แต่เดิมอวี่เหวินหยวนฮั่วได้มีการจัดเตรียมรถม้าให้เช่นกัน แต่ทว่า เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในยามนี้แล้ว ย่อมต้องใช้ม้าเป็นกรณีพิเศษ
ในเมื่อ แม้แต่เสด็จอาเก้าก็เชื่อใจในตัวเฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ เช่นนั้นเขาก็จะช่วยเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน เขาจะเป็นแรงผลักดันให้นาง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นศักยภาพของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้เสีย เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ หาใช่ผู้ที่โกหกหลอกลวงไม่
การขี่ม้าไปเที่ยวเล่นนั้น มีเพียงผู้ที่เป็นอัจฉริยะเท่านั้นที่จะสามารถได้รับเกียรตินี้ได้ แม้แต่องค์หญิงอันผิงเองก็ทำได้เพียงนั่งรถม้าเท่านั้น
“ท่านแม่ทัพอวี่เหวินใส่ใจยิ่งนัก” สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของนางพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสขึ้นมาในทันที
นางไม่คิดเลยว่า ตนเองจะมีโอกาสได้ขี่ม้าในชุดเลิศหรูเข้าสักวัน อาจกล่าวได้ว่า วันนี้นางรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
ในขณะเดียวกัน ข่าวลือก็พลันโหมกระหน่ำเข้ามาในทันที
“เฟิ่งซิ่วขึ้นมาเสีย” อารมณ์ของอวี่เหวินหวนฮั่วเองก็รู้สึกดีขึ้นมาเช่นกัน
วันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร เขากังวลไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างน้อย ในวันนี้เขาก็สามารถพาเฟิ่งชิงเฉินขี่ม้าชมเมือง เพื่อเพิ่มความมั่นใจได้แล้ว
“ได้ ข้าอดใจรอไม่ไหว ที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นดวงตาของหวังจิ่นหลิงที่สามารถกลับมามองได้อีกครั้ง”
เฟิ่งชิงเฉินพลันก้าวไปด้านหน้า ยามที่กำลังจะขึ้นม้านั้น ในขณะเดียวกัน ก็พลันมีนายทหารตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามา พร้อมกับก้มหัวรายงานต่ออวี่เหวินหยวนฮั่วในทันที
สีหน้าของอวี่เหวินหยวนฮั่วพลันเปลี่ยนสีไปในทันที
“ตายแล้ว?”
“ตายแล้ว? ผู้ใดตายกัน?” เฟิ่งชิงเฉินพลันชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบร้อนถามกับอวี่เหวินหยวนฮั่วในทันที
อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันส่ายหน้าไปมา หากแต่ในดวงตากลับเจือไปด้วยความรู้สึกสงสาร
เฟิ่งชิงเฉินรีบร้อนก้าวเข้าไปถามเขาในทันที “อวี่เหวินหยวนฮั่ว บอกข้า? ผู้ใดตาย หวังจิ่นหลิงหรือ? หรือว่าเกิดอันใดขึ้นกับเขา?”
เฟิ่งชิงเฉินยิ่งคิดพลันรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ขึ้นมาในทันที
หากหวังจิ่นหลิงตายไป นางก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ทักษะการแพทย์ของตนเองรักษาหวังจิ่นหลิงได้อีก ความพยายามของเสด็จอาเก้ากับนาง ทั้งหมดก็คงไร้ประโยชน์
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบในทันที
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป หวังจิ่นหลิงหาได้เป็นอันใดไปไม่ อย่าลืมว่า หวังจิ่นหลิงเป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับเขาแน่ ตระกูลหวังหาใช่ผู้ใดจะรังแกได้ง่าย ๆ ”
หาใช่งิ้ว ที่เอะอะก็จะฆ่าอย่างเดียว
เมื่ออยู่สูงมากเท่าไหร่ ย่อมไม่มีโอกาสให้ได้ลอบสังหารเช่นนี้แน่
วันนี้เจ้าลอบสังหารบุตรชายของข้า วันพรุ่งข้าก็จะไปสังหารบุตรชายตระกูลของเจ้า เช่นนี้ เรื่องไม่วุ่นวายมากกว่าเดิมหรือ
