นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 58 เรื่องตลก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“เราจะรอจนกว่าเจ้าจะดื่มยาหมดแล้วค่อยไป”

เอาเถอะ ที่จริงแล้วพวกเขาเพียงแค่อยากจะอยู่ดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินที่ดูท่าทางแข็งแกร่งและไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดเลย กลับกลัวที่จะกินยา ทุกครั้งที่สาวรับใช้เข้ามาป้อนยานาง ก็ดูเหมือนกับว่านางกำลังจะออกศึกใหญ่

“ไม่ต้องหรอก ข้าดื่มเองได้” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

นางรู้ดีว่าซูเหวินชิงและหวังชียังต้องการนางอยู่ ดังนั้นจึงกังวลกับความเป็นความตายของนาง แต่การที่ทั้งสองคนทำได้ถึงเพียงนี้ก็นับว่าพยายามเต็มที่แล้ว

“เรากลัวว่าเจ้าจะดื่มเองน่ะสิ เอาเป็นว่าพวกเราก็รอมาตั้งหลายวันแล้ว จะรอต่ออีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไร” ซูเหวินชิงยิ้มขึ้นเล็กน้อย มองดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่ก็ค่อนข้างจะเอาแต่ใจ เขาบอกกับเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้เป็นความหมายว่าเขาจะไม่ไปไหน อย่าได้เสียเวลาเลย

ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาและกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะมาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วรินน้ำชาให้ตนเอง ทำท่าทางไม่เหมือนว่าตนเป็นแขกแต่อย่างใด

“พรูด!”

เมื่อดื่มเข้าไปใดคำหนึ่ง ซูเหวินชิงก็พ่นน้ำออกมา “เหตุใดคือน้ำเปล่าไม่ใช่น้ำชา?”

ชาวตงหลิงนิยมดื่มน้ำชา อย่าว่าแต่ตระกูลซูเลย แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็มักจะวางน้ำชาไว้บนโต๊ะ

น้ำเปล่าสิ่งนี้มีเพียงพวกนักเลงหรือชาวบ้านที่ไม่มีปัญญาซื้อใบชาจริงๆ จึงจะดื่มกัน

แน่นอนว่าพวกเขาล้วนชื่นชอบใบชา การดื่มชาจึงค่อนข้างเป็นที่นิยม สตรีน้อยใหญ่ในราชวงศ์ตงหลิงแต่ละคนล้วนมีฝีมือในการชงชา และทักษะการชงชาเป็นศิลปะที่สตรีจำเป็นต้องเรียน

ในฐานะคุณหนูตระกูลใหญ่หากชงชาไม่เป็น ก็ไม่สมควรที่จะเป็นคุณหนู ทักษะการชงชาและการได้รับความนิยมสำคัญพอๆ กัน

แน่นอนว่าเรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ดี อย่าว่าแต่เรื่องที่นางไม่รู้ทักษะการชงชาเลย ต่อให้นางรู้ก็ไม่มีเวลาว่างพอที่จะมานั่งประดิดประดอยชงชา

เรื่องการชงชานั้น เป็นเรื่องของสตรีที่มีตระกูลใหญ่หรือสามีคอยเลี้ยงดู ไม่ต้องเอาตัวรอดด้วยตนเองเหล่านั้นจึงจะมีเวลาว่างพอในการเรียนรู้มัน อีกอย่าง น้ำเปล่าไม่ดีตรงไหน?

เฟิ่งชิงเฉินขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ในที่สุดแล้วนางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เนื่องจากนางมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความเคยชินของชาวตงหลิงได้

“ชิงเฉิน เจ้าชงชาไม่เป็นหรือ?” หวังชีมองไปทางนางแล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่เป็น” นางทำเป็นเพียงใส่ใบชาลงไปในน้ำร้อน แต่ทักษะการชงชาให้ได้รสชาติดีนั้นนางทำไม่เป็นหรอก

ทักษะการชงชาที่ว่าแตกต่างไปจากการชงใบชาทั่วไป ภาพของดอกไม้ นก ปลา และแมลงหรือรูปแบบต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นบนพื้นผิวของชา อีกทั้งการชงชายังมีสิ่งที่เรียกว่าสุ่ยจงโจวชิง ท่าทางและทักษะอันโดดเด่นดูสูงส่งเช่นนั้น นางจะทำเป็นได้อย่างไร

ในความคิดเห็นของนาง การดื่มชาก็เพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าแทนกาแฟเท่านั้น

“แล้วเมื่อถึงเทศกาลดอกท้อเจ้าจะทำอย่างไร?” หวังชีมองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางเป็นกังวล

มองดูแล้วในเทศกาลดอกท้อ เฟิ่งชิงเฉินคงจะกลายเป็นจุดสนใจอีกแล้ว แต่จุดสนใจนี้ไม่ใช่สิ่งดีแต่อย่างใด

“เทศกาลดอกท้อจำเป็นต้องชงชาด้วยหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปทางหวังชีด้วยความงุนงง

ทั้งหวังชีและซูเหวินชิงพยักหน้าพร้อมกัน “เจ้าไม่รู้หรือ?”

“ไม่รู้……” นางคิดว่าเทศกาลดอกท้อคงเหมือนกับงานเลี้ยงในสมัยนี้ทั่วไป ทุกคนมารวมตัวกันร่วมกินร่วมดื่มร่วมสนทนา

แผนการของสตรีเหล่านั้นเป็นการร่วมมือกันทำให้ตนโดดเดี่ยวอยู่ในงานเทศกาลดอกท้อเพียงลำพังโดยไม่ได้คาดคิด หรือบางทีพวกนางอาจจะเพียงแค่ต้องการใช้คำพูดไม่กี่ประโยคเหล่านั้นมาดูถูกนางเพื่อให้สนุกปาก แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะมีการแสดงทักษะเช่นนี้ด้วย

“ไม่รู้ หากเจ้าไม่รู้แล้วเหตุใดจึงตอบรับคำเชิญจากองค์หญิงอันผิงเช่นนั้นเล่า?” ซูเหวินชิงและหวังชีลุกขึ้นยืนพร้อมกันแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางสงสัย

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างใจกล้าเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเทศกาลดอกท้ออาจจะถึงแก่ชีวิตได้”

ในแต่ละปี มักจะมีคุณหนูต้องสิ้นชีวิตลงคนสองคนในเทศกาลดอกท้อ

“ถึงแก่ชีวิตหรือ? เทศกาลดอกท้อคือเทศกาลใดกันแน่?” เฟิ่งชิงเฉินทำท่าทางจริงจังขึ้นมา

หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตน นางมักจะให้ความสำคัญเสมอ

ทั้งซูเหวินชิงและหวังชีได้แต่ส่ายหน้า ขณะที่พวกเขากำลังจะอธิบายเรื่องของเทศกาลดอกท้อให้เฟิ่งชิงเฉินฟัง หมอซุนก็เดินถือถ้วยยาเข้ามาพอดี

“คุณหนูเฟิ่ง ยาได้ที่แล้ว จงรีบดื่มตอนที่มันยังร้อนเถิด”

“กินยาก่อน รอให้กินยาเสร็จแล้วค่อยว่าเรื่องอื่นกัน เทศกาลดอกท้อยังอีกไกลไม่รีบร้อน” ซูเหวินชิงชี้ไปที่ยาซึ่งมีควันขาวลอยด้วยความร้อนระอุ เป็นความหมายให้นางรีบดื่มแล้วค่อยว่ากัน

เรื่องของเทศกาลดอกท้อนั้นรอให้เฟิ่งชิงเฉินหายดีก่อนแล้วค่อยเล่าให้นางฟัง เพราะหากเล่าเรื่องเหล่านี้ให้นางฟังตอนที่ยังเจ็บป่วย อาจจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายได้

เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่แววตาของซูเหวินชิงและหวังชีที่ไม่ได้ดูสงสัยนางเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ประกอบกับสภาพนางในตอนนี้ก็ไม่เหมาะสมหากจะคิดมากไปเรื่อยเปื่อย นางจึงไม่ได้เอ่ยถามอีกแล้วยื่นมือออกไปรับถ้วยยาในถาด แต่นางกลับพบว่า……

ข้อมือของนางไร้เรี่ยวแรงไม่อาจหยิบได้แม้กระทั่งถ้วยยา สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเผยถึงความเจ็บปวดออกมา บ่าวสาวรับใช้ที่อยู่ข้างกายปฏิกิริยาค่อนข้างว่องไว นางรีบก้าวเข้ามาช่วยพยุงมือเฟิ่งชิงเฉินแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวจะป้อนยาเอง”

เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่แววตาของซูเหวินชิงและหวังชีที่ไม่ได้ดูสงสัยนางเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ประกอบกับสภาพนางในตอนนี้ก็ไม่เหมาะสมหากจะคิดมากไปเรื่อยเปื่อย นางจึงไม่ได้เอ่ยถามอีกแล้วยื่นมือออกไปรับถ้วยยาในถาด แต่นางกลับพบว่า……

“ขอบใจมาก” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วยกถ้วยยาขึ้นจากความช่วยเหลือของบ่าวรับใช้

กลิ่นยาจีนอันเข้มข้นลอยมาปะทะจมูก เพียงแค่สูดดมดูก็รู้ว่าอย่าในถ้วยนี้รสชาติขมเพียงใด เฟิ่งชิงเฉินจึงขมวดคิ้วเข้าหากันเสียจนหน้าย่น

ยาจีน……

ดื่มยากเหลือเกิน!

ฮ่าๆๆ……

ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่ขมวดตาจมูกปากเข้าหากันทำให้ซูเหวินชิงหวังชีและโจวสิงทั้งสามคนหัวเราะออกมา ทำลายบรรยากาศอึดอัดใจเมื่อครู่ลง

“พวกเจ้า ไร้คุณธรรมยิ่งนัก” บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะเข้าใจว่าการที่พวกเขายังรอคอยอยู่ที่นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเป็นห่วงนาง แต่ต้องการดูท่าทางอันตลกขบขันเมื่อยามนางดื่มยาขมขื่นนี้ต่างหาก

มองดูแล้วระหว่างที่นางสลบไสลไป นางคงจะต้องต่อสู้กับยารสขมเหล่านี้มามาก จนทำให้คนพวกนี้ล้วนรู้ว่านางกลัวการดื่มยา

พวกเขาทำให้นางดีใจเปล่า นางคิดว่าพวกเขาเป็นห่วงนางเสียอีก ที่แท้เพียงแค่ต้องการอยู่ดูเรื่องตลกขบขันเท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินหรี่ตามองไปยังชายหนุ่มทั้งสามอย่างไม่ปรานี นางหลับตาลงแล้วนำถ้วยยามาไว้ตรงปาก

ตอนที่นางสลบไสลอยู่นั้นปฏิกิริยาร่างกายของนางปฏิเสธยาย่อมได้ แต่ตอนนี้นางมีสติอยู่จะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ต่อให้ยาจะกลืนยากเพียงใด นางก็จะต้องพยายามอดทนอดกลั้นรวบรวมสมาธิและดื่มมันลงไปให้ได้

เมื่อมองเห็นท่าทางดูจริงจังเช่นนั้นของเฟิ่งชิงเฉิน ซูเหวินชิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจำเป็นต้องทำถึงเช่นนี้หรือ? ก็เพียงแค่ดื่มยาเท่านั้น ทำราวกับเป็นเรื่องราวถึงชีวิต”

เขารู้ว่าสตรีโดยมากล้วนกลัวที่จะต้องดื่มยา แต่ท่าทางเช่นเฟิ่งชิงเฉินนี้เขาพบไม่บ่อยนัก

กว่าเฟิ่งชิงเฉินจะตัดสินใจขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางตั้งใจจะดื่มคำแรกเข้าไป แต่กลับถูกประโยคเมื่อครู่ของซูเหวินชิงขัดจังหวะเข้า

นางลืมตาขึ้นแล้วจ้องเขม็งไปที่ซูเหวินชิง

เขาก็เพียงแค่ยืนพูดอย่างเดี๋ยวนี่ แน่จริงก็มาลองดื่มดูสิ!

เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพยายามเก็บความกลัวในการดื่มยาลงไป ก่อนจะกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าคิดมากไปเอง ก็แค่ดื่มยาถ้วยเดียวไม่ใช่หรือไง ข้าเพียงแค่หลับตาก็ดื่มมันเสร็จแล้ว”

ต่อให้พ่ายแพ้แต่จะอับอายไม่ได้

ท่ามกลางสายตาของซูเหวินชิงและหวังชีที่เยาะเย้ยถากถางนางอยู่ นางจึงทำได้เพียงหลับตาลงแล้วนำถ้วยยามากรอกใส่ปาก

อึก อึก……

ขม!

