เมื่อพวกซูเหวินชิงกำลังจ้องมองกล่องยาอย่างไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอยู่นั้น สาวรับใช้ก็เข้ามารายงานว่าเฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้น นางขับไล่ทุกคนออกไป ไม่ยอมให้ใครเข้ามาดูแล
นางตื่นแล้ว?
พวกซูเหวินชิงได้ยินคำนี้ คำอื่นๆ ก็ถูกเพิกเฉยโดยปริยาย พวกเขาคว้ากล่องยาและวิ่งไปที่ห้องของเฟิ่งชิงเฉินทันทีโดยไม่สนใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่
เพราะอย่างไรก็ตาม เฟิ่งชิงเฉินถูกตงหลิงจื่อลั่วทำจนชื่อเสียงของนางพังทลายไปแล้ว หากจะเพิ่มเข้ามาอีกคงไม่เป็นไร
เฟิ่งชิงเฉินอย่าได้คิดจะแต่งงานเลยในชีวิตนี้ สถานการณ์ของนางคาดว่าคงไม่มีใครกล้าแต่งงานกับนางแน่เพราะขัดกับธรรมเนียมทางโลก ดังนั้นซูเหวินชิงและหวังชีจึงไม่มีความเข้มงวดในเรื่องนี้
ทั้งสามมาที่เรือนของเฟิ่งชิงเฉินและพบว่าสาวรับใช้ทั้งหมดยืนอยู่นอกประตู ประตูและหน้าต่างถูกปิดสนิท ซูเหวินชิงและหวังชีชำเลืองมองกันและกัน สายตาของพวกเขาพบกันครึ้งทางและตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าไปข้างในดูไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
สาวรับใช้จากจวนเฟิ่ง เดิมก็ถูกโยกย้ายมาจากจวนซู พวกเขาไม่กล้าดีที่จะเข้ามาหยุดซูเหวินชิง แต่เมื่อทั้งสามกำลังจะผลักประตูเข้าไป โจวสิงก็เข้าไปปิดกั้นประตูนั้น อ้าแขนของเขาและปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะให้ซูเหวินชิงกับหวังชีเข้าไป
“คุณชายซู คุณชายหวัง โปรดเคารพในมารยาทด้วย พวกท่านไม่ควรเข้าไปในห้องส่วนตัวของสตรี”
โจวสิงไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินทำอะไรอยู่ในห้อง แต่เขารู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความลับที่ยิ่งใหญ่ และเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ความลับนี้
โจวสิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่ทุกย่างก้าวในเมืองหลวงของนางเหมือนการเดินบนน้ำแข็งชั้นบางๆ เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถปกป้องความลับของตนเองได้ในขณะนี้ ดังนั้นความลับนี้ไม่ควรเปิดเผยออกมา
การคาดเดาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่จะรู้ว่าความลับของเฟิ่งชิงเฉินคืออะไรนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
“โจวสิง เจ้ามิกังวลเฟิ่งชิงเฉินหรือ?” ซูเหวินชิงไม่ได้พยายามผลักเข้าไป
จากกล่องยาของเฟิ่งชิงเฉินเห็นได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ธรรมดา บางทีการที่รู้เรื่องราวต่างๆ มากไปก็มิใช่เรื่องดี
แต่ถึงอย่างไร คนเรามักจะอยากรู้อยากเห็น
“ข้ากังวล แต่ข้าเชื่อว่าพี่สาวของข้า นางจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นอะไรไปแน่” เฟิ่งชิงเฉินหวงแหนชีวิตของนางเพียงไร ไม่มีใครสามารถหักล้างเรื่องนี้ได้
“แต่นางยังป่วยอยู่ นางอาจต้องการความช่วยเหลือจากเรา หากไม่ให้เราเข้าไปข้างใน ก็ควรให้สาวรับใช้เข้าไปตรวจดูสักหน่อยดีกว่า” เห็นได้ชัดว่าหวังชีไม่ได้ใจเย็นขนาดนั้น เขาอยากรู้ความลับของเฟิ่งชิงเฉินมาก
โจวสิงส่ายหัวอย่างหนักแน่น “คุณชายหวัง พี่สาวของข้าไม่ชอบให้ใครมาสงสยนาง การที่นางไล่ทุกคนออกไปนั่นหมายความว่านางไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร ดังนั้นเราจะรออยู่ข้างนอก”
โจวสิงกั้นประตูไม่ให้ใครเข้ามา
เฟิ่งชิงเฉินนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวข้างนอก นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะแทงเข็มฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือดและให้น้ำเกลือแก่ตนเอง
เรื่องง่ายๆ ดังกล่าวนี้ เมื่อทำมันเสร็จเฟิ่งชิงเฉินกลับมีเหงื่อไหลออกมามากมาย ลมหายใจเหนื่อยหอบ บนข้อมือของนางมีรอยเข็มอยู่ห้าหกรู
เนื่องจากมือที่อ่อนแอ ไม่สามารถหาตำแหน่งของหลอดเลือดได้ จึงไม่สามารถสอดเข็มเข้าไปได้
หลังจากทำทุกสิ่งเหล่านี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เอนกายลงบนเตียง หลับตาลงและพักผ่อนจิตใจ เมื่อน้ำเกลือขวดนี้หมดแล้ว นางก็สามารถให้พวกโจวสิงเข้ามาได้
