นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 31 บริสุทธิ์

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่ตาไร้แวว นางรู้ว่าเซี่ยซานนั้นแย่แล้วจริงๆ จึงได้แต่ยักไหล่อย่างเฉยเมยและยืนอย่างให้เกียรติพร้อมพูดอย่างห้าวหาญ “พาข้าไปยังที่เกิดเหตุเถอะ ในเมื่อมาแล้ว ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่อย่างไรก็ต้องดูสักหน่อย”

ในขณะที่พูดนางก็ไม่ลืมมองใต้เท้าเว่ยผู้นั้น คิดจะหลอกใช้นางนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ

ทั่วทั้งร่างของเขาเย็นวาบ ใต้เท้าเว่ยผู้เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

เฟิ่งชิงเฉินคู่นี้ดูออกถึงเจตนาของเขางั้นหรือ?

ใต้เท้าเว่ยสัมผัสเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขา ในใจแอบรู้สึกเสียใจ หากรู้ว่านางหลอกยากเช่นนี้ เมื่อครู่ก็ควรจะเกรงใจนางสักหน่อย ยกย่องนางสักเล็กน้อยให้นางขึ้นหลังเสือไปเสียจนยากที่จะลงจึงจะดี

โชคดีที่ผู้เป็นขุนนางมักจะใจกล้าหน้าด้าน ศักดิ์ศรีหรือว่าคุณธรรมพวกนั้นถูกสุนัขกัดกินไปตั้งแต่หลายร้อยปีที่แล้วแล้ว

ใต้เท้าเว่ยเสวียเหลียงคู่นี้รีบเก็บใบหน้าบึ้งตึงทันที เขาเดินยิ้มแย้มเข้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางเฟิ่ง ขอบใจมากที่ยอมช่วยเหลือ ข้าได้ยินเรื่องที่แม่นางช่วยคุณชายรองตระกูลซูมาแล้ว วันนี้จะให้คุณชายเซี่ยและคุณชายหวังผิดหวังจึงจะถูก”

“ใต้เท้าเว่ยกล่าวชมกันเกินไปแล้ว ชิงเฉินไม่ได้มีความสามารถถึงเพียงนั้นหรอก” เฟิ่งชิงเฉินเดินไปพูดไปพร้อมหัวเราะ

“ฮ่าๆๆ แม่นางเฟิ่งอย่าได้ถ่อมตัวไปเลย ความสามารถของแม่นางนั้นข้ารู้ดี เมื่อครู่ที่ข้าพูดแรงไปหน่อยล้วนเป็นเพราะข้าร้อนใจเรื่องคดี” ใต้เท้าเว่ยพูดอีกสองสามประโยคก็มาถึงห้องด้านใน

เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นคาวเลือดก็โชยมาแตะจมูก ก้มลงดูก็เห็นหญิงผู้หนึ่งนอนตายอยู่บนพื้น ชุดสีขาวของนางย้อมไปด้วยเลือด

ไต่สวนคดีในห้องด้านในนี้เลยหรือ

จวนเซี่ยแห่งนี้โอหังเกินไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า

ชนชั้นอภิสิทธิ์น่าอิจฉาเสียจนน่าแค้นใจ

อีกทั้งจุดเกิดเหตุถูกรักษาไว้อย่างดี ดูแล้วคนกลุ่มนี้คงจะตั้งใจรอนางจริงๆ

“ฮือๆๆ … คุณชายสาม นายท่าน พวกท่านจะต้องทวงความยุติธรรมคืนมาให้ข้านะเจ้าคะ นายท่านอายุเกือบสี่สิบจึงจะมีลูกชายสักคน แต่กลับตายไปเช่นนี้…” หญิงท่าทางยั่วยวนผู้หนึ่งร้องไห้อย่างเศร้าใจ ทันทีที่เห็นชายวัยกลางคนมาถึงนางก็ทำตัวพับตัวอ่อนโถมเข้ามาหาเขา

ที่แท้ชายวัยกลางคนที่ใช้ของกำนัลมากมายเพื่อทำให้เฟิ่งชิงเฉินอับอายก็คือนายท่านรองแห่งตระกูลเซี่ยนี่เอง เป็นลูกอนุ ศักดิ์จึงไม่เทียบเท่าเซี่ยซาน

“เอาล่ะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว แม่นางเฟิ่งมาแล้ว อาศัยความสามารถของนางต้องสืบได้อย่างชัดเจนแน่” นายท่านรองตระกูลเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเยาะเย้ย

หากไม่ใช่เพราะใต้เท้าเว่ยผู้นั้นยกย่องเฟิ่งชิงเฉินจนเกินไปราวกับเป็นเทพเซียน เซี่ยซานและหวังชีก็คงไม่ได้ไปเชิญนางมาด้วยตนเอง

แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าที่ทั้งสองคนไปเชิญเฟิ่งชิงเฉินมาก็เพื่อประจบราชสำนักเท่านั้น

ตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยล้วนเป็นตระกูลใหญ่ แต่เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินทำอะไรพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถให้เป็นข้ออ้างเอาผิดให้นางต้องเข้าคุก ดีที่สุดก็คือขังลืมไปเลย

แน่นอนว่าหากเฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถจริงๆ ทั้งสองตระกูลย่อมทำอะไรนางไม่ได้

น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงสตรี แม้จะมีความสามารถก็คิดว่าจะสูงเทียมฟ้าได้งั้นหรือ?

นี่เป็นวิถีของตระกูลใหญ่ แม้ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้ว แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไร้เยื่อใย เรื่องราวในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอนุเท่านั้นเขาคงไม่มีทางมีโอกาสยื่นมือเข้ามายุ่งแน่

“ข้าเปล่า นายท่าน ข้าเปล่า…” หญิงสาวที่กำลังถูกไต่สวนหมอบอยู่บนพื้นพลางครางเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด

เฟิ่งชิงเฉินได้ยินแล้วก็รู้สึกปวดใจ

หญิงสาวในยุคนี้ช่างน่าสงสารนัก ไม่เพียงแต่ต้องยิ้มรับยามที่สามีของตนร่วมหอกับผู้อื่น แต่ยังต้องยอมรับลูกของสามีตนเองกับหญิงอื่นมาเป็นลูกด้วย เพียงแค่เด็กผู้นั้นเกิดเรื่อง ตนเองกลับกลายเป็นผู้ที่ถูกสงสัยเสียเอง

เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงอย่างเงียบๆ และบอกกับตัวเอง

ในเมื่อนางมาแล้วก็ต้องทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้จะเพื่อสตรีที่แทบไม่มีลมหายใจแล้วก็ยังกัดฟันทนบอกว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์

สตรีจะรังแกสตรีด้วยกันเองไปทำไมกัน!

ยอมนั้นที่นางเข้าศึกษาต่อในคณะแพทย์ได้เคยเข้าฟังบรรยายวิชากฎหมายสำหรับแพทย์ บางทีวันนี้อาจจะได้ใช้แล้ว

“ขอทางหน่อย”

เมื่อคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองใดๆ อีก การทำงานด้วยอารมณ์ถือเป็นข้อห้ามใหญ่ของแพทย์

เฟิ่งชิงเฉินผลักทุกคนออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางเดินไปที่เตียง

เกรดน้อยของเด็กทารกแกะสลักฝังทองและเงิน ความมั่งคั่งของตระกูลเซี่ยนั้นทำให้คนคาดไม่ถึงเลยจริงๆ

เด็กทารกแบเบาะที่อยู่บนเตียงมีสีหน้าเขียวคล้ำ แข็งเกร็งไปทั้งร่าง

ขอบตาคอร์ดเฟิ่งชิงเฉินร้อนผ่าวเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของงานก็เปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกอีกครั้ง

เซี่ยซานและหวังชีต่างก็ส่ายหน้า

เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ช่างเลือดเย็นนัก

ยามที่พวกเขาเห็นเด็กตัวน้อยเพียงนี้เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ แต่นางกลับไม่ได้ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย

เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองนางอย่างไร เมื่อนางเข้าสู่การทำงานก็จะไม่สนใจคนรอบข้างไปโดยปริยาย

เฟิ่งชิงเฉินหยิบถุงเล็กๆ ที่อยู่ข้างเท้านั้นขึ้นมาโดยไม่สนใจความตกใจและยังไม่เข้าใจของผู้คนรอบด้าน นางหยิบชุดมีดสเตนเลส คีมคีบด้านเล็ก สำลี ยาน้ำขวดเล็กและผ้าพันแผลออกมาวางเรียงไว้

เหอะๆ …

อย่าเข้าใจผิดไป

ที่นำออกมาเรียงกันเช่นนี้ไม่ใช่ว่านางจะใช้ทั้งหมด แต่เพื่อให้นางดูยิ่งลึกลับและเป็นมืออาชีพมากขึ้นต่างหาก

วิทยาการทางการแพทย์ในยุคปัจจุบัน มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำได้และทำไม่ได้ เมื่อหยิบเครื่องมือพิเศษเหล่านี้ออกมาก็จะไม่มีคนบอกว่านางเป็นนางปีศาจ เพียงแต่จะเอ่ยว่านางดูลึกลับเท่านั้น

ในยามนี้เองหากนางไม่เย็บแผลก็จะไม่ถูกคนสงสัย

แต่หากมีวันหนึ่งที่ชื่อเสียงของนางสะท้านโลกา เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องใส่ใจอีกต่อไป