ช่างขมยิ่งนัก!

ขมมากเหลือเกิน!

คิ้วอันได้รูปของเฟิ่งชิงเฉินทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันจนแทบจะชิดติดกัน ท่าทางอันดูขมขื่นนั้นใครไม่รู้คิดว่ากำลังบีบบังคับให้นางดื่มยาพิษอยู่

เพียงแต่ว่าทั้งหวังชีและซูเหวินชิงล้วนไม่กล้าหัวเราะออกมา เนื่องจากกลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะอาเจียนเอายาออกมาด้วย

อึกๆ

ต่อให้ขมเพียงใดก็จำเป็นจะต้องอดทนไว้ จะให้คนอื่นมาดูถูกนางไม่ได้

เฟิ่งชิงเฉินพยายามบอกกับตัวเองไม่หยุดหย่อน ในที่สุดก็ดื่มยาจนถึงก้นถ้วย

“น้ำ น้ำ ข้าขอน้ำหน่อย”

เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือออกไปด้วยท่าทางรีบร้อน

บัดนี้นางรู้สึกว่าเครื่องในของนางเต็มไปด้วยรสขม ในปากก็เต็มไปด้วยรสขมของกลิ่นยาคละคลุ้งเต็มไปหมด หากไม่ดื่มน้ำเพื่อดับกลิ่นยาเหล่านี้ลงไป นางคงจะอ้วกออกมาแน่

นางรู้สึกว่าในท้องโครกครากเหลือเกิน ยาที่เพิ่งดื่มไปเมื่อสักครู่ยังติดอยู่ในคอเสียส่วนมาก หากนางก้มหน้าเอาตอนนี้ก็อาจจะอาเจียนออกมาได้

ยานี้ช่างดื่มยากเหลือเกิน!

“คุณหนูอดทนหน่อยเจ้าค่ะ น้ำมาแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้มองดูก็รู้ว่ามีประสบการณ์ นางพยุงเฟิ่งชิงเฉินเบาๆ เพื่อให้หายใจได้สะดวก แล้วหันไปกำชับบ่าวรับใช้อีกคนให้รินน้ำ

จะทำอย่างไรได้เล่า หลายวันมานี้เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่บ้วนยาออกทิ้ง กว่าจะดื่มเข้าไปได้แต่ละครั้งโดยไม่อาเจียนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกนางดีใจยิ่งนัก ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกคุณหนูเฟิ่งทรมานแล้ว

“รอเดี๋ยว ข้าจะให้คนเตรียมน้ำชาให้เจ้า” ซูเหวินชิงรีบเอ่ยปาก

ถึงอย่างไรน้ำชาก็รสชาติดีกว่าน้ำเปล่า และดับกลิ่นรสชาติของยาได้ดียิ่ง

“มิต้อง น้ำชาจะทำลายสรรพคุณของยา เอาน้ำเปล่าให้ข้าหน่อยเร็ว” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเพดานด้วยท่าทางรีบร้อน

นางพยายามอดทน เนื่องจากหากก้มหน้าลงละก็ยาทั้งหมดเมื่อครู่คงจะอาเจียนออกมา

นางพนันได้เลยว่าการที่ซูเหวินชิงและหวังชียังอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอดูภาพที่นางบ้วนยาทิ้ง ดังนั้น……

ต่อให้ตายนางก็จะบ้วนยาออกมาไม่ได้

อดทนไว้ ถึงให้ตายก็ต้องอดทน จะให้พวกเขาทั้งสามหัวเราะเยาะข้าไม่ได้เด็ดขาด

ริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉินปิดแน่นสนิท ท่าทางของนางดูจริงจังและไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก!

ซูเหวินชิงและหวังชีไม่กล้าหัวเราะออกมาแล้ว พวกเขาเกรงว่าหากหัวเราะออกมาจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินโมโหและอับอาย……

บทที่ 57 ฟื้นแล้ว

บทที่ 59 คำพูดบ้าๆ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท