บทที่ 87 สอบสวนคดี
นางฆ่าคน!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นั่งฆ่าคนและก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย นางรู้ดีว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุด
นางใช้มือทั้งสองข้างนี้ในการจบชีวิตของชายหนุ่มผู้บริสุทธิ์ลง นางใช้มือทั้งสองนี้แย่งชิงดวงตาซึ่งใช้ในการมองโลกอันงดงามนี้ของเขา
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าตนกลับมา ยังห้องขังหมายเลขเก้าได้อย่างไร นางรู้เพียงแค่ว่านางอยากจะร้องไห้ อยากร้องไห้ยิ่งนัก ร้องให้แก่ตนเองและชายหนุ่มผู้นั้น
อำนาจเป็นดุจดั่งราชสีห์ ทั้งนางและชายหนุ่มผู้นั้นล้วนเป็นเครื่องบูชาภายใต้อำนาจเหล่านี้ เพียงแค่นางโชคดีกว่าชายหนุ่มคนนั้นก็เท่านั้นเอง
เฟิ่งชิงเฉินนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมห้อง มือทั้งสองข้างของนางกอดเข่าแล้วน้ำตาไหลริน
“เสี่ยวจื้อ เจ้าจงจากไปอย่างหมดห่วงเธอ ข้าจะต้องช่วยเจ้าแก้แค้นแน่นอน ข้าจะฆ่าอันกั๋วกงแทนเจ้า จะทำลายจวนอันกั๋วกงแทนเจ้าให้ได้”
“เสี่ยวจื้อ เจ้าจงอย่าห่วงเลย ข้าจะพาเจ้าออกไปให้ได้ จะให้เจ้าได้พบหน้าครอบครัวอีกครั้ง จะทำให้ดวงตาของเจ้าได้เห็นโลกภายนอกต่อไป”
บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินตกอยู่ท่ามกลางความโศกเศร้า และทันใดนั้นเองผู้ที่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินสิ้นสุดการใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในคุกขององครักษ์เสื้อโลหิตก็ปรากฏกายขึ้น
องค์หญิงอันผิงเสด็จมายังคุกองครักษ์เสื้อโลหิตด้วยตนเองในวันที่ห้าหลังจากเฟิ่งชิงเฉินถูกจับขังเข้ามาในคุก กล่าวว่าจะทำการสืบสวนเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่ได้แจ้งสิ่งใดไว้ล่วงหน้า
ลู่เส้าหลินผงะลง เขาอ้างเหตุผลในการปฏิเสธไปไม่ให้องค์หญิงอันผิงย่างกายเข้าไปในคุกแม้แต่ก้าวเดียว แต่องค์หญิงอันผิงเป็นผู้ที่จัดการได้ง่ายเสียที่ไหน
นางรออยู่ถึงห้าวัน เพื่อที่ต้องการเห็นสภาพอันน่าสมเพชของเฟิ่งชิงเฉิน
นางต้องการจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจว่าผู้ใดก็ตามที่กล้ามาข่มขู่นางจะไม่มีจุดจบอันดี
ด้วยคำยืนกรานขององค์หญิงอันผิง ลู่เส้าหลินเองก็ไร้สิ้นหนทาง เพราะองค์หญิงอันผิงไม่ใช่องค์หญิงที่ถูกละเลย นางคือธิดาของฮองเฮา
แต่ว่าลู่เส้าหลินเป็นคนเช่นไร เขาจะทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในความเดือดร้อนเพราะเรื่องพวกนี้หรือ
ลู่เส้าหลินให้การต้อนรับองค์หญิงอันผิงและหันไปขยิบตาสายตาให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิท ให้เข้าไปจัดการทุกสิ่งอย่างให้เรียบร้อย อย่าให้องค์หญิงอันผิงจับผิดได้
คนสนิทของเขาเดินทางจากไป และจัดการให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้าทำหน้าทำผมให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินได้รับเรื่องราวนี้แล้ว นางก็ปาดน้ำตาสีหน้าดูหนักอึ้ง แต่นางก็พยักหน้าให้ความร่วมมือ ขณะเดียวกันก็ได้ฝากเม็ดยาสีฟ้าเล็กๆ ห้าเม็ดไปให้แก่คนสนิทของลู่เส้าหลิน
นางรู้ว่าลู่เส้าหลินจะเห็นแก่ยาเม็ดเหล่านี้และพยายามช่วยนางให้ถึงที่สุด เนื่องจากผู้ที่เดินทางมาในวันนี้คือองค์หญิงเท่านั้น ไม่ใช่ฮองเฮา