เพราะเมื่อในยามที่คนคนหนึ่งไปถึงจุดที่ผู้อื่นไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว แม้ว่าจะเป็นนางมารปีศาจร้ายหรืออะไร ก็สามารถแสดงออกมาได้

เมื่อถึงยามนั้นก็จะไม่มีคนบอกว่านั่นคือสิ่งชั่วร้าย พวกเขากลับจะเรียกท่านว่าเป็นเทพเซียน

นี่คือธรรมชาติของมนุษย์

แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินแอบเหลือบมองทุกคนเล็กน้อยและพบว่าสายตาที่ทุกคนมองนางไม่ค่อยเหมือนกันนัก เพียงแต่…

อนุภรรยาที่บุตรตายราวกับจะตัวแข็งค้างไป เสียงของนางแปลกไปเล็กน้อยเหมือนเสียงเห่าหอนของสัตว์หรือที่เรียกกันว่าแกล้งร้องไห้

ต้องมีลับลมคมในแน่

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกใจอยู่ในใจ

หญิงผู้นี้คงไม่ได้เป็นดังบูเช็กเทียนหรอกนะ ที่สามารถลงมือสังหารบุตรของตนเองเพื่อแลกกับความโปรดปรานและใส่ร้ายภรรยาหลวงหรอกนะ?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกว่ามือของนางเย็นเยียบขึ้น

หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็รู้สึกสงสารเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งที่เลือกมาเกิดในครรภ์ของหญิงใจบาปเช่นนี้

เมื่อนางหายใจเข้าลึกแล้วก็ให้สัญญาณกับตนเอง

เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นหมอ เจ้าเป็นมืออาชีพ อย่าให้ความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องจนตัดสินผิดพลาดไป สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ก็คือมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการตรวจสอบ

หลังจากถูมือของนางแล้ว รอเลือดมาหล่อเลี้ยงเพียงพอจนนิ้วของนางนิ่มลงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัยและเริ่มลงมือตรวจร่างกายของทารก

ศพของทารกแข็งเย็นชืด สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาขาดอากาศหายใจตาย บนแขนมีรอยฟกช้ำหลายรอย ดูจากสีของรอยฟกช้ำแล้วคงจะเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กเสียชีวิตไปแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินตรวจดูอย่างละเอียด ทุกคนต่างก็อยากถอนหายใจแต่ก็ไม่กล้าถอนหายใจเสียงดัง

เซี่ยซานและหวังชีอดคิดไม่ได้ว่านางมีความสามารถจริงหรือเปล่าหนอ?

หากมีความสามารถจริง พวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรแน่ ทุกคนก็จะได้ทำความรู้จักกันเพื่อคราวต่อไปในอนาคต

ความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของคุณชายทั้งสอง เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รับรู้ด้วย ในใจของนางล้วนจดจ่ออยู่กับศพทารกตรงหน้า

“หือ?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูเส้นสำลีของเล็บของเด็ก นางใช้คีมคีบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

“สิ่งนี้ใช้ทำอะไรหรือ?” เซี่ยซานเอ่ยถาม

ที่จริงเขาอยากถามตั้งนานแล้ว

การกระทำของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ผู้คนไม่ค่อยเข้าใจนัก

พิสูจน์ศพต้องระมัดระวังเช่นนี้เชียวหรือ?

พวกเจ้าหน้าที่เหล่าดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนี้

เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาเหลือบมองเซี่ยซานและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

สายตานั้นราวกับจะบอกว่า : อย่าถามคำถามโง่เขลาเช่นนี้ได้หรือไม่

นางหันกลับไปและคีบสำลีตรงปลายเล็บออกมาอย่างระมัดระวังทีละเส้น วางลงบนผ้าสีดำผืนเล็กๆ

เซี่ยซานได้รับสายตาเย็นชามองตอบกลับมาก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี แต่กลับไม่ได้รู้สึกโมโห

ไม่มีทางเลือก เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ให้ความรู้สึกน่าเคารพเลื่อมใสราวเทพเซียน ทำให้ผู้คนอดรู้สึกเชื่อถือไม่ได้

ต่อมาเฟิ่งชิงเฉินก็นำคีมย้ายไปโพรงจมูกราวกับจะรู้อยู่แล้ว นางคีบสำลีหลายเส้นที่เหมือนกับตรงเล็บออกมาจากรูจมูก

“เอ๊ะ? ในจมูกก็มีได้อย่างไร? ของสิ่งนี้ใช้ทำอะไร?”

บทที่ 30 ยุติคดี

บทที่ 032 คนร้าย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท