แต่ละคนในที่นั้นพากันวุ่นวายกันใหญ่ ทั้งน้ำทั้งบ๊วย ทำเอาเฟิ่งชิงเฉินแทบตาย ในที่สุดนางก็กลืนยาลงไปและไม่บ้วนออกมาอีก
“เฮ้อ เหนื่อยจัง” เฟิ่งชิงเฉินถูกทรมานเมื่อครู่เสียจนเหงื่อออกท่วมกาย นางพิงไปที่หัวเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อน
การเจ็บป่วยนี่ช่างลำบากเหลือเกิน
ทุกคนก็ได้พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเช่นกัน ดีเหลือเกินที่ในครั้งนี้นางดื่มยาเข้าไปจนหมด
“เสียดายเหลือเกิน อีกก้าวชุดที่เหลือคงต้องทิ้ง” หมอซุนเดินถือถ้วยเปล่าจากไป ประโยคของเขาเมื่อครู่ไม่รู้ว่าเสียดายหรือดีใจกันแน่
“อีกเก้าชุด? หมายความว่าอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามด้วยความงุนงง
โจวสิงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วอธิบายให้แก่เฟิ่งชิงเฉินฟัง
ที่แท้……เฟิ่งชิงเฉินมีอาการอาเจียนปฏิเสธการรับยาอย่างหนัก ยาที่พวกเขาต้มให้นางดื่มหลายวันมานี้ล้วนจะต้องต้มถึงสิบชุด ทั้งสิบชุดนี้ได้นำมาป้อนเฟิ่งชิงเฉินทั้งหมด แต่นางกลับไม่สามารถกลืนมันลงไปได้แม้แต่ชุดเดียว
ขายหน้าเหลือเกิน!
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเริ่มแดงเรื่ออีกครั้ง
ตัวนางเป็นถึงหมอ แต่กลับกลัวการกินยา
เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาอันดูสนุกสนานที่มองมาของซูเหวินชิงและหวังชี เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจ ชายสองคนนี้ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน เฟิ่งชิงเฉินเปิดผ้าห่มขึ้นแล้วซุกหน้าของตนไปในผ้าห่มก่อนจะตะโกนด่าออกมาว่า “ออกไป ออกไป ออกไปให้หมด!”
ฮ่าๆๆ
ข้างหูของเฟิ่งชิงเฉินมีเสียงหัวเราะของหวังชีกับซูเหวินชิงดังขึ้นอย่างไร้มารยาท
…….
อาการเจ็บป่วยของเฟิ่งชิงเฉินนั้นค่อนข้างรุนแรงและเกิดขึ้นกระชั้นชิด แต่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน วันที่สองนางก็สามารถเดินลงจากเตียงได้ ในตอนบ่ายนางได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจัดแต่งผม ใบหน้ามีเส้นเลือดฟาด มองดูเหมือนไม่ได้เจ็บป่วยแล้ว
โจวสิงได้แต่เอ่ยชื่นชมว่า ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินนั้น คนธรรมดาไม่อาจเปรียบเทียบได้เลย
แน่นอนว่าไม่เพียงแค่สภาพร่างกายเท่านั้น นางยังมีความสามารถการเยียวยาด้านจิตใจด้วย
เขาและซูเหวินชิงล้วนคิดว่านางถูกลั่วอ๋องเหยียดหยามศักดิ์ศรีเสียจนอับอายขายหน้า ในพระราชวังนี้คาดว่าเฟิ่งชิงเฉินคงจะมีปมในใจและไม่อาจหาความสุขได้
พวกเขาได้ผลัดเวรกันตั้งใจจะมาปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉินว่าอย่าคิดมาก แต่คิดไม่ถึงว่า……
เฟิ่งชิงเฉินดูปกติราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นกับนางเลย หลังจากที่นางได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว และเอ่ยถึงเรื่องที่นางคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูเมือง ถูกชาวบ้านเอาผักและไข่โยนใส่ นางก็สามารถเอ่ยถึงได้อย่างเปิดเผยเป็นปกติ
สิ่งนี้ทำให้โจวสิงและคนอื่นงุนงงเหลือเกิน เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่ได้อธิบายสิ่งใด ชีวิตนั้นเป็นของนาง ไม่มีใครจำเป็นจะต้องมาช่วยนางรับผิดชอบ
ส่วนร่างกายนี้น่ะหรือ มีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจ แม้ว่าอาการเจ็บป่วยจะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่นางก็สูญเสียพลังภายในไปมาก นอกจากนี้นางจะต้องบำรุงสุขภาพรักษาให้ดี ไม่อย่างนั้นอาจจะก่อให้เกิดผลในระยะยาวได้
น่าเสียดายเหลือเกินที่นางแม้จะเจ็บป่วยแต่ก็ไม่มีวาสนาพอ ในฐานะหมอนางยังคงต้องทำงานต่อไป เพราะอะไรก็แล้วแต่ล้วนรอได้ มีเพียงการรักษาผู้ป่วยเท่านั้นที่ไม่อาจรอได้ เพราะผู้ป่วยอาจไม่อยู่รอไหว
หลังจากที่อาการเจ็บป่วยหายดีแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้หดหัวอยู่แต่ในบ้าน นางไม่รู้หรอกว่าดวงตาของหวังจิ่นหลิงจะต้องได้รับการรักษาหรือไม่ นางรู้เพียงว่าในวันนี้จะต้องเดินทางไปที่จวนเซี่ยเพื่อเปลี่ยนยาให้ฮูหยินรองเซี่ย
ขณะเดียวกันก็ต้องสนทนาปรึกษาถึงเรื่องเวลาและสถานที่ซึ่งใช้ในการผ่าตัดด้วย
การผ่าตัดเพื่อคลายท่อนำไข่ หากจะบอกว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะเล็กก็ไม่เล็ก ความประสบผลสำเร็จนั้นไม่ใช่ร้อยละร้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจประสบผลสำเร็จได้เลย เนื่องจากสภาพแวดล้อมในการทำการผ่าตัดและการฟื้นฟูหลังผ่าตัดค่อนข้างสำคัญมาก
สิ่งนี้จำเป็นจะต้องได้รับการจัดการอย่างรอบคอบ ในตงหลิงแห่งนี้นางไม่มีความสามารถพอ แต่ฮูหยินรองเซี่ยมี
ถึงจะเป็นอูฐที่ผอมตายอย่างไรก็ใหญ่กว่าม้า แม้ว่าบ้านรองของตระกูลเซี่ยจะมีอำนาจไม่มากนัก แต่ในวันนี้นางจำเป็นจะต้องเงยหน้ามองดูพวกเขา นางจำเป็นจะต้องให้ฮูหยินรองเซี่ยจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดขึ้น
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินถือกระเป๋ายาเตรียมตัวจากไป สีหน้าของโจวสิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาต้องการจะหาข้ออ้างมาหยุดไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินออกไป
สมองของเขาแล่นพลุ่งพล่าน โจวสิงใช้มือกุมไปที่บาดแผลบริเวณหน้าอก “โอ้ย เจ็บจริง”
เพื่อต้องการให้เหตุการณ์ดูสมจริง โจวสิงจึงใช้แรงฉีกบาดแผลของตน เขาจะแสดงละครให้น่าสงสารต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินก็ย่อมได้ แต่หากจะเสแสร้งทำเป็นแกล้งเจ็บนั้นคงไม่ได้ จะต้องเจ็บจริง
บาดแผลของโจวสิงถูกฉีกออกจริงๆ เมื่อสี่วันก่อนตอนที่เขาอุ้มเฟิ่งชิงเฉินกลับมาจากประตูเมืองจึงทำให้บาดแผลฉีกขาด บัดนี้ยิ่งทวีคูณมากขึ้น
เป็นจริงดังนั้น เฟิ่งชิงเฉินที่เพิ่งจะก้าวขาออกไป นางก็ชักขากลับมาอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามว่า “โจวสิง เจ้าเป็นอะไรไป”
“ข้าเจ็บที่แผลจริง ดูเหมือนมันจะฉีกออกอีกแล้ว” โจวสิงเจ็บปวดเสียจนใบหน้าขาวซีด
“ให้ข้าดูหน่อย” เฟิ่งชิงเฉินวางกระเป๋ายาลงข้างกายแล้วเอื้อมมือออกไปเปิดเสื้อของโจวสิงดู
โจวสิงชะงักลงเล็กน้อยเขาดูท่าทางเคอะเขิน น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่จับจ้องไปที่บาดแผลของโจวสิง ดวงตาคู่นั้นจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งใดว่าผิดปกติไป
“เหตุใดจึงอักเสบขึ้นมาอีกได้เล่า นั่งลงเข้าเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินดุเขา นางช่างเป็นหมอที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย นางลืมได้อย่างไรว่าโจวสิงบาดเจ็บอยู่
นางลากตัวโจวสิงมานั่งที่เก้าอี้ “อย่าขยับเขยื้อน”
เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยเตือนโจวสิง จากนั้นหยิบกระเป๋าใส่ยาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ นางเปิดสลักออกแล้วหยิบถาด ยา รวมถึงผ้าพันแผล แอลกอฮอล์ แหนบและถุงมือทางการแพทย์ออกมา
“ข้าจะใส่ยาให้เจ้า”
โดยไม่รอให้เสียเวลา เฟิ่งชิงเฉินหันหลังกลับไปล้างมือทันใด รอจนกระทั่งมือแห้งแล้วนางจึงได้สวมใส่ถุงมือทางการแพทย์เข้าไป การเคลื่อนไหวเหล่านั้นช่างไหลลื่นราวกับสายน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งรวดเร็วและคล่องแคล่ว ทำให้เฟิ่งชิงเฉินที่ดูบอบบางกลับกลายเป็นเหมือนทหารผู้กล้าหาญแข็งแกร่งขึ้นทันที
โจวสิงนั่งเปลือยกายอยู่บนเก้าอี้ บนผ้าพันแผลมีเลือดออกมากมายและมีหนองสีเหลืองผสมด้วย
ดูเหมือนโจวสิงจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด เขาไม่ได้ร้องโอดครวญออกมา เหมือนว่าเมื่อครู่คนที่ร้องว่าเจ็บปวดหนักหนาไม่ใช่เขา
“อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก นางตั้งใจใส่ยาให้แก่โจวสิงตามหน้าที่
ที่บาดแผลตรงหน้าอกนั้นเป็นหนองเกิดขึ้นอีกครั้ง เฟิ่งชิงเฉินจำเป็นจะต้องจัดการทำความสะอาดของของเหลวสีเหลืองเหล่านี้ออกไปให้สะอาดก่อน เฟิ่งชิงเฉินเองกายเล็กน้อยมาทางโจวสิง
ลมหายใจของนางพุ่งรดใบหน้าของเขา โจวสิงหลับตาลงอย่างเร่งรีบ เมื่อสัมผัสได้ว่ามีเส้นผมร่วงหล่นลงมาสัมผัสบ่าของเขา ก็ทำให้ร่างกายรัดตึงขึ้นทันใด จนกระทั่งแหนบเย็นสัมผัสเข้ากับบาดแผล โจวสิงจึงได้ลืมตาขึ้นกะทันหัน
แต่เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็แทบจะเป็นบ้า
ที่ว่ากันว่าสตรีนั้นงดงามยิ่งเป็นเรื่องจริงเสียเหลือเกิน เมื่อได้จับจ้องมองดูเฟิ่งชิงเฉินใกล้ๆ เช่นนี้ เหมือนจะมีรัศมีปรากฏอยู่รอบกายนาง รัศมีนั้นดึงดูดสายตาของทุกคนรวมทั้งโจวสิงด้วย
“โอ๊ย เจ็บ!”
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการทำความสะอาดบาดแผลทำให้โจวสิงตื่นขึ้นจากภวังค์ แววตาของเขาไม่ได้พร่ามัวเหมือนก่อนหน้านี้
เฟิ่งชิงเฉินสตรีนางนี้อย่างมากก็เป็นได้เพียงสหาย หรืออาจจะใช้นางให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง ส่วนความคิดอื่นนั้นเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“อย่าขยับ จงอดทนหน่อยเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย นางใช้สายตาอันเคร่งขรึมตักเตือนโจวสิงว่าอย่าขยับเขยื้อน
โจวสิงพยักหน้าตอบรับ ความคิดในใจของเขาเมื่อครู่จางหายไป บัดนี้สิ่งทีเขาทำได้ก็คือสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินออกไปจากบ้าน เพื่อไม่ให้นางจะต้องถูกคำนินทาติฉินเหล่านั้นทำร้ายให้เจ็บปวด
ที่ด้านนอก……มีข่าวลือไปทั่ว คำพูดอันไม่น่าฟังต่างๆ นานาของคนภายนอกล้วนพากันกล่าวถึงเฟิ่งชิงเฉินสตรีผู้อ่อนเเอคนนี้
เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินถูกประจานให้ขายหน้าที่หน้าประตูเมือง คนที่คอยล้อมรอบมองดูอยู่นอกจวนเฟิ่งก็มากมาย พวกเขารอหัวเราะเยาะดูเรื่องตลกขบขันของเฟิ่งชิงเฉินอยู่
คนเหล่านี้มองเฟิ่งชิงเฉินต่ำกว่าสตรีในช่องซ่องโสเภณีเสียอีก พวกเขาแสดงความคิดเห็นมากมายและกำหนดราคาของนางขึ้น ในสายตาของพวกเขานั้น เฟิ่งชิงเฉินเป็นเฉกเช่นสินค้าสำหรับซื้อหา
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินปิดประตูจวนเพื่อพักฟื้น คำครหาเหล่านั้นจึงไม่เผยแพร่เข้ามาข้างใน แต่ในวันนี้ร่างกายนางรักษาหายได้ดีแล้วและจะเดินทางออกไปข้างนอก ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินจะกล่าวว่าไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น โจวสิงก็ไม่อยากให้นางต้องเดินทางออกไปและถูกทำร้ายทางจิตใจอีก
ไม่ว่าอย่างไร สตรีผู้นี้ก็มีบุญคุณต่อเขา
หากว่าก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจว่าทำไมช่างบังเอิญเหลือเกิน ขณะที่นางจะเดินทางออกจากเรือน บาดแผลของโจวสิงก็ได้รับการบาดเจ็บขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองดูท่าทางอันขมขื่นของโจวสิงในตอนนี้นางก็คงจะเข้าใจเอง
เพียงแต่ว่าในวันนี้ชะตาชีวิตของนางถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ความพยายามของโจวสิงคงจะเสียเวลาเปล่า คำพูดของผู้คนนั้นน่ากลัว แต่นางจะเก็บตัวเองอยู่ในจวนเฟิ่งไม่ออกไปข้างนอก เพราะกลัวว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้เด็ดขาด นางจะลงโทษตนเองเพราะความผิดพลาดของผู้อื่นไม่ได้
ในวันนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องเดินทางออกไปข้างนอก
นี่เป็นความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อผู้ป่วยด้วย
บทที่ 58 เรื่องตลก
บทที่ 60 กลางหิมะ