ลู่เส้าหลินที่เสมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ การรับมือกับองค์หญิงอันผิงผู้ไร้เดียงสาช่างง่ายเหลือเกิน
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าตนสวมชุดของนักโทษคนใด บนเสื้อผ้านั้นเริ่มส่งสีหมองคล้ำ ทั้งเลือดและหนองส่งกลิ่นคละคลุ้ง
แต่เพื่อทำให้สมจริง เฟิ่งชิงเฉินจึงขยี้ผมเผ้าให้ยุ่งเหยิง ใบหน้าของนางตกแต่งเป็นรอยเขียวช้ำม่วง ที่เสื้อผ้าได้นำเลือดสดมาทาเพิ่มอีกเล็กน้อย
“วิธีนี้เหมือนจริงยิ่งนัก แม้แต่ตัวข้าเองที่มองดูตนเองก็คิดว่าเป็นนักโทษที่ถูกลงโทษอย่างหนักจริงๆ” เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ หากว่าไม่กระชากฉุดออกมาดูก็คงไม่รู้ว่าปลอม
คนสนิทของลู่เส้าหลินรู้ดีว่าลู่เส้าหลินให้ความสำคัญกับเฟิ่งชิงเฉินอย่างไร เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเช่นนี้จึงยิ้มแล้วตอบว่า “คุณหนูเฟิ่ง คนด้านนอกล้วนรู้ดีว่าองครักษ์เสื้อโลหิตของเราโหดเหี้ยมเพียงใด พวกเขาคิดว่าเรากินคนจนไม่เหลือแต่กระดูก แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าพวกเราก็มีจิตใจเมตตา บรรดาขุนนางที่ถูกส่งมาในคุก หากว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม พวกเราก็ไม่ค่อยจะลงโทษทัณฑ์เท่าไรนัก โดยมากมักจะเสแสร้งแกล้งทำขึ้นมา เนื่องจากบรรดาผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นล้วนไม่พิจารณาเป็นการละเอียด เพียงแค่เหลือบมองก็ตกอกตกใจจะแย่”
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะขึ้นเบาๆ แม้ในใจของนางจะไม่เชื่อ แต่นางก็แสดงสีหน้าท่าทางออกมาว่า “ข้าเชื่อ ข้ารู้ว่าท่านลุงลู่เป็นคนดี”
คนสนิทของลู่เส้าหลินเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวเช่นนั้นก็เข้าใจในทันที “คุณหนูเฟิ่งวางใจเถิด อีกประเดี๋ยวเมื่อองค์หญิงอันผิงเสด็จมา เพื่อทำให้นางผอกพอใจคงจะต้องลงโทษคุณหนูเฟิ่ง แต่ใต้เท้าลู่ได้กำชับมาแล้ว พวกเราจะใช้วิธีการลงโทษเบาที่สุดกับคุณหนูเฟิ่งด้วยการโบยแส้ แต่ว่าแส้นั้นทำขึ้นมาเป็นการพิเศษ มันอาจจะทำให้ผิวหนังของมนุษย์ปริแตกแต่จะไม่เป็นอันตรายถึงกระดูกแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นคุณหนูเฟิ่งคงจะต้องอดทนสักหน่อย แต่ข้าน้อยรับประกันว่าจะไม่มีผลกระทบข้างเคียงอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณ ของที่อยู่ในกล่องนั้นจงนำไปให้ใต้เท้าลู่ แน่นอนว่าท่านเองก็ไม่ขาดทุน” หมูไปไก่มาเป็นเช่นนี้นี่เอง
แท้จริงแล้วทุกคนก็รู้ดี แต่เมื่อเอ่ยขึ้นเช่นนี่ก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายดูสนิทแนบแน่นกันมากขึ้น
……
องค์หญิงอันผิงถูกลู่เส้าหลินปลอบประโลมอยู่เนิ่นนาน เมื่อองค์หญิงอันผิงอ่อนข้อลงแล้ว ลู่เส้าหลินจึงได้พานางมายังห้องลงโทษ และพบเฟิ่งชิงเฉินซึ่งถูกแขวนเอาไว้
เมื่อเห็นท่าทางอันน่าสมเพชของเฟิ่งชิงเฉิน องค์หญิงอันผิงดวงตาเป็นประกายแวววาว ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายไปจนสิ้น เพียงแต่ว่านางไม่กล้าแสดงท่าทีเกิดเหตุเนื่องจากมีศักดิ์ศรีแห่งราชวงศ์ค้ำคออยู่
“แค่กๆ ใต้เท้าลู่ สั่งให้คนของท่านออกไป” องค์หญิงอันผิงไม่ใช่คนไร้สมองเสียทีเดียว นางเติบโตขึ้นมาท่ามกลางราชวังอันโหดร้าย นางเข้าใจดีถึงกลอุบายเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการใช้คนของลู่เส้าหลิน
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมนัก นี่คือองครักษ์เสื้อโลหิต” ลู่เส้าหลินเองก็ไม่ใช่คนว่าง่าย
เขาคือสหายรู้ใจของฝ่าบาท แม้ว่าจะคอยทำธุระให้แก่ฮองเฮา แต่ก็ไม่ใช่สุนัขรับใช้ขององค์หญิงอันผิง ว่ากันว่าจะตีหมาให้ดูเจ้าของด้วย
“ทำไมหรือ คิดว่าข้าจะไปรื้อถอนองครักษ์เสื้อโลหิตของเจ้าหรืออย่างไร? มิน่าเล่าเสด็จพ่อกล่าวว่าใต้เท้าลู่นับวันนับยิ่งขี้ขลาดกว่าเดิม เป็นจริงดังนั้น”
นี่คือข้อดีของลูกหลานฮ่องเต้ เพียงแค่เอ่ยปากออกมาไม่กี่ประโยคแต่ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยว่าจริงหรือเท็จ เนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้าจะไปเอ่ยถามฝ่าบาทว่าเคยตรัสเรื่องเหล่านี้หรือไม่
ศีรษะของลู่เส้าหลินมีเหงื่อไหลซึม เขามองไปทางเฟิ่งชิงเฉินแล้วส่ายหน้า
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่าเขาเลือกจะรักษาตำแหน่งของตนเอาไว้แล้วละทิ้งนาง
หากเปรียบเทียบกับองค์หญิงอันผิงแล้ว นางนับไม่ได้กับอะไรเลย เฟิ่งชิงเฉินกระแอมออกมาแล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “องค์หญิง กระตือรือร้นยิ่งนัก”
ทั้งมือและเท้าของเฟิ่งชิงเฉินถูกมัดเอาไว้บนเครื่องลงโทษ ต่อให้ไม่ต้องลงมือทำสิ่งใด ท่าทางเช่นนี้ก็ทรมานเกินทนแล้ว ประกอบกับเมื่อครู่ที่เฟิ่งชิงเฉินเพิ่งจะร้องไห้ น้ำเสียงของนางจึงดูโศกเศร้าไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งนางตั้งใจจะทำเช่นนั้น มองไปคล้ายกับจะสิ้นลม
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าควรจะดีใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเอาใจใส่ประชาชนต่ำต้อยอย่างพวกเจ้า” องค์หญิงอันผิงยกนิ้วขึ้นแล้วส่งสัญญาณไปทางองครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง
องครักษ์เข้าใจในความหมายและเชิญทุกคนในที่นั้นออกไปอย่าง “เกรงอกเกรงใจ” รวมถึงลู่เส้าหลินด้วย
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่คือองครักษ์เสื้อโลหิต และกระหม่อมคือผู้บัญชาการขององครักษ์เสื้อโลหิต กระหม่อมมีหน้าที่รับผิดชอบที่นี่” ลู่เส้าหลินทำการโต้เถียงกับองค์หญิงอันผิงยืนกรานไม่ออกไป
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าลู่เส้าหลินไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยนาง เขาเพียงแค่วางท่าเท่านั้น
เหอะๆ……
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมายกอย่างขมขื่น นางหลับตาลงทั้งสองข้างแล้วไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
จะว่าไปแล้ว ระหว่างนางและองค์หญิงอันผิงก็ไม่ได้มีความคับแค้นได้ต่อกัน นางเพียงแค่หักหน้าองค์หญิงอันผิงก็เท่านั้น
เมื่อองค์หญิงอันผิงเห็นท่าทางของลู่เส้าหลินที่มุ่งมั่นเพียงนั้นจึงไม่ได้โต้เถียงกับเขา หันกลับไปโบกมือให้แก่องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังแล้วกล่าวว่า “จัดหาที่นั่งให้ใต้เท้าลู่ด้วย”
นางจัดการให้ลู่เส้าหลินนั่งอยู่ห่างออกไป ลู่เส้าหลินเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่รับฟังคำสั่ง ส่วนอำนาจในการจัดการลงทัณฑ์ จึงตกไปอยู่ในมือขององค์หญิงอันผิงโดยแท้จริง ความเป็นความตายของเฟิ่งชิงเฉิน ก็อยู่ในมือขององค์หญิงอันผิงด้วย……