“ใครน่ะ? ออกมาเดี๋ยวนี้” เฟิ่งชิงเฉินหยิบมีดจากอกเสื้อออกมากำไว้แน่น และมองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง
ไม่ใช่ว่านางมีปฏิกิริยาโต้ตอบอ่อนไหวเกินไป แต่จมูกของนางไวต่อกลิ่นคาวเลือดหน้าตลาด แปลว่ากลิ่นคาวเลือดนี้จะไม่ได้รุนแรงนักแม้กระทั่งราวกับไม่มี แต่มันก็ไม่อ่านก็พ้นจากจมูกของเฟิ่งชิงเฉินไปได้
“มีปฏิกิริยาสนองไวเช่นนี้แล้วถูกคนเล่นงานได้อย่างไร” ภายใต้ความมืด ภายใต้ความมืด หลานจิ่วชิงชายชุดดำหน้ากากเงินก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมคำพูดเสียดสี
คำพูดนี้หมายถึงอะไร เฟิ่งชิงเฉินและหลานจิ่วชิงรู้ดี ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินถูกคนเล่นงานตื่นขึ้นมาไว้ที่หน้าประตูเมืองหรอกหรือ
เรื่องนี้เป็นราวกับตราบาปประทับอยู่บนร่างกายของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถลบล้างออกไปได้
ยังดีที่จิตใจของนางมันคงเพียงพอ เมื่อเห็นคนคุ้นเคย เฟิ่งชิงเฉินก็ลดการระวังตัวรอ “มนุษย์ยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ท่านมีวิทยายุทธสูงส่งก็บาดเจ็บเหมือนกันใช่หรือ”
เฟิ่งชิงเฉินมองแผลที่เลือดซึมออกมาของหลานจิ่วชิงและกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์
“ตามข้ามา”
หลานจิ่วชิงลังเลเล็กน้อย เมื่อคิดถึงบาดแผลบนร่างกายของตนเองแล้วก็เห็นว่าต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินช่วยจริงๆ จึงได้เดินตามนางเข้าไปเชื่อฟัง
“นั่งลง” เฟิ่งชิงเฉินเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เมื่อกลับมาพบหลานจิ่วชิงที่ไม่รักร่างกายของตนเอง นางจึงไม่อาจทำสีหน้าให้ดีได้เลย
หากมีเสื้อกาวน์สีขาวสวมทับอยู่ เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ก็เสมือนดังหมอน้ำแข็งในตำนาน
จชลขมวดคิ้วและใช้จ่ายตายเย็นชากวาดมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างแฝงไปด้วยรัศมีสังหาร
ใครเล่าจะรู้ว่าประสาทของเฟิ่งชิงเฉินตายด้านจนไม่รู้สึกเลย
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือแพทย์ทหารที่เคยเข้าพิธีล้างบาปในสนามรบจะไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าออร่าสังหาร เพราะพวกเขาได้พบบ่อยแล้ว ยกเว้นแต่ว่าหลานจิ่วชิงคิดจะลงมือจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินจุดไฟในห้องทั้งหมด นางยกน้ำเข้ามาสามกะละมังและหยิบกล่องไม้การบูนกล่องหนึ่งออกมา
แต่ก่อนกล่องนี้ใช้เก็บเครื่องประดับ แต่นางเห็นว่าคุณภาพไม่เลวนัก ขนาดก็กำลังเหมาะสมถึงได้ทำให้มันว่างลงมาใช้เก็บยาสามัญประจำบ้านแทน
หลานจิ่วชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้บางดูท่าทางคล่องแคล่วของเฟิ่งชิงเฉิน แววเยือกเย็นในดวงตาก็ลดลงไปมาก เปล่าคิดไปถึงว่าระวังตัวของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่น้อยเลยหลานจิ่วชิงถึงได้คลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้
เพียงกวาดตามองก็สำรวจห้องเล็กๆ ของเฟิ่งชิงเฉินจนทั่ว
ต้องบอกว่านี่เป็นห้องที่เรียบง่ายที่สุดที่หลานจิ่วชิงเคยเห็นมา ไม่มีฉากกั้น ไม่มีม่าน ไม่มีโต๊ะล้างหน้า ไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทันทีที่เข้ามาก็เห็นเตียงขนาดใหญ่กินพื้นที่ขนาดสองในสามของห้อง ผ้าปูที่นอนเป็นสีขาวหิมะจัดไว้เรียบร้อยราวกับเพิ่งซักเสร็จ ผ้าห่มแพรไหมสีน้ำเงินถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบราวกับก้อนอิฐ แข็งเรียบไร้ความรู้สึก
ถัดมาก็มีโต๊ะเครื่องแป้ง บนโต๊ะนอกจากสีไม้เล่มหนึ่งและกระจกทองเหลืองแล้วก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดอีก เมื่อมองที่ศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินก็ดูเรียบง่ายมาก ผมยาวของนางถูกมัดไว้ด้วยผ้าผืนหนึ่งเท่านั้น
มีเป็นการแต่งกายอย่างเรียบง่ายที่สุดที่เขาเคยพบเห็นมา อดไม่ได้ที่จะบอกว่าเหมาะสมนางเป็นอย่างมาก มองแล้วดูใจกว้างและสดชื่นยิ่งนัก
นอกจากโต๊ะเครื่องแป้งแล้วก็เป็นโต๊ะหนังสือเล็กๆ และเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก็คือตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้นั่นเอง
นี่เป็นห้องของผู้หญิงหรือ?
