโขแล้ว เชิญลงมือได้”

“ลงมือ ลงมือทำอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินดูงุนงงเล็กน้อย นางเอามือกอดอกและพิงไปที่เสาประตูครึ่งหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของนาง แต่ดวงตายังฉายแววไร้เดียงสาออกมา

มิต้องกล่าวถึงว่าการกระทำนี้ทำโดยสตรีเลย แม้แต่ชายเองก็นับว่าค่อนข้างหยาบคาย ทว่าเฟิ่งชิงเฉินกลับทำออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและดูเย่อหยิ่ง

ช่างย้อนแย้งแต่มีเสน่ห์เหลือเกิน

เซี่ยซานและหวังชีรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเต้นผิดจังหวะ พวกเขามิเคยเห็นสตรีที่กล้าหาญเช่นนี้มาก่อน สตรีที่เพิกเฉยต่อมารยาทและภาพลักษณ์เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม การยืนของเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ทำให้ตำแหน่งของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน

“ไร้จรรยา ไร้จรรยาสิ้นดี!” ชายวัยกลางคนชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉิน นิ้วของเขาสั่นคลอนดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมาก

ตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยมีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวดมาก แม้แต่สาวใช้ก็มิสามารถทำอะไรที่ไร้มารยาทเช่นนี้ได้ มิต้องกล่าวถึงสตรีในตระกูล

“จรรยา? จรรยาคือสิ่งใด? คุณชายสามเชิญข้าให้มาเอง หลังจากเดินทางมาเป็นเวลานานกว่าจะถึง แม้แต่ชาสักถ้วยก็มิมีต้อนรับ หรือไม่มีแม้แต่ที่นั่งเสียด้วยซ้ำ ทำไมหรือ? บัดนี้ข้าเอนกายพิงไปที่ประตูก็มิได้? นี่คือวิธีการต้อนรับแขกของจวนเซี่ยหรือ? ดูเหมือนจะมิอาจสู้จวนเฟิ่งของข้าได้ด้วยซ้ำไป”

เฟิ่งชิงเฉินยังคงนิ่งเฉยและไม่เอาความดูถูกของทุกคนมาใส่ใจ

นางมิแปลกใจกับท่าทางเช่นนี้ของพวกเขา

แววตาที่โหดร้ายกว่านี้นางก็ได้เห็นมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดนางก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขดีมิใช่หรือ

เมื่อยืนอยู่ในหุบเหว ข้าเฟิ่งชิงเฉินมิต้องการให้คนอื่นมองมาที่ข้า ข้าแค่ต้องเงยหน้าขึ้นมองตัวเองก็พอแล้ว

เมื่อบินขึ้นมาได้ ข้าเฟิ่งชิงเฉินก็มิต้องการคำชมเชยและการเยินยอของผู้อื่น ข้าแค่ต้องเข้าใจตัวเองเป็นพอ

หึ……

“เจ้า เจ้าคนสร้างปัญหา!” ใต้เท้าเว่ยโกรธเฟิ่งชิงเฉินมากจนคิ้วทั้งสองของเขาบิดเป็นเกลียวเหมือนหนอนผีเสื้อ

กล้าดีอย่างไรให้เขาขายหน้าต่อหน้าคุณชายทั้งสองตระกูลนี้ได้ เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วหรือ?

“สร้างปัญหาหรือ? ใต้เท้า ข้าเฟิ่งชิงเฉินมิได้ไปตีกลองร้องทุกข์ มิได้เข้าไปหยุดรถม้าเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียน ข้าสร้างปัญหาที่ไหน กัน? หากจำมิผิด ข้ามิต้องการเดินทางมาที่จวนเซี่ยเสียด้วยซ้ำ คำว่าสร้างปัญหานี้ทำให้ข้าปวดใจยิ่งนัก”

คำกล่าวของเฟิ่งชิงเฉินเป็นพิษอย่างยิ่ง

จริงอยู่ว่าคนที่ตีกลองร้องทุกข์และร้องเรียนคือคนที่สร้างปัญหา แต่เป็นเพราะขุนนางบีบบังคับชาวบ้านให้ทำเช่นนั้น

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากล้าหาญมาก ทหาร……” ใต้เท้าเว่ยโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว เขาโบกมือขึ้น

เมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยซานก็ก้าวไปข้างหน้าทันที “ใต้เท้าเว่ย อย่าได้ใจร้อนไป ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็เป็นบุตรสาวของนายพลเฟิ่ง และเป็นความจริงที่จวนเซี่ยของเรามิได้ให้การต้อนรับนางอย่างที่ควร”

จวนเซี่ยมิกลัวจะทำให้ใต้เท้าเว่ยขุ่นเคืองใจ เขาเพียงแต่คิดว่ามันมิจำเป็น

นอกจากนี้ หากเรื่องในวันนี้วุ่นวายขึ้นละก็ ทั้งสองฝ่ายคงจะต้องลงจากตำแหน่ง

หากเบื้องบนรู้ว่าในวันที่รอรับแม่ทัพอวี่เหวินกลับราชวงศ์ กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในจวนเซี่ยละก็ เกรงว่าจวนเซี่ยคงจะขายหน้านัก

เขามองไปทางเฟิ่งชิงเฉินอย่างไร้ความปราณี จากนั้นส่งสายตาให้นางหยุดก่อน หากว่ายังรั้งต่อไป คนที่จะเสียเปรียบคือนางเอง

บทที่ 29 ดูถูก

บทที่ 031 บริสุทธิ์

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท