เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่ตาไร้แวว นางรู้ว่าเซี่ยซานนั้นแย่แล้วจริงๆ จึงได้แต่ยักไหล่อย่างเฉยเมยและยืนอย่างให้เกียรติพร้อมพูดอย่างห้าวหาญ “พาข้าไปยังที่เกิดเหตุเถอะ ในเมื่อมาแล้ว ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่อย่างไรก็ต้องดูสักหน่อย”
ในขณะที่พูดนางก็ไม่ลืมมองใต้เท้าเว่ยผู้นั้น คิดจะหลอกใช้นางนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ
ทั่วทั้งร่างของเขาเย็นวาบ ใต้เท้าเว่ยผู้เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
เฟิ่งชิงเฉินคู่นี้ดูออกถึงเจตนาของเขางั้นหรือ?
ใต้เท้าเว่ยสัมผัสเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขา ในใจแอบรู้สึกเสียใจ หากรู้ว่านางหลอกยากเช่นนี้ เมื่อครู่ก็ควรจะเกรงใจนางสักหน่อย ยกย่องนางสักเล็กน้อยให้นางขึ้นหลังเสือไปเสียจนยากที่จะลงจึงจะดี
โชคดีที่ผู้เป็นขุนนางมักจะใจกล้าหน้าด้าน ศักดิ์ศรีหรือว่าคุณธรรมพวกนั้นถูกสุนัขกัดกินไปตั้งแต่หลายร้อยปีที่แล้วแล้ว
ใต้เท้าเว่ยเสวียเหลียงคู่นี้รีบเก็บใบหน้าบึ้งตึงทันที เขาเดินยิ้มแย้มเข้ามาหาเฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางเฟิ่ง ขอบใจมากที่ยอมช่วยเหลือ ข้าได้ยินเรื่องที่แม่นางช่วยคุณชายรองตระกูลซูมาแล้ว วันนี้จะให้คุณชายเซี่ยและคุณชายหวังผิดหวังจึงจะถูก”
“ใต้เท้าเว่ยกล่าวชมกันเกินไปแล้ว ชิงเฉินไม่ได้มีความสามารถถึงเพียงนั้นหรอก” เฟิ่งชิงเฉินเดินไปพูดไปพร้อมหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ แม่นางเฟิ่งอย่าได้ถ่อมตัวไปเลย ความสามารถของแม่นางนั้นข้ารู้ดี เมื่อครู่ที่ข้าพูดแรงไปหน่อยล้วนเป็นเพราะข้าร้อนใจเรื่องคดี” ใต้เท้าเว่ยพูดอีกสองสามประโยคก็มาถึงห้องด้านใน
เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นคาวเลือดก็โชยมาแตะจมูก ก้มลงดูก็เห็นหญิงผู้หนึ่งนอนตายอยู่บนพื้น ชุดสีขาวของนางย้อมไปด้วยเลือด
ไต่สวนคดีในห้องด้านในนี้เลยหรือ
จวนเซี่ยแห่งนี้โอหังเกินไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า
ชนชั้นอภิสิทธิ์น่าอิจฉาเสียจนน่าแค้นใจ
อีกทั้งจุดเกิดเหตุถูกรักษาไว้อย่างดี ดูแล้วคนกลุ่มนี้คงจะตั้งใจรอนางจริงๆ
“ฮือๆๆ … คุณชายสาม นายท่าน พวกท่านจะต้องทวงความยุติธรรมคืนมาให้ข้านะเจ้าคะ นายท่านอายุเกือบสี่สิบจึงจะมีลูกชายสักคน แต่กลับตายไปเช่นนี้…” หญิงท่าทางยั่วยวนผู้หนึ่งร้องไห้อย่างเศร้าใจ ทันทีที่เห็นชายวัยกลางคนมาถึงนางก็ทำตัวพับตัวอ่อนโถมเข้ามาหาเขา
ที่แท้ชายวัยกลางคนที่ใช้ของกำนัลมากมายเพื่อทำให้เฟิ่งชิงเฉินอับอายก็คือนายท่านรองแห่งตระกูลเซี่ยนี่เอง เป็นลูกอนุ ศักดิ์จึงไม่เทียบเท่าเซี่ยซาน
“เอาล่ะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว แม่นางเฟิ่งมาแล้ว อาศัยความสามารถของนางต้องสืบได้อย่างชัดเจนแน่” นายท่านรองตระกูลเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเยาะเย้ย
หากไม่ใช่เพราะใต้เท้าเว่ยผู้นั้นยกย่องเฟิ่งชิงเฉินจนเกินไปราวกับเป็นเทพเซียน เซี่ยซานและหวังชีก็คงไม่ได้ไปเชิญนางมาด้วยตนเอง
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าที่ทั้งสองคนไปเชิญเฟิ่งชิงเฉินมาก็เพื่อประจบราชสำนักเท่านั้น
ตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยล้วนเป็นตระกูลใหญ่ แต่เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินทำอะไรพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถให้เป็นข้ออ้างเอาผิดให้นางต้องเข้าคุก ดีที่สุดก็คือขังลืมไปเลย
แน่นอนว่าหากเฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถจริงๆ ทั้งสองตระกูลย่อมทำอะไรนางไม่ได้
น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงสตรี แม้จะมีความสามารถก็คิดว่าจะสูงเทียมฟ้าได้งั้นหรือ?
นี่เป็นวิถีของตระกูลใหญ่ แม้ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้ว แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไร้เยื่อใย เรื่องราวในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอนุเท่านั้นเขาคงไม่มีทางมีโอกาสยื่นมือเข้ามายุ่งแน่
“ข้าเปล่า นายท่าน ข้าเปล่า…” หญิงสาวที่กำลังถูกไต่สวนหมอบอยู่บนพื้นพลางครางเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด
เฟิ่งชิงเฉินได้ยินแล้วก็รู้สึกปวดใจ
หญิงสาวในยุคนี้ช่างน่าสงสารนัก ไม่เพียงแต่ต้องยิ้มรับยามที่สามีของตนร่วมหอกับผู้อื่น แต่ยังต้องยอมรับลูกของสามีตนเองกับหญิงอื่นมาเป็นลูกด้วย เพียงแค่เด็กผู้นั้นเกิดเรื่อง ตนเองกลับกลายเป็นผู้ที่ถูกสงสัยเสียเอง
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงอย่างเงียบๆ และบอกกับตัวเอง
ในเมื่อนางมาแล้วก็ต้องทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้จะเพื่อสตรีที่แทบไม่มีลมหายใจแล้วก็ยังกัดฟันทนบอกว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์
สตรีจะรังแกสตรีด้วยกันเองไปทำไมกัน!
ยอมนั้นที่นางเข้าศึกษาต่อในคณะแพทย์ได้เคยเข้าฟังบรรยายวิชากฎหมายสำหรับแพทย์ บางทีวันนี้อาจจะได้ใช้แล้ว
“ขอทางหน่อย”
เมื่อคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองใดๆ อีก การทำงานด้วยอารมณ์ถือเป็นข้อห้ามใหญ่ของแพทย์
เฟิ่งชิงเฉินผลักทุกคนออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางเดินไปที่เตียง
เกรดน้อยของเด็กทารกแกะสลักฝังทองและเงิน ความมั่งคั่งของตระกูลเซี่ยนั้นทำให้คนคาดไม่ถึงเลยจริงๆ
เด็กทารกแบเบาะที่อยู่บนเตียงมีสีหน้าเขียวคล้ำ แข็งเกร็งไปทั้งร่าง
ขอบตาคอร์ดเฟิ่งชิงเฉินร้อนผ่าวเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของงานก็เปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกอีกครั้ง
เซี่ยซานและหวังชีต่างก็ส่ายหน้า
เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ช่างเลือดเย็นนัก
ยามที่พวกเขาเห็นเด็กตัวน้อยเพียงนี้เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ แต่นางกลับไม่ได้ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองนางอย่างไร เมื่อนางเข้าสู่การทำงานก็จะไม่สนใจคนรอบข้างไปโดยปริยาย
เฟิ่งชิงเฉินหยิบถุงเล็กๆ ที่อยู่ข้างเท้านั้นขึ้นมาโดยไม่สนใจความตกใจและยังไม่เข้าใจของผู้คนรอบด้าน นางหยิบชุดมีดสเตนเลส คีมคีบด้านเล็ก สำลี ยาน้ำขวดเล็กและผ้าพันแผลออกมาวางเรียงไว้
เหอะๆ …
อย่าเข้าใจผิดไป
ที่นำออกมาเรียงกันเช่นนี้ไม่ใช่ว่านางจะใช้ทั้งหมด แต่เพื่อให้นางดูยิ่งลึกลับและเป็นมืออาชีพมากขึ้นต่างหาก
วิทยาการทางการแพทย์ในยุคปัจจุบัน มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำได้และทำไม่ได้ เมื่อหยิบเครื่องมือพิเศษเหล่านี้ออกมาก็จะไม่มีคนบอกว่านางเป็นนางปีศาจ เพียงแต่จะเอ่ยว่านางดูลึกลับเท่านั้น
ในยามนี้เองหากนางไม่เย็บแผลก็จะไม่ถูกคนสงสัย
แต่หากมีวันหนึ่งที่ชื่อเสียงของนางสะท้านโลกา เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องใส่ใจอีกต่อไป
เพราะเมื่อในยามที่คนคนหนึ่งไปถึงจุดที่ผู้อื่นไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว แม้ว่าจะเป็นนางมารปีศาจร้ายหรืออะไร ก็สามารถแสดงออกมาได้
เมื่อถึงยามนั้นก็จะไม่มีคนบอกว่านั่นคือสิ่งชั่วร้าย พวกเขากลับจะเรียกท่านว่าเป็นเทพเซียน
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินแอบเหลือบมองทุกคนเล็กน้อยและพบว่าสายตาที่ทุกคนมองนางไม่ค่อยเหมือนกันนัก เพียงแต่…
อนุภรรยาที่บุตรตายราวกับจะตัวแข็งค้างไป เสียงของนางแปลกไปเล็กน้อยเหมือนเสียงเห่าหอนของสัตว์หรือที่เรียกกันว่าแกล้งร้องไห้
ต้องมีลับลมคมในแน่
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตกใจอยู่ในใจ
หญิงผู้นี้คงไม่ได้เป็นดังบูเช็กเทียนหรอกนะ ที่สามารถลงมือสังหารบุตรของตนเองเพื่อแลกกับความโปรดปรานและใส่ร้ายภรรยาหลวงหรอกนะ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกว่ามือของนางเย็นเยียบขึ้น
หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็รู้สึกสงสารเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งที่เลือกมาเกิดในครรภ์ของหญิงใจบาปเช่นนี้
เมื่อนางหายใจเข้าลึกแล้วก็ให้สัญญาณกับตนเอง
เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นหมอ เจ้าเป็นมืออาชีพ อย่าให้ความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องจนตัดสินผิดพลาดไป สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ก็คือมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการตรวจสอบ
หลังจากถูมือของนางแล้ว รอเลือดมาหล่อเลี้ยงเพียงพอจนนิ้วของนางนิ่มลงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัยและเริ่มลงมือตรวจร่างกายของทารก
ศพของทารกแข็งเย็นชืด สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาขาดอากาศหายใจตาย บนแขนมีรอยฟกช้ำหลายรอย ดูจากสีของรอยฟกช้ำแล้วคงจะเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กเสียชีวิตไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินตรวจดูอย่างละเอียด ทุกคนต่างก็อยากถอนหายใจแต่ก็ไม่กล้าถอนหายใจเสียงดัง
เซี่ยซานและหวังชีอดคิดไม่ได้ว่านางมีความสามารถจริงหรือเปล่าหนอ?
หากมีความสามารถจริง พวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรแน่ ทุกคนก็จะได้ทำความรู้จักกันเพื่อคราวต่อไปในอนาคต
ความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของคุณชายทั้งสอง เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รับรู้ด้วย ในใจของนางล้วนจดจ่ออยู่กับศพทารกตรงหน้า
“หือ?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูเส้นสำลีของเล็บของเด็ก นางใช้คีมคีบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“สิ่งนี้ใช้ทำอะไรหรือ?” เซี่ยซานเอ่ยถาม
ที่จริงเขาอยากถามตั้งนานแล้ว
การกระทำของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ผู้คนไม่ค่อยเข้าใจนัก
พิสูจน์ศพต้องระมัดระวังเช่นนี้เชียวหรือ?
พวกเจ้าหน้าที่เหล่าดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาเหลือบมองเซี่ยซานและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
สายตานั้นราวกับจะบอกว่า : อย่าถามคำถามโง่เขลาเช่นนี้ได้หรือไม่
นางหันกลับไปและคีบสำลีตรงปลายเล็บออกมาอย่างระมัดระวังทีละเส้น วางลงบนผ้าสีดำผืนเล็กๆ
เซี่ยซานได้รับสายตาเย็นชามองตอบกลับมาก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี แต่กลับไม่ได้รู้สึกโมโห
ไม่มีทางเลือก เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ให้ความรู้สึกน่าเคารพเลื่อมใสราวเทพเซียน ทำให้ผู้คนอดรู้สึกเชื่อถือไม่ได้
ต่อมาเฟิ่งชิงเฉินก็นำคีมย้ายไปโพรงจมูกราวกับจะรู้อยู่แล้ว นางคีบสำลีหลายเส้นที่เหมือนกับตรงเล็บออกมาจากรูจมูก
“เอ๊ะ? ในจมูกก็มีได้อย่างไร? ของสิ่งนี้ใช้ทำอะไร?”
บทที่ 30 ยุติคดี
บทที่ 032 คนร้าย