ภายในห้องทั้งเยียบเย็นและแข็งกระด้าง ไม่เหมือนกับห้องที่สตรีอาศัยเลย ข้อดีเพียงข้อเดียวก็คือสะอาด พื้นห้องถูกเช็ดเสียจนเงางาม
หลานจิ่วชิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีข้ารับใช้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเรื่องพวกนี้นางเป็นคนจัดการเองทั้งหมด
การค้นพบนี้ทำให้ทัศนคติของเขาที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินดีขึ้นอีก
สตรีผู้นี้มีความเป็นเอกเทศยิ่งนัก มิน่าเล่าแม้จะถูกตงหลิงจื่อลั่วทิ้ง ไม่เพียงไม่ได้ร้องไห้โวยวายแต่กลับเป็นอิสระมากกว่าใคร
นิสัยเช่นนี้เกิดเป็นสตรีนับว่าน่าเสียดายยิ่งนัก
ในขณะที่หลานจิ่วชิงกำลังทอดถอนใจ เฟิ่งชิงเฉินก็เตรียมยาเสร็จเรียบร้อย นางสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือ ก้าวผมขึ้นโดยไม่ให้มีปอยผมตกลงมาแม้แต่ปอยเดียวและยืนอยู่ตรงหน้าหลานจิ่วชิงด้วยท่าทางเคร่งขรึมของมืออาชีพ
“เหม่ออะไร นั่งดีๆ”
หลานจิ่วชิงอึ้งงัน
เขาถึงขั้นลืมป้องกันตัวเองเมื่ออยู่ภายในจวนเฟิ่งงั้นหรือ
สมควรตาย
ล้างสีโหดเหี้ยมด้านในห้องอีกครั้ง
ในยามนี้หลานจิ่วชิงมีใจคิดจะสังหารเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ
หญิงที่สามารถทำให้เขาลดการระวังตัวเช่นนี้ได้ย่อมไม่ธรรมดาแน่
หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินกระตุกจนแทบหยุดเต้น นางถอยหลังไปสามก้าวเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสอง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครและไม่ต้องการจะรู้ด้วย สำหรับเจ้า ข้าเพียงแต่รับผิดชอบหน้าที่ของหมออย่างสุดความสามารถเท่านั้น ในฐานะแพทย์แล้ว ข้ามิอาจทนได้ที่เจ้าไม่รักร่างกายตนเองเช่นนี้ และยิ่งครับไม่ได้ที่แผลที่ข้าเพิ่งจะเย็บให้เจ้าปริออกมาอีกแล้ว
เจ้ารู้หรือไม่รู้กันแน่ว่าหากแผลฉีกขึ้นมาจะยุ่งยากเพียงใด? ไม่ใช่แค่ว่าจะเย็นอีกครั้งก็ได้แล้ว หากบาดแผลติดเชื้อขึ้นมา เจ้าจะมีอันตรายถึงชีวิต เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของเจ้าเป็นการกระทำที่ไม่รักชีวิตและเป็นการดูหมิ่นฝีมือแพทย์ของข้า”
เดิมทีนายคิดพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเพื่อเบี่ยงเบนสายตาของหลานจิ่วชิงไม่ให้เอาแต่คิดจะฆ่านาง แต่พูดไปพูดมายิ่งพูดเท่าไหร่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
อ๊าก…
นางทนคนไข้เช่นนี้ไม่ไหวจริงๆ
เมื่อวานนางพึ่งจะเย็บแผลให้เขาไปเรียบร้อย วันนี้ก็ฉีกแล้ว
ประกอบกับเวลาที่ดมยาสลบ นั่นเท่ากับหมายความว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็เคลื่อนไหวอย่างมาก อยากตายเช่นนี้จะมาหาหมอทำไมอีก
ผู้เป็นหมอมิใช่มนุษย์หรือ ไม่ต้องพักผ่อนบ้างหรืออย่างไร?
