บทที่ 88 เสด็จอา
องค์หญิงอันผิงไม่รีบร้อนจะลงโทษลงทัณฑ์เฟิ่งชิงเฉินแต่อย่างใด นางลุกขึ้นยืนแล้วมองอุปกรณ์การลงโทษไปรอบห้อง
นางไม่รังเกียจต่อความสกปรก และไม่รังเกียจที่จะหันไปเอ่ยถามคนที่อยู่รอบกายถึงวิธีใช้เครื่องลงโทษเหล่านั้น
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ นี่เรียกว่าการลงโทษด้วยแส้หวีเหล็ก มันเต็มไปด้วยตะปูเหล็ก เพียงสัมผัสเบาๆ ที่ด้านหลัง เนื้อก็จะหลุดออกมาเหมือนวุ้นเส้น”
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นแอกเล็ก สำหรับวางไว้บนนิ้วและแขน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนนิ้วหรือแขนงอหัก วิธีนี้จะไม่ให้มีเลือดไหล แต่นิ้วและแขนก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าอย่างไร หมอเก่งแค่ไหนหมอก็ไม่อาจรักษา”
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ นี่เรียกว่าโยวปี้ มันเต็มไปด้วยหนาม หากนำมันคลุมไปยังร่างกายส่วนล่างและทำให้ผู้สวมใส่กระสับกระส่าย เสี้ยนข้างในจะแทงร่างกายส่วนล่างและหน้าท้องส่วนล่างของคนผู้นั้น”
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ……”
บรรดาคนที่อยู่ด้านหลังอธิบายอย่างละเอียดทีละอย่าง องค์หญิงอันผิงยืนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ดวงตาของนางกลับมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน
น่าเสียดาย สิ่งที่ทำให้องค์หญิงอันผิงผิดหวังก็คือเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำท่าทางหวาดกลัวหรือตกใจแต่อย่างใด
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาก้มหน้าลง ท่าทางนางดูเหมือนจะตาย
องค์หญิงอันผิงไม่ได้โกรธ แต่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ “เฟิ่งชิงเฉินอย่าได้รีบร้อนไป วันนี้ข้ามีเวลาทั้งวัน เนื่องด้วยกลัวว่าเจ้าจะทนไม่ไหว ข้าไม่เพียงแต่นำโสมร้อยปีมา อีกทั้งยังเชิญหมอหลวงมาด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็จะทำให้เจ้าสามารถมีลมหายใจอีกเฮือก เพื่อชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้”
องค์หญิงอันผิงทางเอ่ยถามและข่มขู่ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา จึงทำให้การข่มขู่นั้นไร้ประโยชน์ ดูเฉื่อยชาไม่สนุก เมื่อกลับมายังตำแหน่งที่นั่ง นางก็ยกมือขึ้นเรียกองครักษ์ให้ลงมือจัดการได้
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ จะใช้เครื่องใดก่อน”
“ใต้เท้าลู่ มีคำแนะนำได้ดีๆ หรือไม่?” ลู่เส้าหลินตั้งใจจะปกป้องคุ้มครองเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ องค์หญิงอันผิงจะไม่รู้ได้อย่างไร และนางจงใจที่จะทำเช่นนั้น
“สิ่งใดที่องค์หญิงชื่นชอบก็ทรงทำเถิด” ลู่เส้าหลินกล่าวด้วยความเยือกเย็น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใช้แส้ก่อนแล้วกัน ข้าจำได้ว่าที่หลังของคุณหนูเฟิ่ง ได้รับบาดเจ็บเมื่อครั้งอยู่ในเรือนแยกของพระราชวัง ไม่รู้ว่าเมื่อทำเช่นนี้จะเห็นกระดูกหรือไม่” น้ำเสียงขององค์หญิงอันผิงดูแลคล้ายกับกำลังสนทนาถึงเรื่องอากาศในวันนี้
เฟิ่งชิงเฉินลืมตาขึ้นช้าๆ จากนั้นก็ก้มหน้าหลับตาลง ราวกับต้นไม้แห้ง
เมื่อเผชิญหน้ากับลู่เส้าหลิน นางยังพอจะหาโอกาสเปิดปากได้บ้าง แต่กับองค์หญิงอันผิงเล่า?
ไม่ต้องแม้แต่จะคิด ต่อให้นางจะเอ่ยเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ดีไม่ดีหากนางเอ่ยมากความอาจจะถูกตัดลิ้นก็เป็นได้
“มัวชักช้าอยู่ไย ยังไม่รีบลงมืออีก หากว่าข้าไม่เห็นกระดูกนางโผล่ ข้าจะจับพวกเจ้าไปเฆี่ยนเอง” องค์หญิงอันผิงเอามือตบโต๊ะ
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะไม่สามารถหักกระดูกของเจ้าได้ ใต้เท้าลู่อาจจะมีความเมตตาต่อเจ้า แต่ข้ามไม่”
เฟิ่งชิงเฉินยังคงสงบนิ่ง ทำให้องค์หญิงอันผิงไม่รู้สึกถึงความเป็นผู้ชนะแม้แต่น้อย
ในพระราชวัง เพียงแค่การลงโทษเบาๆ ก็ทำให้นางกำนัลตกใจหวาดกลัวตัวสั่นงันงก เฟิ่งชิงเฉินช่างใจกล้าเสียจริง
“เกรงว่าองค์หญิงจะต้องผิดหวังเสียแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ทำให้องค์หญิงสมปรารถนาเด็ดขาด”
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลง แล้วปล่อยให้องครักษ์เหล่านั้นจัดการพาตนหันหลังให้แก่องค์หญิงอันผิง
อาจารย์ผู้ฝึกสอนนางมาเคยกล่าวว่า หากต้องพบกับสถานการณ์เช่นนี้ สามารถเลือกจะฆ่าตัวตายได้
แต่ว่า……
ผู้ที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งย่อมกลัวตายยิ่งนัก
ในเมื่อนางไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะฆ่าตัวตาย แล้วจะไปเผชิญหน้ากับความกล้าหาญได้อย่างไร
ฟู่……
นางหันหน้าให้กำแพงแล้วสูดลมหายใจเข้า หลับตาลง
ไม่ว่าองค์หญิงอันผิงจะใช้วิธีใดในการลงโทษ แต่นางก็จะไม่เอ่ยร้องสักคำ
มารดาของนางในตอนนั้นก็เคยอยู่ในคุกขององครักษ์เสื้อโลหิต และผ่านการลงโทษหนักทั้งสี่อย่าง โดยไม่เอ่ยคำใดสักคำ นางก็ต้องทำให้ได้
ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินเกร็งแน่น รอความเจ็บปวดที่จะมาถึง
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ยื่นแส้เหล็กไปให้
“ช้าก่อน หันร่างเฟิ่งชิงเฉินมา” องค์หญิงอันผิงเงยหน้าขึ้นแล้วกำชับ
นางไม่ต้องการจะเห็นด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉิน นางต้องการเห็นใบหน้าอันเจ็บปวดรวดร้าวของเฟิ่งชิงเฉินต่างหาก
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ทำตามคำสั่ง จากนั้นนำนางหมุนกลับมาและขยับตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อสะดวกต่อการลงโทษ
เฟิ่งชิงเฉินยังคงหลับตาทั้งสองข้างโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางเลย
จนกระทั่งบัดนี้ แม้นางจะมีเรี่ยวแรงแต่ก็ไม่อาจใช้มันได้ แทนที่จะพยายามดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ สู้นางเอาเวลาไปคิดว่าจะอดทนอย่างไรให้ถึงจนกระทั่งจิตใจอันโหดเหี้ยมอำมหิตขององค์หญิงอันผิงรู้สึกพอใจดีกว่า
“ลงมือได้” ดวงตาขององค์หญิงอันผิงฉายแววโหดร้าย
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าหลังของนางเย็นวาบ นิ้วของนางหดงอ หากไม่ใช่เพราะแขนขาถูกมัดเอาไว้นางคงจะเกร็งและตัวสั่น
นางคิดว่านางจะไม่กลัว แต่ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าที่ปลอบตัวเองว่าไม่กลัวนั่นคือการหลอกลวงตนเท่านั้นเอง
ต่อให้นางทำใจมาก่อนแล้วล่วงหน้าขนาดไหน เมื่อวินาทีที่ต้องเผชิญหน้า นางก็ไม่อาจจะควบคุมความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในใจได้
ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรเล่า?
ต่อให้นางทำใจมาก่อนแล้วล่วงหน้าขนาดไหน เมื่อวินาทีที่ต้องเผชิญหน้า นางก็ไม่อาจจะควบคุมความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในใจได้
ช่วยด้วย!
มีใครช่วยนางได้หรือไม่!
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟัน นางไม่ได้ตะโกนออกมา แต่ใบหน้าที่บิดเบี้ยวทำให้องค์หญิงอันผิงรู้สึกดีใจยิ่งนัก “ฮ่าๆๆ เฟิ่งชิงเฉิน ข้าคิดว่าเจ้าถูกลงโทษจนเคยชินแล้วเสียอีก คิดว่าเจ้าคงไม่กลัว ที่ไหนได้ เจ้ายังกลัวอยู่หรือ เรื่องนี้สนุกแล้วสิ”
“ลงมือได้”
เหล็กหนามแหลมฟาดไปที่เนื้อหนังของเฟิ่งชิงเฉิน หยดเลือดนองไหล
“อือ……” เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้และส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด หลังของนางแข็งทื่อ
ในขณะที่นางคิดว่าแท่งเหล็กนั้นจะฟาดลงมาอีกครั้ง น้ำเสียงที่อยู่ในฝันก็ดังขึ้น
“หยุด!”
“ปึง!”
ประตูของห้องลงโทษทัณฑ์ถูกเปิดออกด้วยการถีบอย่างแรง ขณะเดียวกันเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกว่าด้านหลังของนางมีลมกระโชกแรงเข้ามา องครักษ์ที่ลงมือกับนางเมื่อครู่พุ่งร่างชนเข้ากับกำแพงหินเสียงดังตุ้บ
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เวลาชั่วพริบตาเดียวสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินและองค์หญิงอันผิงได้สติกลับคืนมา ก็พบเสด็จอาเก้าผู้ดุจดั่งเทพเจ้ายืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ด้วยใบหน้าอันเยือกเย็น
“เสด็จ เสด็จอาเก้า” องค์หญิงอันผิงรีบลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ทันทีแล้วทำท่าทางตกใจ
เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเสด็จอาเก้าจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้?
ลู่เส้าหลินใบหน้าขาวซีดรีบลุกขึ้นและคุกเข่าลงทันที “ถวายบังคมเสด็จอาเก้า ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี กระหม่อมไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าจะเสด็จมาด้วยตนเองเช่นนี้ จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับ ขอเสด็จอาเก้าโปรดอภัยด้วย”
วันนี้มันวันอะไรกัน บรรดาเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ว่างมากนักหรือไร ล้วนเดินทางมาที่คุกขององครักษ์เสื้อโลหิต
“เสด็จอาเก้า” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกายและแฝงถึงความดีใจ
แม้ว่านางและเสด็จอาเก้าผู้นี้จะเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่หน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเฟิ่งชิงเฉินจึงได้เชื่อใจเขานัก
ในวันนี้เมื่อมีเสด็จอากาวอยู่ด้วย นางคงไม่เป็นไร
ดวงใจที่ตื่นตระหนกหวาดกลัวเมื่อครู่ของเฟิ่งชิงเฉิน ก็เริ่มสงบลงนับตั้งแต่ตงหลิงจิ่วเดินทางมาถึง
เหอะ……
ตงหลิงจิ่วเดินตรงเข้าไปด้านใน การเดินทางมาของเขาในครั้งนี้ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูอึดอัดขึ้นทันที
องค์หญิงอันผิงรีบลุกขึ้นหลีกทาง ตงหลิงจิ่วนั่งลงตรงที่ของนางโดยไม่เกรงอกเกรงใจ
เมื่อตงหลิงจิ่วนั่งลงแล้ว ขันทีที่ติดตามมาอยู่เบื้องหลังก็เข้ามารินน้ำชา ซึ่งไม่รู้ว่าไปเตรียมกาและแก้วมาจากเมื่อไหร่
เขามาดื่มน้ำชาที่องครักษ์เสื้อโลหิตหรือ!
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินมีความขบขันแวบเข้ามา
เสด็จอาเก้าเป็นคนที่แปลกเสียจริง
เสด็จมาดื่มน้ำชาที่องครักษ์เสื้อโลหิตแห่งตงหลิง ก็เปรียบเหมือนกับผู้รับราชการในปัจจุบันเดินทางไปดื่มน้ำชาที่คณะกรรมการกลาง โดยมากมักไปแล้วไม่กลับ
เสด็จอาเก้านั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ในใจขององค์หญิงอันผิงกระสับกระส่ายยิ่งนัก นางไม่กลัวผู้ใด กลัวก็เพียงแต่ใบหน้าอันเยือกเย็นของเสด็จอาที่อายุมากกว่านางเพียงไม่กี่ปีผู้นี้
เรื่องในวันนี้ ทำให้เสด็จอาเก้าผู้ไม่สนใจเรื่องใดเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย องค์หญิงอันผิงจึงรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ นางไม่อาจกำชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินไว้ในมือได้อีก!
เนื่องจาก เสด็จอาเก้าเข้ามาก้าวก่าย!