เดิมทีร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินก็ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ตามปกติแล้วเฟิ่งชิงเฉินมักทำตัวดูแข็งแกร่ง ประกอบกับทักษะทางการแพทย์ของนางค่อนข้างแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินจะแย่
แต่คราวนี้เมื่อนางป่วย ทุกคนจึงเข้าใจว่าการที่หมอไม่อาจรักษาตัวเองได้หมายความว่าอย่างไร เพียงไข้ธรรมดาแต่เกือบจะฆ่าเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว
ไข้สูงยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาสามวันสามคืนติดต่อกัน หมอบอกว่าถ้าไข้ไม่ลดลง แม้ว่าจะได้รับการรักษาจนหาย สมองของนางก็จะร้อนระอุเสียจนทำให้เป็นบ้าหรือปัญญาอ่อนได้ในอนาคต
เป็นบ้าหรือปัญญาอ่อน? ผู้คนจะยอมรับเฟิ่งชิงเฉินในสภาพแบบนี้ได้อย่างไร?
โจวสิง ซูเหวินชิงและหวังชีรู้สึกกังวลมาก จนซูเหวินชิงได้ให้บ้าวรับใช้ทั้งหมดข้างกายเขามายงจวนซูเพื่อดูแลนาง แต่ถึงกระนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา
ในบางครั้งที่นางตื่นขึ้นก็จะเอาแต่เอ่ยสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ เช่น “รับประกันว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ” “จะไม่ทำให้หัวหน้าผิดหวัง” และ “ขอบคุณหัวหน้าที่เป็นห่วง” เป็นต้น
“คุณชาย คุณชาย แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเฟิ่งบ้วนยาออกมาอีกแล้ว” สาวรับใช้ข้างกายซูเหวินชิงดูท่าทางทรุดโทรม นางเดินก้าวเท้าเปล่าเข้ามา มองเห็นว่านางเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนในช่วงนี้
“เหตุใดจึงบ้วนออกมาอีกเล่า? ไปต้มยามาแล้วนำมาป้อนคุณหนูเฟิ่งอีก” ซูเหวินชิงวิตกกังวลยิ่งนัก
ไม่ใช่ว่าหมอที่เขาจ้างมาไม่เก่งเรื่องยา แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ให้ความร่วมมือเลย ไม่ว่าเป็นยาของหมอผู้เก่งกาจสักเพียงไร นางก็ไม่ยอมดื่มยาเข้าไปเลย
ยาที่นางดื่มในทุกวันต้องจัดเตรียมเอาไว้ถึงสิบชุด ภายในสิบชุดนี้หากนางดื่มได้สักหนึ่งชุดก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ผู้ป่วยเช่นนี้ทำให้หมอปวดหัวนักหนา
“เจ้าค่ะคุณชาย” สาวรับใช้พยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วหันกลับไปอย่างเร่งรีบ นางเดินไปที่ห้องครัว แต่ทันใดนั้นนางก็เหยียบชายกระโปรงของตนแล้วล้มลง
“ระวัง” หวังชีที่ถือกล่องเดินเข้ามาช่วยพยุงสาวรับใช้เอาไว้ได้ทัน
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชายหวัง” สาวรับใช้ยังคงตกตะลึง นางมองไปเห็นหวังชีผู้สูงศักดิ์ราวเทพบุตร ใบหน้าของนางก็แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวขอบคุณด้วยความเขินอาย
หวังชีไม่ได้แม้แต่จะชายตามองนาง เขาเดินถือกล่องเข้าไปด้านใน
“ตึง!……”
หวังชีวางกล่องลงบนโต๊ะ “ข้าพบกล่องยาของเฟิ่งชิงเฉิน ดูสิว่าข้างในมียาที่รักษาโรคของนางได้หรือไม่”
“กล่องยาของเฟิ่งชิงเฉิน?” ซูเหวินชิงรีบไปดูที่กล่องเล็กๆ บนโต๊ะ
เฟิ่งชิงเฉินนี่ยากจนหรือขี้เกียจกันแน่ นางใช้กล่องเล็กเช่นนี้บรรจุยา ช่างง่ายดายเหลือเกิน
“อืม วันนั้นในป่าเกิดความโกลาหลขึ้น ข้าจึงลืมกลับไปหา ข้าเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินดื่มยาไม่ได้ เลยคิดว่าจะมียาใดในกล่องของนางที่พอรักษานางได้บ้าง จึงส่งคนไปตามหาจนเจอในวันนี้”
เกิดอะไรขึ้นก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินจะหายตัวไป หวังชีได้บอกกับซูเหวินชิงและโจวสิงถึงสิ่งที่เขารู้ไปแล้ว
ซูเหวินชิงรู้มากกว่าทั้งสองคน เขารู้ดีว่าที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นทุกข์เช่นวันนี้ หลานจิ่วชิงก็มีส่วนด้วย
ดังนั้นซูเหวินชิงจึงใส่ใจในการดูแลเฟิ่งชิงเฉินมากกว่าใครๆ เขาหยิบโสมอายุร้อยปีออกมาหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อยื้อชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้อย่างไม่คิดเสียดาย
หากปราศจากฤทธิ์ของโสมนี้ เฟิ่งชิงเฉินที่ไม่สามารถกินหรือดื่มอะไรได้คงจะตายไปนานแล้ว
“ข้าขอดูหน่อย” ซูเหวินชิงเปิดกล่องออกดู ก่อนจะพบว่าข้างในมีพื้นที่ขนาดใหญ่
กล่องเครื่องประดับขนาดเล็กถูกแบ่งออกเป็นสองชั้นโดยเฟิ่งชิงเฉิน และแต่ละชั้นถูกแบ่งออกเป็นช่องจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละชั้นมีขนาดแตกต่างกัน
“การจัดสรรแบบหลากช่องงั้นหรือ?” ดวงตาของซูเหวินชิงฉายแสงออกมาและพบว่าขนาดของช่องเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวิ่งของที่วาง
เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งของภายในจะเกาะติดกันแน่นและจะไม่เสียหายเนื่องจากการกระแทก
ใบมีด แหนบ ผ้าพันแผล ยาเม็ดและยาน้ำที่เฟิ่งชิงเฉินใส่เข้าไปนั้นไม่มีใครแตะต้องมันเลย
“ที่แท้ นางก็ละเอียดอ่อนเช่นกัน” ซูเหวินชิงกล่าวชื่นชมในใจ
หลังจากการชื่นชมนาง สิ่งใดควรทำก็ยังคงต้องทำต่อไป ซูเหวินชิงชี้ไปที่กล่องยาและถามหวังชีว่า “เจ้ารู้วิธีใช้สิ่งเหล่านี้หรือไม่?”
หวังชีรีบส่ายหน้า เขาเปิดมันออกดูระหว่างทาง อย่าว่าแต่มีดหรือยาเหล่านั้นเลย ตัวหนังสือยึกยือไปมาเช่นนั้นเขาจะอ่านออกได้ยังไง
ที่แท้ เป็นเพราะป้องกันไม่ให้ผู้อื่นจำยาได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงทำลายตัวอักษรทั้งหมดที่มีตัวอักษรจีน เหลือไว้เพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้เฟิ่งชิงเฉินสามารถเข้าใจ แต่คนอื่นไม่สามารถทำได้
“แล้วข้าควรทำอย่างไร ให้หมอมาดู?” ซูเหวินชิงถามความคิดเห็นของหวังชี
“หรือจะพาโจวสิงมาด้วย? เขาเป็นน้องชายของเฟิ่งชิงเฉิน บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบ้าง” หวังชีคิดว่าว่าแม้แต่หมอก็อาจไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้
ส่วนเรื่องประวัติของโจวสิงน่ะหรือ?
ซูเหวินชิงและหวังชีได้ส่งคนไปสืบมาในวันรุ่งขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่มีบุคคลดังกล่าว โจวสิงได้พบกับเฟิ่งชิงเฉินเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในเมืองหลวง
โจวสิงไม่ใช่ญาติห่างๆ ของเฟิ่งชิงเฉินเลย เขาน่าจะเป็นพวกพเนจร แน่นอนว่าดูจากรูปลักษณ์ของโจวสิงแล้วภูมิหลังของเขาก็คงไม่เลว เฟิ่งชิงเฉินไปช่วยคนแบบนี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ซูเหวินชิงและหวังชีรู้กันสองคนก็พอ ทั้งสองไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา จากนั้นก็เดินทางไปกำชับกับผู้ตรวจการซุ่นเทียนฝู่ว่าหากเฟิ่งชิงเฉินพาโจวสิงในขึ้นทะเบียน ขอพวกเขาอย่าได้ทำให้นางลำบากใจ ให้ทำตัวตนขึ้นมาแก่โจวสิงด้วย
โจวสิงและหมอเดินทางมาในไม่ช้า เมื่อเห็นกล่องยานั้นโจวสิงก็ส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย “พี่สาวข้าไม่เคยให้ใครแตะกล่องยาของนางเลย และข้าก็หาได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับกล่องยานี้”
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ซูเหวินชิงและหวังชีรู้กันสองคนก็พอ ทั้งสองไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา จากนั้นก็เดินทางไปกำชับกับผู้ตรวจการซุ่นเทียนฝู่ว่าหากเฟิ่งชิงเฉินพาโจวสิงในขึ้นทะเบียน ขอพวกเขาอย่าได้ทำให้นางลำบากใจ ให้ทำตัวตนขึ้นมาแก่โจวสิงด้วย
“สุดยอดยิ่ง นี่คือผงยาชาบริสุทธิ์ เพียงหยดเล็กๆ ก็สามารถเทียบเท่าสรรพคุณทางยาได้มากมาย ยาเม็ดนี้มีกลิ่นหอม แต่น่าเสียดายที่ข้าผู้ศึกษาวิชายามานานกว่าห้าสิบปีแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่ากลิ่นยานี้ใช้อะไรกลั่นออกมาและกลั่นอย่างไร เพื่อให้เม็ดยานั้นบริสุทธิ์เหมือนหิมะอยู่เช่นนี้ คุณชายซู ไม่รู้ว่าจะนำให้ข้าสักเม็ดได้หรือไม่? ข้าจะลองตำมันให้ละเอียดเพื่อศึกษาตัวยาดู”
ดวงตาขอหมอชราเป็นประกาย เขาจับไปที่ยาในกล่องยาของเฟิ่งชิงเฉินทีละอย่าง สำหรับอุปกรณ์นั้นเขามองข้ามมันไปทันที แล้วหยุดที่เม็ดยาสีขาว ทำอย่างไรก็ไม่ยอมวาง ได้แต่มองมาทางซูเหวินชิงด้วยแววตาอ้อนวอน
“หากข้าให้เจ้าบดเป็นผง เจ้ารับประกันหรือไม่ว่าจะจำแนกตัวยาได้?”