โดยเฉพาะนางที่ทำงานติดต่อกันมาสามสิบสี่ชั่วโมงแล้วยิ่งต้องการการพักผ่อน
เย็น…
หากเฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเมื่อนางไป หลานจิ่วชิงก็จะลุกขึ้นทันทีและยังติดตามนางไปอีกระยะใหญ่ ไม่รู้ว่านางจะโมโหขนาดไหน
แน่นอนว่าเรื่องนี้หลานจิ่วชิงไม่มีทางยอมพูดแน่
เขารู้สึกว่าสตรีตรงหน้าเป็นเสมือนดังระเบิด
ใช่แล้ว ระเบิด
เหมือนกับสุนัขและแมวที่ฮูหยินหล่อนั้นเลี้ยง ยามที่โมโหขนบนร่างก็จะตั้งขึ้น แม้จะไม่อาจทำอะไรได้แต่กลับกล้าที่จะกลางกรงเล็บใส่เจ้า
สตรีเช่นนี้ไม่มีแผนอะไรมากมายในใจหรอก
เมื่อหลานจิ่วชิงคิดได้เช่นนี้ รังสีอาฆาตก็ลดลงไปมาก
เขาไม่ได้ทำตามอย่างที่เฟิ่งชิงเฉินคิด เพียงชี้ไปที่บาดแผลและเอ่ยว่า “ลงมือเถอะ”
เขาโชคดีมาก เมื่อวานซูเหวินชิงมาหานางแทนเขา มิฉะนั้นวันนี้เขาคงเผยพิรุธออกมาแล้ว
กระบี่หนักร้อยกว่าชั่ง ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ถูกแผลของเขาเข้าพอดี หายจะบอกว่าบังเอิญ เขาย่อมไม่เชื่อแน่
โชคดีที่เขาตอบสนองได้รวดเร็วจึงพลิกตัวหลบ มิฉะนั้นปลายดาบนั่นคงจะกระแทก เข้าที่บาดแผลของเขาเต็มๆ ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีฝีมือมากเพียงใด แผลจะเย็บแน่นเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
เอ่อ…
เฟิ่งชิงเฉินราวกับถูกกลืนกิน
สิ่งที่เรียกว่าชกลงบนก้อนสำลี
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ก็มีความรู้สึกเช่นนั้นเอง
ให้ตายเถอะ
นางพูดมากมายขนาดนั้น อย่างน้อยเขาตอบรับเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
ช่างเถอะ! เห็นแก่ที่เจ้าเก็บความคิดที่จะสังหารข้าไปแล้วก็ถือว่าเป็นการตอบรับอย่างหนึ่งก็แล้วกัน
เฟิ่งชิงเฉินปลอบใจตนเอง หลังจากที่นางสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้ตนเองสงบลงข้อแนะนำอุปกรณ์มาวางไว้ด้านข้าง นางถือมีดขึ้นเพื่อกำจัดเสื้อผ้าที่อยู่รอบๆ บาดแผลของหลานจิ่วชิง
เสื้อผ้าเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด ที่บางส่วนลึกเข้าไปในเนื้อ เฟิ่งชิงเฉินจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้ไปโดนเนื้อของหลานจิ่วชิง
บวกกับแสงไฟในยามนี้ที่ย่ำแย่เหลือเกิน
เฟิ่งชิงเฉินแทบจะนอนพักอยู่บนร่างของหลานจิ่วชิง
ร่างกายของทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกอันใด สมาชิกทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่บาดแผลของเขา
แต่หลานจิ่วชิงนั้นไม่เหมือนกัน
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผู้หญิงผสมกลิ่นของยา ทั้งประหลาดทั้งสดชื่น เมื่อได้ดมแล้วก็ทำให้รู้สึกสงบขึ้น
เสียงหายใจกระทบกัน หลานจิ่วชิงรู้สึกว่ามีลมร้อนวนเวียนไปมาอยู่รอบคอเขา
หากเป็นในยามปกติ เขาคงไม่เผยจุดตายออกมา แต่วันนี้เขา…
บางทีอาจจะเป็นเพราะคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินและเชื่อในความแข็งแกร่งของนางในฐานะหมอ
หลานจิ่วชิงยกเปลือกตาขึ้นมาเล็กน้อยมองดูใบหน้าที่ขยายใหญ่อยู่ตรงหน้าขาว เขาแม้กระทั่งมองได้อย่างชัดเจนว่าขนตาของเฟิ่งชิงเฉินยาวเพียงใด ขนอ่อนบนใบหน้าของนางละเอียดและขาวเพียงใด
เมื่อมองดูใบหน้านี้ หลานจิ่วชิงก็นึกถึงข่าวที่เขาได้ยินในยามบ่าย…
บทที่ 034 ชื่อ
บทที่ 36 ความอ่อนโยน