บทที่ 49 ข่าวลือ
สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินหดหู่ยิ่งนัก ทั้งยังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
อย่างไรเมื่อถึงด้านหน้าของภูเขาย่อมต้องมีทางออก
หาใช่เรื่องใหญ่อะไรไม่ นางจะเดินกลับไปหาจวนที่หวังจิ่นหลิงอาศัยอยู่ จากนั้นก็ยืมอาภรณ์จากเขาเสียสักชุด
เมื่อคิดหาทางออกได้เช่นนี้ ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันแย้มยิ้มระบายออกมาเล็กน้อย พร้อมทั้งลากร่างกายที่เหนื่อยล้าเดินตรงไปยังหน้าผาที่ตกลงมาจากภูเขาเมื่อคืนในทันที
นางจำทางที่ตกลงมากับหลานจิ่วชิงได้ ในยามนี้ นางจึงได้เดิมตามความทรงจำกลับไปที่ ที่ตนเองตกลงมาเมื่อคืน ก็เพื่อที่จะตามกระเป๋ายาที่หายไปของตนเอง
ตกลงมาจากหน้าผาช่างง่ายดายนัก ทว่า การปีนกลับขึ้นไปกับยากลำบากกว่า นับว่าโชคดีที่ไม่กี่วันมานี้ หาได้มีฝนตกลงมาไม่ ทางเดินที่มีดินแห้งเช่นนี้ ย่อมดีต่อการเดินเท้ายิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เมื่อเดินมาถึงเนินภูเขาที่ตกลงมานั้น หาได้มีวี่แววกล่องยาที่หายไปเลยไม่
หากหากกล่องยาไม่เจอ นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นางยังจำได้ว่า ตนเองยังทำมีดผ่าตัดตกหล่นไปในช่วงตรงนี้อีกด้วย
ใบมีดนางไม่เอาก็ได้ แต่ทว่าด้ามจับของใบมีดนั้น หากหาเจอย่อมดีกว่า
เมื่อก้มหน้ามองหาด้วยความละเอียดนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็หาจนพบ พร้อมทั้งทำความสะอาดมีดผ่าตัดเก็บไว้ตามเดิม เมื่อเฟิ่งชิงหลิงยืนขึ้นมานั้น พลันครุ่นคิดกับตนเองว่า ควรจะเดินทางกลับไปที่บ้านพักของหวังจิ่นหลิงหรือว่ากลับไปที่เมืองหลวงดี
เมื่อครุ่นคิดไปมา ก็พลันคิดว่า กลับไปตั้งหลักที่บ้านพักของหวังจิ่นหลิงย่อมดีกว่า
ข่าวลือพวกนั้น ถึงแม้ว่านางจะทำตัวไม่สนใจได้ แต่ถึงอย่างไร นางก็ยังต้องอาศัยอยู่ในเมืองหลวงอยู่ดี หากโดนข่าวลือรุมประนามเช่นนี้ มันอาจจะมีผลต่อการที่นางรักษาผู้คนในอนาคตได้
คนในยุคโบราณใส่ใจในชื่อเสียงของตนยิ่งนัก หากนางทำให้ชื่อเสียงของตนเสื่อมเสียขึ้นมา ถึงแม้จะมีทักษะการแพทย์ที่ดีอย่างไร ก็คงไม่มีคนไข้คนใดกล้าเข้ามารักษากับนางเป็นแน่
ทว่า ยามที่เฟิ่งชิงเฉินใช้ความพยายามเดินกลับไปที่จวนบ้านพักของหวังจิ่นหลิงด้วยความลำบากนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันเข้าใจได้ทันทีว่าอะะไรคือเรื่องหลอกลวง
ฮือฮือฮือ
เมื่อมองไปเห็นประตูจวนที่ปิดสนิทนั้น เฟิ่งชิงเฉินแทบอยากจะร่ำให้ออกมาในทันที
ที่แท้ เมื่อคืนหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นมานั้น หวังฉีก็รีบร้อนกลับมาที่นี่ เพื่อมาหาหวังจิ่นหลิง จากนั้นก็ให้องครักษ์พาพวกเขาสองคนส่งกลับไปที่เมืองหลวงอย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่นี่การกลับไปที่เมืองหลวงย่อมปลอดภัยกว่ามากนัก
แน่นอนว่า หวังฉีเอง ก็ส่งคนออกตามหาฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน
การส่งคนออกไปตามหาเฟิ่งชิงเฉินนั้น หาได้สำคัญเท่าหวังจิ่นหลิงไม่ หวังฉีไม่รู้สึกเป็นกังวลต่อความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉินเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเห็นข้างกายของเฟิ่งชิงเฉิน มีคนที่เป็นวรยุทธ์สูงส่งอยู่ด้วย
คนที่มีนามว่าหลานจิ่วชิงผู้นั้น แค่มองดูก็รู้ว่าพวกเขาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หากมีเขาอยู่ เฟิ่งชิงเฉินย่อมไม่อาจเป็นอันตรายไปได้แน่
ไม่คาดคิดว่า
ทั้งหลานจิ่วชิงกับเฟิ่งชิงเฉินหาได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นไม่
เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ทั้งเหนื่อยล้าทั้งกระหายน้ำเป็นอย่างมาก นางอดไม่ได้ที่จะกรนด่าฟ้าดินขึ้นมา
แต่ถึงแม้ว่านางจะเหนื่อยจะล้าเช่นไร เฟิ่งชิงเฉินก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้ พร้อมทั้งลากข้าทั้งสองที่หนักอึ้งออกเดินกลับไปที่เมืองหลวงในทันที
นางไม่ต้องการอยู่เดียวในป่าใหญ่เช่นนี้ ถึงแม้ว่าตนเองพอจะเป็นวรยุทธ์ แต่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ อย่างไรทักษะความสามารถของนางก็ไม่เพียงพอที่จะต่อกรอยู่ดี
หากพบเจอกับสัตว์ร้ายยังนับว่าโชคดีอยู่ อย่างมากก็แค่เผขิญหน้ากับความตายแต่หากไปพบเจอนรังโจรขึ้นมาละก็ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก มีชีวิตอยู่เช่นนี้ไม่สู้นางยอมตายเสียดีกว่า
ในชาติที่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว ที่กลุ่มคนติดอาวุธผิดกฎหมายเหล่านั้น ได้ทำการฉุดคร่าสตรีมาเป็นของเล่นเพื่อความบรรเทิงของตนเอง นางเชื่อว่า อย่างไรโจรพวกนั้นย่อมต้องปฏิบัติต่อสตรีแบบเดียวกันเป็นแน่ และนาง ไม่ต้องการที่จะมีจุดจบในสถานการณ์เช่นนั้น
มันมิใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะเดินกลับเข้าเมืองด้วยขาทั้งสองข้าง เฟิ่งชิงเฉินพลันนั่งเอนกายอยู่บนประตูจวนของหวังจิ่นหลิงเพื่อพักสักครู่ เมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พร้อมทั้งเปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะออกมา และหยิบขวดยากลูโคสออกมาฉีดให้ตัวเอง เพื่อทำการเติมพลังงานและเติมของเหลวในร่างกาย พร้อมทั้งนำเข็มทิศออกมา เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเดินกลับเข้าเมือง
ระบบอัจฉริยะที่เตรียมไว้สำหรับแพทย์ทางทหาร อย่างไรย่อมไม่สามารถขาดเข็มทิศไปได้อย่างแน่นอน หมอทหารไม่สามารถเทียบได้กับหมอทั่วไปได้ เนื่องจากว่าหมอทหาร หาได้อยู่แต่ในสนามรบเพียงอย่างเดียวไม่ พวกนางเพียงแค่อาศัยอยู่ภายในป่า น้อยครั้งมากที่จะไปปรากฏตัวอยู่ในเมือง
ในบางครั้งบางครา ก็ต้องเข้าร่วมกู้ภัยในป่าด้วยเช่นกัน หากไม่มีเข็มทิศแล้วไซร้ นอกเสียจากจะเป็นมืออาชีพแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจหาทิศทางภายในป่าเจอได้แน่
เฟิ่งชิงเฉินเคยเข้าร่วมกู้ภัยในป่าหยุนหนานอยู่นาน ในสถานที่แห่งนั้น มีโจรค้ายาอาละวาดมากมาย เกือบจะทุกคนต้องมีปืนสักกระบอกติดตัวอยู่เสมอ อีกทั้งพวกมันยังมีกองกำลังติดอาวุธที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลักลอบขนส่งสินค้าในสถานที่แห่งนั้น มีทั้งอาวุธที่ผิดกฎหมายและแม้แต่สายลับจากบางประเทศ มาเพื่อใช้สถานที่เช่นนั้นทำข้อตกลงอะไรบางอย่าง