เพียงแค่ไข้ลด นางก็จะรับการรักษาของหมอจีนต่อไป ตอนที่นางอยู่ในอาการโคม่านางไม่สามารถดื่มยาได้เพราะนางปฏิเสธรสชาติของยาตามสัญชาตญาณแต่เมื่อตื่นขึ้น เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ายาขมแค่ไหนนางก็สามารถดื่มได้
ยาตะวันตกรักษาตามอาการ ส่วนยาจีนรักษารวมรากฐาน
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเรียนแพทย์แผนตะวันตกมา แต่นางก็เชื่อและเชิดชูยาจีนจากภายใน
เพียงแต่ว่าแพทย์แผนจีนสมัยใหม่ค่อยๆ ลดน้อยลง นอกจากแพทย์ระดับชาติเพียงไม่กี่คนนั้น ทักษะทางการแพทย์ของแพทย์แผนจีนยังไม่สม่ำเสมอ ก่อนจะหาผู้ที่มีทักษะทางการแพทย์แผนจีนอันดีเยี่ยมพบ นางต้องใช้ยาตะวันตกที่มีอันน้อยนิดเหล่านี้ไปก่อน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาเฟิ่งชิงเฉินเก็บข้าวของและให้สาวรับใช้เข้ามาช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อนางพร้อม นางก็เปิดปากกล่าวกับโจวสิงและคนอื่นๆ ให้เข้าไปข้างในได้
โจวสิงยืนอยู่ที่ประตู เขาหันหลังกลับและรีบวิ่งเข้าไป ซูเหวินชิงกับหวังชีติดตามมาอย่างใกล้ชิด ทั้งสามคนเดินเข้าไปแลเห็นเฟิ่งชิงเฉินที่อ่อนแอ แต่อย่างน้อยนางก็มีสติ
“เฟิ่งชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่ตื่นขึ้นอีก เกรงว่าพวกเราคงจะตกใจตายก่อนพอดี” หวังชีตะโกนอย่างเกินจริงเมื่อเขาเข้าไปข้างใน
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตื่นขึ้นมาเช่นนี้เจ้าหิวน้ำไหม หิวข้าวหรือไม่? ข้าจะให้สาวรับใช้เตรียมอาหารมา” ซูเหวินชิงก็โล่งใจเช่นกัน
ทุกคนเข้าใจโดยปริยายที่จะไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าที่ประตูเมือง อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้ช่างน่าละอายจริงๆ
เกิดอะไรขึ้นในวันนั้นบ้าง อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินที่เป็นสตรีคนหนึ่ง แม้แต่ชายร่างใหญ่โตเช่นของพวกเขาก็ทนไม่ได้
ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยชีวิต ตงหลิงจื่อลั่วกระทืบลงไปบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินด้วยเท้าของเขา
อนิจจา…… ไม่รู้ว่าจะมีคนนำเรื่องนี้ไปสนทนาให้เฟิ่งชิงเฉินต้องอับอายหรือไม่เมื่อนางเข้าร่วมเทศกาลดอกท้อในอีกเจ็ดวันต่อมา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คาดว่าสตรีที่หยิ่งผยองผู้นั้นคงจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน และเฟิ่งชิงเฉินจะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
คิดได้ดังนี้ หวังชีและซูเหวินชิงก็มองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
“อย่ามองข้าแบบนี้ ก็แค่คุกเข่าที่ประตูเมืองและถูกโยนผักกับไข่เน่าใส่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่หดหู่ด้วยสิ่งนี้และข้าจะไม่รู้สึกอับอายแต่อย่างใด” เสียงของเฟิ่งชิงเฉินแหบแห้งเล็กน้อย แต่ก็ดูเปิดกว้าง
เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วไม่อาจจะไปแก้ไขสิ่งใดได้ สู้เปิดใจกว้างไม่ดีกว่าหรือ การที่มีจิตใจขุ่นหมองยากที่จะรักษา นางไม่อยากจะตายด้วยโรค ซึมเศร้า
“แหะๆ……” หวังชีหัวเราะขึ้นเบาๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแววตาของเฟิ่งชิงเฉินอันแจ่มใส และนึกถึงในวันนั้นสภาพของเฟิ่งชิงเฉินที่ค่อนข้างจะน่าสมเพช ตัวเขาก็ได้แต่ตำหนิตัวเองเล็กน้อยในใจ
“ชิงเฉิน เรื่องในวันนั้นข้าขอโทษจริงๆ ข้าคิดว่าเจ้ากับชายหนุ่มที่สวมหน้ากากคนนั้นเป็นเพื่อนกัน” หวังชีเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจสิ่งใด เขาจึงได้รีบเอ่ยขอโทษ
หากไม่ใช่เพราะเขาประมาทจนเกินไป เรื่องในวันนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้วการที่เฟิ่งชิงเฉินเดินทางไปนอกเมืองวันนั้นก็เป็นเพราะเขา
ด้วยเรื่องนี้เอง ทำให้พี่ชายของเขาไม่พูดอะไรออกมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว พี่ใหญ่มักจะโทษตนเองว่าหากเฟิ่งชิงเฉินไม่เดินทางไปตรวจดูดวงตาเขา ก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น และก็จะไม่มีปัญหาเหล่านี้ตามมา
