“คุณหนูเฟิ่ง ต้องขออภัยจริงๆนะเจ้าคะ ฮูหยินรองเองก็ไม่มีทางเลือก นายท่านสั่งไว้ว่า ไม่ให้ฮูหยินรองกับคุณหนูเฟิ่งไปมาหาสู่กัน หากนายท่านรู้เข้า จะต้องสั่งลงโทษฮูหยินรองแน่ๆเลยเจ้าค่ะ”
“แถมยังสั่งไว้อีกว่า……หากคุณหนูเฟิ่งมาที่จวนเซี่ย ก็ให้เชิญคุณหนูเฟิ่งกลับไปในทันที คือฮูหยินรองเกรงว่าคุณหนูเฟิ่งจะต้องมาเดือดร้อนในจวนเซี่ย จึงให้ข้ามารอบอกคุณหนูเฟิ่งอยู่ที่นี่”
นัยน์ตาของสาวใช้ดูเหมือนรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
นางเห็นเฟิ่งชิงเฉินมาคอยดูแลสุขภาพฮูหยินรอง นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณหนูเฟิ่งที่ละเอียดอ่อนและอ่อนโยนคนนี้ จะเป็นหญิงอื้อฉาวที่ใครต่อใครต่างพูดถึง
“ข้ารู้แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าและขอบคุณสาวใช้ นางมีสีหน้านิ่งเฉย ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแต่อย่างใด
เมื่อเห็นสาวใช้ท่าทางไม่ค่อยสบายใจ เฟิ่งชิงเฉินจึงส่งยิ้มให้นาง จากนั้นจึงเปิดกล่องยา พร้อมกับหยิบขวดยาและผ้าพันแผลส่งไปให้สาวใช้ ก่อนจะสอนนางเรื่องการเปลี่ยนผ้าพันแผล แล้วจึงหยิบยาแก้อักเสบมา 1 ห่อ เอาไว้ให้ฮูหยินรองทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 เม็ด
“คุณหนูเฟิ่งเป็นคนดีจริงๆเลยนะเจ้าค่ะ” สาวใช้รู้ทั้งรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังทุกข์ใจอยู่ แต่นางก็ยังคงฝืนยิ้ม แถมยังห่วงใยสุขภาพฮูหยินรอง สาวใช้ค่อยๆน้ำตาคลอ
แม้ว่าผู้ที่เป็นเพียงสาวใช้จะไม่ได้รับการศึกษาเท่าที่ควร แต่พวกนางกลับรู้จักประเมินสถานการณ์
การที่คุณหนูเฟิ่งกลับเข้ามาในเมืองในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย นางไม่ได้ไปทำเรื่องอื้อฉาว จะต้องมีคนใส่ร้ายนางเป็นแน่
หากนางไปคบชู้สู่ชาย ไยจึงทำให้ตนเองต้องมีสภาพน่าสังเวชเช่นนั้น มีผู้หญิงที่ไหนบ้างที่ไม่คิดจะปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง คุณหนูเฟิ่งจะทำลายชื่อเสียงตัวเองเพื่ออะไร ผู้หญิงตัวคนเดียวเช่นนาง มีหรือจะทำเรื่องราวเช่นนั้นได้
ไม่ต่างอะไรจากผู้ที่เป็นสาวใช้ ชะตาชีวิตของตนเองต้องมาตกอยู่ในกำมือของผู้อื่น
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า “ข้าก็แค่ทำไปตามหน้าที่ เอาล่ะ นี่ก็ได้เวลาที่ข้าต้องกลับแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินมอบยาให้สาวใช้แล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่มองเข้าไปในจวนเซี่ย
ตระกูลเซี่ย!