ในประเทศของพวกเราจะไปมีกองกำลังพิเศษต่อกรกับคนพวกนั้นได้อย่างไร เฟิ่งชิงเฉินเคยเป็นหมอทหารที่อยู่กับกองกำลังติดอาวุธ แม้ว่านางจะอยู่แต่ทัพหลังเกือบจะตลอดเวลา แต่บางครั้งเมื่อมีแพทย์ไม่เพียงพอต่อความต้องการ นางก็จะต้องก้าวขึ้นไปช่วยเหลือที่แนวหน้าด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ฉีดกลูโคสเข้าไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็พลันรู้สึกว่าร่างกายมีแรงเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้น นางก็เตรียมตัวเดินกลับไปที่เมืองหลวงต่อไป
นางจะต้องเข้าไปในเมืองให้ได้ก่อนฟ้ามืด มิฉะนั้น สตรีที่สวมใส่แต่เพียงเสื้อตัวในและอยู่นอกเมืองเพียงลำพังเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นเป้าให้รังแกได้ง่าย
ในครานี้ พระเจ้าก็ได้ฟังคำอธิษฐานของเฟิ่งชิงเฉินเสียที ก่อนที่ประตูเมืองจะปิดในอีกสองชั่วยาม เฟิ่งชิงเฉินก็สามารถเข้ามาที่ประตูเมืองได้ทันเวลาพอดี
ทั่วร่างที่เปรอะเปื้อน พร้อมกับผมเผ้าที่รุงรัง ทั่วร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลไหลย้อยมากมาย รวมไปถึงใบหน้าที่ขาวซีด สภาพของเฟิ่งชิงเฉินที่เป็นเช่นนี้ พลันปลุกความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่สัญจรไปมาได้เป็นอย่างดี
สตรีผู้นี้เป็นใครกัน?
“นี่เป็นคุณหนูบ้านใดกัน? เหตุใดถึงได้มาอยู่คนเดียวในแถบชานเมืองเช่นนี้ ดูจากสภาพของนางแล้ว คงมิได้โดนกระทำมาใช่หรือไม่” ชาวบ้านบางคนพลันเหล่มองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาประเมินดูถูก
“เจ้าอย่าพูดจาหมา ๆ เช่นนี้ ปากไม่ดีเช่นเจ้า อย่าได้ริอาจมาสร้างชื่อเสียงแย่ๆให้กับสตรีเช่นนี้ บางทีอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนางก็ได้” ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านใกล้เคียงพยายามพูดจาเกลี้ยกล่อม ไม่เพียงเท่านั้น เขายังก้าวไปข้างหน้าเพื่อเอ่ยถามเฟิ่งชิงเฉินด้วยว่า “แม่หนู มีสิ่งใดที่อยากจะให้ชายชราคนนี้ช่วยเหลือหรือไม่?”
การนินทายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เมื่อได้ยินว่ามีคนต้องการจะช่วยนางนั้น เธอจึงหยุดฝีเท้าลง พร้อมกับหันไปแย้มยิ้มและกล่าวขอบคุณชายชราว่า “ขอบคุณค่ะท่านลุง แต่ไม่จำเป็นแล้ว ข้าใกล้จะถึงบ้านแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางก็ยิ้มแย้มและจากไปอย่างสง่างาม ความอับอายเมื่อครู่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
“แม่หนูนี่ดูสวยยิ่งนัก ยามที่นางยิ้มออกมา” หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินเดินผ่านไป ชายชราก็พลันได้สติกลับมาก
“นางงามจริง ๆ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าแม่หนูนี่ดูหน้าตาคุ้นๆ ล่ะ” มีชาวบ้านบางคน พยักหน้าอย่างเห็นด้วย พร้อมทั้งมองตามแผ่นหลังของเฟิ่งชิงเฉินไป และครุ่นคิดตามอย่างรอบคอบ เขารู้สึกว่าจะเคยเห็นแม่หนูนี่ที่ไหนสักแห่งมาก่อน พร้อมกับตบไปที่หัวตนเองเบาๆ
“อ้อ ข้าจำได้ สตรีผู้นั้นก็คือคุณหนูเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉิน พวกเจ้าจำได้หรือไม่เล่า วันนั้นในตอนเช้า สภาพของนางก็เป็นเช่นนี้ หากแต่ ข้างกายของนางยังมีสาวใช้ด้วยอีกคนหนึ่ง อาภรณ์ติดตัวก็มีน้อยชิ้นเช่นกัน วันนี้”
“อ้อ ใช่ พอเจ้าพูดขึ้นมา ข้าก็นึกได้ทันทีเลย วันนั้นในยามเช้าข้าก็อยู่ ใช่ใช่ใช่ เป็นคุณหนูเฟิ่ง สตรีคนเมื่อครู่ก็คือคุณหนูเฟิ่ง ข้าจำได้ในวันนั้นคุณหนูเฟิ่งก็ยิ้มออกมาแบบนี้ ดูดียิ่งนัก”
“อะไรนะ ? คุณหนูเฟิ่งจริงๆ นะหรือ?”