ตอนนี้ทั้งในพระราชวังล้วนเห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นเรื่องตลก บรรดาข่าวลือที่แพร่หลายออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่จะสงบลงก่อนหน้านี้ บัดนี้กลับ เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เกี่ยวข้องกันกับเจ้า นี่คือความคับแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับรั่วอ๋อง ต่อให้ไม่มีเรื่องที่หน้าประตูพระราชวังเกิดขึ้นก็จะมีเรื่องอื่นแน่” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อยากจะโทษหวังชีจริงๆ
เนื่องจากคนเราไม่อาจจะคอยปกป้องหลีกเลี่ยงจากผู้ประสงค์ร้ายได้ทั้งวัน นางเป็นคนที่ตงหลิงจื่อลั่วต้องการจะจัดการ
หลังจากกล่าวไปได้สองสามประโยค เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงเอนกายนั่งพิงไปที่หัวเตียงเพื่อให้หมอเข้ามาจับชีพจร
หมอซุนยืนรอรับใช้อยู่ที่ด้านนอกตลอดเวลา เมื่อได้ยินเสียงเรียกให้เข้าไปด้านในจึงรีบเดินเข้าไป เขาดูแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อย แววตาของหมอซุนที่มองเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้เรียกได้ว่าดูเป็นประกายแวววาวแฝงไปด้วยความชื่นชม
น่าเสียดายเหลือเกินที่ในตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก นางจึงไม่เห็นแววตาอัน “รุกร้อน” ของหมอซุนในตอนนี้
หมอซุนทำสีหน้าผิดหวัง เขาทำได้เพียงใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในการวิเคราะห์รักษาอาการให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้สำหรับนางนั่นก็คือไข้สูงที่ไม่ลดลงเลย ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง ตอนนี้ดูเหมือนมีแนวโน้มว่าไข้จะค่อยๆ ลดลง เพียงแค่พักผ่อนร่างกายและดื่มยาที่หมอซุนปรุงให้ ในไม่ช้าก็จะสามารถกลับคืนสู่ปกติได้
ร่างกายเหนื่อยล้าผิดปกติเช่นนี้ เพียงพักผ่อนสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น
หมอซุนเขียนรายการจ่ายยาขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างยื่นมาให้ตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉินเพื่อให้นางตรวจทาน
เฟิ่งชิงเฉินทำสีหน้ามึนงงยิ่งนัก ใบสั่งยาของหมอจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยดูหรือ?
ภายใต้แววตาอันเร่าร้อนเป็นประกายของหมอซุน เฟิ่งชิงเฉินจึงทำได้เพียงพยายามชะโงกหน้าเข้ามาดู
เรื่องเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนนั้นนางรู้ไม่มากนัก นางเพียงแค่เคยอ่านหนังสือ “ซางหานลุ่น” “เชียนจินฟาง” “หวงตี้เน่ยจิง” และ “เปิ่นเฉ่ากังมู่” เหล่านี้เพียงรอบเดียว ส่วนเรื่องวิธีการใช้ยาหรือปริมาณนั้นนางไม่รู้เลย
หลังจากพยายามรวบรวมสติในการพิจารณาดูใบสั่งยานั้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็พยักหน้าเป็นความหมายว่ายอมรับจะใช้ใบสั่งยานี้
หมอซุนได้ยินดังนั้นใบหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความดีอกดีใจ ในที่สุดเขาก็พิสูจน์ได้ว่าทักษะของตนนั้นไม่เลว
“คุณหนูเฟิ่งรอประเดี๋ยว ข้าจะไปปรุงยาให้บัดเดี๋ยวนี้” หมอซุนเดินถือใบสั่งยาและวิ่งออกไปด้านนอกด้วยความดีใจดั่งเช่นได้รับสมบัติมีค่า
เฟิ่งชิงเฉินเหงื่อออกท่วมกาย นางไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะไปเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำได้เพียงเอนศีรษะพิงไปที่เตียงแล้วรอดื่มยา……
ขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น นางเงยหน้าขึ้นแล้วพบซูเหวินชิงกับหวังชีว่ายังอยู่ที่นั่น จึงขมวดคิ้วขึ้นถามว่า “เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่เล่า กลับไปกันเถิด ระวังข้าจะแพร่อาการเจ็บป่วยไปแก่พวกเจ้า”
เพราะโรคหวัดสามารถติดต่อกันได้
ซูเหวินชิงกับหวังชีหัวเราะออกมาเบาๆ พวกเขากล่าวออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย……
บทที่ 56 กล่องยา
บทที่ 58 เรื่องตลก