สวดมนต์ภาวนากันไปก่อนได้เลย หากในวันข้างหน้า ตระกูลเซี่ยมีเรื่องรบกวนข้า ข้า เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นคนทำให้คนตระกูลเซี่ยมาคุกเข่าขอร้องข้าให้เข้าไปในจวนเซี่ยเอง
ในใจแม้จะเดือดปุดๆ แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เฟิ่งชิงเฉินหันหลังกลับและเดินจากไปด้วยท่าทางไร้ชีวิตชีวา
หลานจิ่วชิงตามนางไปติดๆ เขามองดูเฟิ่งชิงเฉินแล้วถอนหายใจออกมา
สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้อง
หากการที่นางตื่นขึ้นมาที่ประตูเมืองในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยนั้นเป็นเพราะตงหลิงจื่อลั่ว สิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็คงต้องเป็นเพราะหลานจิ่วชิงเสียแล้ว
เขาเชื่อมั่นว่าคนฉลาดอย่างเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี
หลานจิ่วชิงตามมาส่งเฟิ่งชิงเฉินถึงจวนเฟิ่ง เขาพบว่าพวกคนที่เคยมายืนล้อมจวนเฟิ่งหายไปกันหมดแล้ว เขามองภาพนั้นด้วยสายตาเย็นชา
ซีหลิงเทียนเหล่ย ซีหลิงเหยาหวา เราคงมีเรื่องต้องคุยกัน
……
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนที่เคยมาห้อมล้อมจวนเฟิ่งสลายตัวไปหมดแล้วก็ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อย นางก็ทำบางอย่างถูกทางแล้ว
ยิ่งนางปรากฏตัวให้คนพวกนั้นเห็น ข่าวซุบซิบก็จะยิ่งหนาหู กลุ่มคนเหล่านั้นก็จะยิ่งคอยจับตาดูนาง นานวันเข้าก็มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว นางเปิดประตูแล้วเข้าไปในจวน
“โจวสิง ทำไมมายืนอยู่ตรงประตูล่ะ” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินก้าวเท้าเข้าไปได้เพียง 1 ก้าวก็ต้องหยุดชะงักเสียก่อน
“แหะๆ ข้ากำลังจะออกไปข้างนอกพอดีน่ะ” โจวสิงมองหน้าเฟิ่งชิงเฉิน
เขาไม่บอกเฟิ่งชิงเฉินว่าหลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินออกไปนอกจวนแล้ว เขาก็ยืนรอนางอยู่ตรงนี้ ตอนนี้เขาไม่สามารถช่วยอะไรนางได้ ทำได้แค่มารอนางกลับจวน เมื่อนางอยากจะร้องไห้ จะได้มีบ่าเอาไว้ให้นางซบ
รอนานเป็นวันกว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกลับมา ดูท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว คงไม่ต้องการคนปลอบใจแล้วกระมัง
พูดจริงหรือโกหก แค่ดูหน้าเฟิ่งชิงเฉินก็รู้แล้ว โจวสิงไม่พูด นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “จะมืดค่ำแล้ว มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยไปทำ”
เมื่อพูดจบก็เดินผ่านหน้าโจวสิงไปด้วยท่าทางสบายใจ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ่อ พี่……พี่เฟิ่ง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” โจวสิงเอ่ยปากช้าไปนิด
เฟิ่งชิงเฉินหันมายิ้มให้เขา “ข้าจะเป็นอะไรล่ะ? วางใจเถอะ ข้าคือเฟิ่งชิงเฉิน ใครหน้าไหนก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ข่าวลือหนาหูพวกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกสักหน่อย ข้าได้ยินมาเยอะจนชินเสียแล้วล่ะ”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการให้โจวสิงคิดมาก
“อ้อ งั้นก็ดีแล้วล่ะ” โจวสิงพยักหน้า แต่ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ทำไมเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยนะ
“เอาล่ะ ไปเตรียมอาหารเย็นดีกว่า เจ้าบาดเจ็บอยู่ เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
หลังจากที่นางลงจากเตียงมาได้ นางก็ให้โจวสิงไปส่งคนจวนซู ตอนนี้อย่าเพิ่งไปกวนใจนางจะดีที่สุด
“ได้ ข้าจะรอกินนะ” โจวสิงตอบแล้วเดินไปปิดประตูจวน ซึ่งเขาก็ชะโงกหน้าออกไปดูว่ารอบๆจวนเฟิ่งจะยังมีคนยืนอยู่อีกหรือไม่
ระหว่างที่เดินไป เฟิ่งชิงเฉินก็เก็บซ่อนความทุกข์ตรมในแววตา นางสะกดทุกความเจ็บปวดเอาไว้ แล้วก้าวเดินไปอย่างมาดมั่น
นางคือเฟิ่งชิงเฉิน หญิงสาวกำพร้าที่ไร้พ่อไร้แม่ นางจะต้องเข้มแข็ง ต้องเข้มแข็งเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางความโหดร้ายบนโลกใบนี้ได้
โจวสิงเป็นห่วงนางไปก็เท่านั้น คำว่าห่วงใยเพียงคำเดียวไม่สามารถพลิกแพลงชะตาชีวิตของนางได้ สิ่งที่นางทำได้ก็คือการพึ่งพาตัวเอง
ตอนนี้นางต้องการโอกาส โอกาสที่นางจะสามารถสร้างชื่อเสียงอันลือเลื่อง
มื้อเย็นวันนี้มีเฟิ่งชิงเฉินและโจวสิงทานกันเพียง 2 คน ทั้งสองทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ในจวนเฟิ่งแห่งนี้ไม่เคยมีกฎว่าเวลาทานข้าวห้ามพูดคุยเสียงดัง
เมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้ว โจวสิงก็อาสาเก็บโต๊ะให้ โดยไม่สนใจบาดแผลของตัวเอง เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วจึงวางมือจากการช่วยเก็บถ้วยชาม แล้วเดินกลับห้องของตนไป
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ตอนนี้มีนางเพียงคนเดียว เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสได้ถึงความเมื่อยล้าและเปล่าเปลี่ยว วันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
ภายใต้แสงเทียน เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ นางขีดๆเขียนๆ เพื่อวางแผนว่าต่อไปต้องทำอะไรบ้าง และมีโอกาสใดที่นางพอจะไขว่คว้าได้ แต่นั่งคิดอยู่นาน นางก็ยังมองไม่ออกว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรต่อไป
ข่าวเสียๆหายๆของนาง ทำให้นางต้องปิดกั้นตัวเอง ในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีที่จะให้นางเดินแล้ว
บางที การหนีจากเมืองหลวงไปใช้ชีวิตในที่ที่ห่างไกลก็เป็นความคิดที่ไม่เลว แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากให้นางต้องหนีไป นางคงทำเช่นนั้นไม่ได้
ยิ่งมีคนอยากให้นางไปไกลๆมากเท่าไร นางก็ยิ่งต้องอยู่ต่อไปและมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้ เอาให้คนพวกนั้นกระอักเลือดกันไปเลย
เฟิ่งชิงเฉินขีดเขียนลงกระดาษ นางรู้สึกว้าวุ่น จิตใจฟุ้งซ่านอยู่สักพัก เฟิ่งชิงเฉินหงุดหงิด นางขยำกระดาษแล้วทิ้งลงบนพื้น ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก
บางทีการอาบน้ำเย็นๆอาจจะช่วยให้นางคลายความกังวลลงไปได้ เมื่อนางใจเย็นลง จะได้รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป
ด้านนอกตัวบ้านมีโอ่งอยู่ 1 ใบ เฟิ่งชิงเฉินหยิบถังใบเล็กมาตวงน้ำครึ่งถัง นางกัดฟันแล้วยกน้ำราดลงบนศีรษะของตัวเอง
“บรื๋อ……หนาวจัง”
สายน้ำที่เย็นฉ่ำราดผ่านศีรษะไปจรดที่ปลายเท้า เฟิ่งชิงเฉินหนาวจนตัวสั่น ทว่าความหงุดหงิดภายในใจกลับกระเด็นออกไปพร้อมกับสายน้ำแล้ว
“ฮ่าๆๆ วิธีนี้ได้ผลจริงๆด้วย”
เฟิ่งชิงเฉินตวงน้ำอีกครั้ง แล้วราดลงบนศีรษะของตัวเอง……จนน้ำหมดไปประมาณครึ่งโอ่ง นางจึงเดินกลับห้องอย่างมีความสุขด้วยสภาพเปียกปอน
“ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว น้ำเย็นขนาดนั้นยังเอามาราดตัว รนหาที่ตายหรือไงนะ?” ซีหลิงเทียนเหล่ยนั่งอยู่บนกำแพงของจวนเฟิ่งด้วยอาการตื่นตะลึง
ที่เขามาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อจะดูว่าหลานจิ่วชิงจะมาปรากฏตัวหรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินเจอเรื่องร้ายๆมาเมื่อช่วงกลางวัน หลานจิ่วชิงก็น่าจะมาปลอบโยนนาง เพราะความทุกข์ใจที่นางได้รับมาก็เป็นเพราะหลานจิ่วชิงมีส่วนทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้
แต่ปรากฏว่า
ยังไม่ทันที่ซีหลิงเทียนเหล่ยจะได้พบหลานจิ่วชิง เขาก็ได้มาเห็นภาพการทรมานตัวเองของเฟิ่งชิงเฉินเสียก่อน
ซีหลิงเทียนเหล่ยส่ายหน้า
เขาประจักษ์แล้วว่าผู้หญิงคนนี้รับมือยากมาก ขนาดกับตัวเองยังโหดถึงเพียงนี้ หากเป็นศัตรู นางคงไม่อ่อนข้อให้แน่นอน
ผู้หญิงแบบนี้ หากไม่ฆ่าทิ้งก็ต้องนำมาเป็นคนของตนเอง
นำมาเป็นคนของตนเอง? แล้วผู้ชายที่ไหนจะรับผู้หญิงแบบนี้ได้ลงล่ะ?
ในดวงตาของซีหลิงเทียนเหล่ย พลันส่องประกายแวววาวออกมา!
บทที่ 60 กลางหิมะ
บทที่ 62 โอกาส