“ไม่หรอก เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน เหตุใดคุณหนูเฟิ่งถึงเป็น”
“เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่คุณหนูเฟิ่งอย่างแน่นอน”
“ข้าพนันได้เลยว่า แม่นางคนเมื่อครู่คือคุณหนูเฟิ่งอย่างแน่นอน ถ้าไม่เชื่อข้า รีบตามไปดูกันเถอะ”
แต่เดิมทุกคนล้วนแต่ต้องการเข้าเมืองทั้งหมด แต่พวกเขามีภาระที่ต้องขนสิ่งของหรือขนสินค้าต่าง ๆ พวกเขามิได้เดินเร็วมากนัก
ทว่า เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เร่งความเร็ว เพื่อที่จะได้ติดตามเฟิ่งชิงเฉินไป
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ แม่นางคนนั้น คือคุณหนูเฟิ่ง” เริ่มมีคนคอยพูดซุบซิบกันแล้ว
“อะไรนะ? คุณหนูเฟิ่ง ? นางมาที่นี่ทำไมกัน?”
“ไม่ใช่หรอก หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูเฟิ่งอีกหรือ?”
“ดูจากสถานการณ์แล้ว มีความเป็นไปได้แปดส่วน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าคุณเฟิ่งออกจากเมืองไปเมื่อไรกัน ดูเหมือนว่านางจะอยู่ข้างนอกทั้งคืนเลย บางทีนางอาจจะเสื่อมเสียไปแล้วก็ได้เก้าในสิบส่วน”
“เป็นบาปกรรมยิ่งนัก น่าเสียดายที่นางไม่มีบิดามารดา เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ หาได้มีผู้ใดยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อนางเลยแม้แต่น้อย ”
“เป็นบาปกรรมอะไรกัน หากเจ้าคิดว่าคุณหนูเฟิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ไปกระโดฆ่าตัวตายเสียเถอะ แค่ดูสภาพของนางก็รู้แล้ว เจ้าดูสิ หากใใช้ชีวิตอยู่ต่อไปก็หน้าขายหน้ายิ่งนัก ”
เมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉิน ผู้คนที่เดินอยู่ด้านหน้าของนางก็พลันหยุดฝีเท้าลง เมื่อพวกเขาได้ยินการสนทนาที่อยู่เบื้องหลังของนางในทันที ผู้คนที่ก้าวเท้าเข้าไปในประตูเมืองครึ่งหนึ่งแล้ว ต่างก็ถอยเท้ากลับหลังจากได้ยินข่าวลือ
อะไร? คุณหนูตระกูลเฟิ่ง มาปรากฏตัวที่หน้าประตูเมืองด้วยสภาพไม่สู้ดีอีกแล้วหรือ?
ข่าวนี้มันดึงดูดผู้คนอีกแล้ว
ผู้คนที่ถอยออกจากประตูเมืองไม่ทัน ก็พลันหันกลับมามองนางในทันที และยืนอออยู่ที่ประตูเมืองไม่ไปไหน
ข่าวลือเช่นนี้ หากไม่เห็นด้วยตา ย่อมไม่อาจกลับไปพูดคุยต่อ ๆ กันได้
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินที่มืดคล้ำ แต่นางก็ปิดปากไม่พูดอะไรออกมาอีก พร้อมทั้งก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าไปที่ประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
นางรู้สึกว่าตนเองเป็นคนต่ำต้อยยิ่งนัก นางไม่ต้องการได้ยินคำว่า “เฟิ่งชิงเฉิน”สามคำนี้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงไม่อยากจะทำตัวสนใจมันอีก
ทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “เฟิ่งชิงเฉิน” ออกมา นางก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนอีกครั้ง แม้นางไม่อยากจะยอมรับก็ไม่อาจทำได้แล้ว อีกทั้งนางก็ไม่อยากจะยอมรับอีกด้วย
หากนางยอมรับแล้ว นางจะเข้าไปในเมืองได้อย่างไร
เมื่อพวกเขามาถึงประตูเมือง ผู้คนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นก็ถอยกลับทันที และเริ่มให้เฟิ่งชิงเฉินเดินขึ้นไปข้างหน้า