“เอ่อ ข้าไม่สามารถรับประกันได้” ดวงตาของหมอชราหลบเลี่ยงเขา มีความรู้สึกละอายใจเกิดขึ้นมาแทนที่
ฮือๆ……แม้จะถูกสงสัยในความสามารถด้านการรักษา แต่เขาก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้
“ในเมื่อไม่แน่ใจก็ไม่จำเป็นต้องทดลอง ยาแต่ละเม็ดนี้มีราคากว่าหมื่นเหรียญทอง” ซูเหวินชิงรับยาคืนไปโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของหมอชรา
ยาเม็ดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นแปลกนัก แม้ว่าซูเหวินชิงจะไม่รู้จักยาสักเท่าไร แต่เขาก็สามารถเข้าใจได้จากสายตาของหมอชราว่ายาเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของหมอมาก
เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ไหลรั่วไหลออกไป เฟิ่งชิงเฉินคงจะตกอยู่ในอันตราย
ทันใดนั้นใบหน้าของซูเหวินชิงก็เปลี่ยนไป หวังชีก็เข้าใจและพยักหน้าให้กับซูเหวินชิง “ไม่มีใครรู้นอกจากข้า”
ซูเหวินชิงพยักหน้าและกล่าวกับหมอซุนอย่างเร่งรีบว่า “หมอซุน ท่านเป็นหมอเก่าแก่ของจวนซู ข้าเชื่อว่าท่านรู้ดีถึงสิ่งใดควรกล่าวมิควรกล่าว”
ซูเหวินชิงปิดตู้ยาของเฟิ่งชิงเฉินลง “พรึ่บ!” และมองไปทางหมอซุนด้วยท่าทางเคร่งขรึม
เฉกเช่นแอ่งน้ำที่ไหลนองออกมา หมอซุนรีบละสายตาจากกล่องยาของเฟิ่งชิงเฉินและกล่าวด้วยท่าทางหวาดกลัวว่า
“คุณชายไม่ต้องกังวลไป ข้าเข้าใจ ข้านั้นแก่ชราเกินกว่าจะเดินทางไปๆ มาๆ ข้าอยากจะขอคุณชายอนุญาตให้ข้าอยู่ในจวนซูได้หรือไม่ เห็นแก่ที่ข้ามีความมุ่งมั่นพยายาม”
หมอซุนคนนี้ก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ซูเหวินชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและตอบกลับว่า “ไม่ต้องกังวลไปหมอซุน ข้าซูเหวินชิงเป็นคนไม่ลืมคุณงามความดีใคร ข้าจะให้หลานชายของท่านเข้าศึกษาในโรงเรียนเอกชน สำหรับลูกชายของท่าน ข้าจะให้เขาเข้ามาในกรมคลัง ส่วนฮูหยินซุนก็เข้ามาอยู่ในจวนซูเถิด”
“ขอบพระคุณคุณชาย ขอบพระคุณยิ่งนัก” หมอซุนโค้งกายลงมาจนตัวสั่น นัยน์ตาเป็นประกายกว่าเดิมเล็กน้อย
ชีวิตของคนเรานั้น ก็เพื่อต้องการหาภูมิหลังที่ดีให้ลูกๆ หลานๆ หากมีตระกูลซูคอยให้พึ่งพา ตระกูลซุนก็จะเฟื่องฟูขึ้นตั้งแต่นี้ไป หากเขาได้พักอยู่ในจวนซู ก็ยังสามารถค้นคว้าทักษะทางการรักษาได้อีกด้วย……
“เจ้าไปได้แล้ว” ซูเหวินชิงโบกมือ จากนั้นไม่หันมาสนใจหมอซุนอีก
หลังจากพวกเขาจากไป ซูเหวินชิงและอีกสองคนก็ดูเศร้าสร้อยอีกครั้ง
จะทำอย่างไรดีตอนนี้?
จะให้ทนเห็นเฟิ่งชิงเฉินกลายเป็นบ้าโง่เง่าแบบนี้เหรอ?
บทที่ 055 อุ้ม
บทที่ 57 ฟื้นแล้ว