“ไม่มีอันใดก็ดีไป ทำข้าตกอกตกใจเสียหมด ข้าละกลัวจริง ๆ ว่าจะมีผู้ใดเป็นอันใดไปก็เพราะข้าเป็นตัวต้นเหตุ” มีซุนยี่จิ่นคนเดียว ก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจก็พอแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินพลันลูบหน้าอกของตนเองเล็กน้อย พร้อมกับหันหน้าไปมองอวี่เหวินหยวนฮั่วราวกับจะกล่าวโทษว่า “หากมิใช่หวังจิ่นหลิงเกิดเรื่องแล้ว เจ้าจะตกใจเสียงดังทำไมกัน ทำข้าตกใจไปด้วยเลย”
มุมปากของอวี่เหวินหยวนฮั่วพลันอยากจะกระตุกยิ้มขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจยิ้มออกมาได้
เมื่อนึกถึงวันที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งคุกเข่าต่อหน้าทุกคนก็เพื่อนางนั้น หากนางได้รู้
หากนางรู้ละก็ เกรงว่าจะต้องเสียใจมากเป็นแน่ เช่นนั้นแล้ว อย่าเพิ่งบอกเลยจะดีกว่า
“ข้าก็แค่มีปฏิกิริยาตอบกลับก็เท่านั้น ไปเถอะ พวกเราไปที่ตระกูลหวังกัน เกรงว่าระกูลหวังในยามนี้คงกระวนกระวายมากเป็นแน่ รีบไป เพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจกันเถอะ”
แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินนะหรือ จะปล่อยเขาไปง่าย ๆ “อวี่เหวินหยวนฮั่ว เจ้าบอกข้า ผู้ใดตายกัน? ถึงได้ทำให้เจ้าตกอกตกใจถึงเพียงนั้นได้?”
ลางสังหรณ์ของนางกล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอน
“หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าไม่ ไปกันเถอะ หวังจิ่นหลิงกำลังรอเจ้าอยู่” อวี่เหวินหยวนฮั่วแสดงออกว่าเขาไม่อยากจะเอ่ยถึงมันในตอนนี้
“ไม่ได้ เจ้าต้องพูดตอนนี้ มิเช่นนั้น ข้าคงอยู่ไม่สุขแน่ มิเช่นนั้น มันอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้หากข้ายังกระวนกระวายอยู่เช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินพลันทำสีหน้าดื้อรั้น มองไปยังอวี่เหวินหยวนฮั่วโดยไม่พูดไม่จาออกมา
“อวี่เหวินหยวนฮั่ว แท้จริงแล้ว ผู้ใดตายกันแน่? เจ้าพูดมาเถอะ ข้ารับได้”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้า”อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันเกิดอาการลังเลเล็กน้อย หากว่าไม่พูดในยามนี้ ถ้าหากไปถึงตระกูลหวัง แล้วมีคนพูดขึ้นมาเล่า
ทว่า สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจยิ่งนัก
“พูดเถอะ ข้าไม่เป็นไร” เฟิ่งชิงเฉินพลันถอนหายใจเข้าลึก ๆ เสมือนว่ากำลังเตรียมพร้อมที่จะรับฟังแล้ว
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ายังจำที่เจ้าช่วยคุณใหญ่จวนตระกูลซุนได้หรือไม่?” อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลขึ้นมา
“ซุนยี่จิ่น ?” เฟิ่งชิงเฉินพลันพยักหน้าลงเล็กน้อย จากดวงตาที่สดใสของนางเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นแข็งค้างไปในทันที พร้อมกับสีหน้าที่ถอดสี “อวี่เหวินหยวนฮั่วเจ้าหมายถึง ซุนยี่จิ่นตายแล้วหรือ ?”
“อื้ม ข้าเพิ่งได้รับข่าว นางตายแล้ว” อวี่เหวิยหยวนฮั่วพลันถอนหายใจยาว ๆ ออกมา
“นางตายได้อย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินพลันเดินเซถอยหลังไปในทันที
นางเจ็บจัง เจ็บหัวใจยิ่งนัก เจ็บปวดเสีย ราวกับมีผู้ใดกำลังมาบีบคอนาง เพื่อให้นางหมดลมหายใจ
เฟิ่งชิงเฟินพลันเบิกตาโต พร้อมกับกอบกุมหัวใจของตนเองเอาไว้ และสูดลมหายใจเข้าไป
ซุนยี่จิ่น ซุนยี่จิ่นตายแล้ว
สตรีที่ขี่ม้าราวกับโบยบินได้นั้นตายแล้ว เพราะนาง?
เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกได้ว่า ตนเองร้องให้ไม่ออก เนื่องจากว่าตนเองรู้สึกเจ็บปวดเกินไป เจ็บปวดเสียจนไม่มีแรงพอที่จะทำให้หยาดน้ำตาไหลออกมา
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าได้เป็นเช่นนี้” เมื่ออวี่เหวิฮ่าวเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่โศกเศร้าถึงขีดสุดนั้น ก็รู้สึกทุกข์ใจ ที่ตนเองไม่สามารถปลอบใจนางได้เลย
เขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจักต้องเป็นเช่นนี้ เขาถึงได้ลังเลที่จะบอกนาง
ถึงแม้ว่าสตรีผู้นี้จะดูเย็นชายิ่งนัก แต่แท้จริงแล้ว นางเป็นคนที่มีจิตใจดี
“ไม่เกี่ยว จะไม่เกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร มันเป็นเพราะข้า นางถึงต้องมาตายเช่นนี้ บาดแผลของนางข้าได้เห็นมาก่อนหน้านั้นแล้ว ข้ารับประกันได้ว่า ไม่มีที่ใดอันตรายถึงชีวิตแน่ ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสก็ตาม แต่เรื่องที่นางต้องมาตายในช่วงเวลานี้ ข้าคิดว่ามันบังเอิญเกินไป” เฟิ่งชิงเฉินพลันกัดฟันไปมา ดวงตาทั้งสองข้างพลันแดงก่ำ หยาดน้ำตาพลันเอ่อคลอไปมา
“เป็นเพราะข้า ข้าทำให้นางต้องมาตาย เป็นเพราะข้า หากมิใช่เพราะข้า นางก็มิต้องมาตายเช่นนี้”
ทั้งรู้สึกผิด สำนึกผิด เสียใจยิ่งนักในยามนี้
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเกลียดตัวเองยิ่งนัก
ที่ไม่มีอำนาจมากพอ จึงไม่อาจปกป้องตนเองได้ อีกทั้งยังเป็นภาระให้ผู้อื่นอีก
นางนี่มันไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย
เฟิ่งชิงเฉินพลันเอามือกอดตนเองเอาไว้ พร้อมกับนั่งคุกเข่าลงบนพื้น พลางก้มหน้าลง ซุกไปที่หัวเข่า โดยมิได้เคลื่อนไหวอันใดอีก
อวี่เหวินหยวนฮั่วที่ยืนอยู่เช่นนั้น โดยไม่รู้ว่าควรจะปลอบนางเช่นไรดี
การที่ซุนยี่จิ่นตายนั้น จะอย่างไรก็ไม่อาจไม่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉินไปได้
แต่ทว่า
ด้านหน้ายังมีเรื่องสำคัญที่รอนางอยู่อีก
ถ้าหากเฟิ่งชิงเฉินยอมแพ้ตัวเองในยามนี้ นางก็จะไม่มัโอกาสได้ลุกขึ้นยืนอีกแล้ว
ยังดี ที่เฟิ่งชิงเฉินหาได้ทำให้อวี่เหวินหยวนฮั่วผิดหวังไม่ เพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา พร้อมกับไปไอสังหารที่แผ่กระจายออกมา
“ไปเถอะ”
เฟิ่งชิงเฉินพลันกระพริบตาไปมา ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เลยจึงพลึกตัวขึ้นไปนั่งบนม้าในทันที
อวี่เหวินหยวนฮั่วเอง ก็มิได้เอ่ยอันใดออกมาเช่นกัน เพียงแค่เฝ้ามองดูนางอย่างเงียบ ๆ
ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเสียใจมากเพียงใดก็ตาม แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ ซุนยี่จิ่นได้ตายไปแล้วได้
อีกทั้ง ในยามนี้ หาใช่เรื่องที่จะต้องมานั่งร้องให้ไม่
ในเมื่อมีแรงสนับสนุนของกองทัพเช่นนี้ การเดินทางของเฟิ่งชิงเฉินก็พลันเต็มไปด้วยความราบรื่น แต่ทว่า ยามที่นางนั่งอยู่บนหลังม้านั้น หาได้มีท่าทีมั่นใจเช่นคราวก่อนไม่ อีกทั้ง ทั่วร่างของนางพลันแผ่กลิ่นอายความเย็นชาออกมาจนคนที่อยู่ภายในรัศมีพันลี้ยังสัมผัสได้ แต่ทว่ากลิ่นอายความเยือกเย็นนั้น ยิ่งทำให้นางเฟิ่งชิงเฉินดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
“สตรีนางนี้ แข็งแกร่งดั่งหินผายิ่งนัก เพียงชั่วครู่นางก็ฟื้นตัวกลับมาเป็นคนเดิมได้แล้ว” ซีหลิงเทียนเหล่ยกับซีหลิงเหยาหวาที่ปะปนอยู่ในฝูงชนพลันกล่าวออกมา
“นั่น ย่อมเป็นเพราะนางทั้งเลือดเย็นและโหดเหี้ยมกระมัง สตรีเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางมีที่ใดดีนัก”ซีหลิงเหยาหวาพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีเชิงดูถูก
“เจ้ากำลังอิจฉา เสด็จน้อง!” น้ำเสียงของซีหลิงเทียนเหล่ยเย็นชายิ่งนัก เสมือนเป็นการกล่าวเตือนน้องสาวของตนเองกลาย ๆ
ทั่วร่างของซีหลิงเหยาหวาพลันสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว หรือว่าเสด็จพี่จะรู้แล้ว ที่นางนำมีดของเฟิ่งชิงเฉินไปมอบให้กับองค์หญิงอันผิง ?
ซีหลิงเหยาหวาพลันเหลือบมองซีหลิงเทียนเหล่ยเล็กน้อย “เสด็จพี่ ข้า”
“เจ้าอย่าคิดว่า เจ้าทำอันใดไปแล้วข้าจะไม่รู้ เหยาหวาถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องสาวของข้า แต่เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นองค์หญิง แล้วข้าเป็นองค์รัชทายาท ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องภายในราชวงศ์นั้น ไม่ได้ดูดีอย่างที่เจ้าคิดเอาไว้”
เมื่อทิ้งคำพูดของตนเองเอาไว้เช่นนี้ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็พลันหันกายเดินจากไปในทันที แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแอบลอบมองเฟิ่งชิงเฉิน
สตรีผู้นี้ เล่นด้วยไม่ง่ายเลยจริง ๆ
เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจะทดสอบตนเองอยู่ เมื่อหันกลับไปมองทิศทางที่รับรู้ได้ว่ามีคนจ้องมองนางอยู่นั้น ก็พลันเห็นแต่แผ่นหลังของบุรุษที่สวมใส่อาภรณ์สีฟ้า
คนผู้นั้นเป็นใครกัน?
“เป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมีอาการผิดปกติไป ก็พลันก้าวเข้าไปหา
เฟิ่งชิงเฉินพลันส่ายหน้าไปมา “ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ ข้าเป็นภาระให้คนคนเดียวก็พอแล้ว ข้าไม่อยากเป็นภาระให้หวังจิ่นหลิงอีก”
“อื้ม” อวี่เหวินหยวนฮั่วเองก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาอีก
เมื่อมาถึงตระกูลหวังแล้วนั้น เฟิ่งชิงหลิงถึงเข้าใจได้ว่า สถานการณ์ที่เกิดที่จวนเฟิ่งนั้น หาได้เทียบเท่ากับสถานการณ์ที่เกิดในจวนตระกูลหวังในยามนี้ไม่ ด้านนอกสามวง ด้านในสามวง ล้วนแต่เป็นฝูงชนทั้งนั้น อีกทั้งพวกเขายังกรีดร้องโวยวาย กล่าวหาว่า ตระกูลหวังเป็นคนหลอกลวง
หากมิใช่ว่า การป้องกันของจวนตระกูลหวังเข้มแข็งนั้น เกรงว่าคนเหล่านี้คงได้พุ่งบุกเข้าไปในจวนตระกูหวังเป็นแน่
“ท่านแม่ทัพอวี่เหวิน เรื่องนี้ขุนนางไม่อาจควบคุมได้งั้นหรือ?” ทั่วร่างของเฟิ่งชิงเฉินพลันสั่นสะท้านไปในทันที
ฮองเฮากับองค์หญิงอันผิง พวกเจ้ารังแกผู้คนเกินไปแล้ว
“ควบคุม จะไม่ควบคุมได้อย่างไร? มีผู้ใดจะกล้าหือกล้าอือกับข้ากัน” อวี่เหวินหยวนฮั่วพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความเย็นชา
ถึงแม้ว่าเขาจะมีหน้าที่ดูแลกองกำลังภายในเมืองหลวง หากแต่กองกำลังทั้งเก้าหน่วย ล้วนแต่เป็นของฮองเฮา
คลื่นลมภายในตระกูลหวังนั้น แต่เดิมก็ได้ตกเป็นหมากที่อยู่ในกระดานของพวกเขาเหล่านั้นแล้ว จะไปมีผู้ใดจัดการดูแลมันได้อย่างไร