“หนึ่งหมื่นตำลึงทอง? เหตุใดเจ้าไม่ไปปล้นเสียละ” ซีหลิงเหยาหวาโมโหเสียจนแทบจะกะอักเลือดออกมา ในขณะที่อาการบาดเจ็บของซีหลิงเทียนเหล่ยก็ค่อย ๆ ทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั่วร่างพลันล้มทับซีหลิงเหยาหวาในทันที
“หากไปปล้นย่อมไม่มีความปลอดภัยให้ตนเอง หากข้าสามารถออกปล้นได้ถึงหมื่นตำลึงทอง แล้วข้าจักต้องมาเป็นหมอทำไมกัน”
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่า บทสนทนาจะไม่หยุดแค่นี้เป็นแน่ เมื่อเห็นสภาพของซีหลิงเทียนเหล่ยแล้วนั้น นางก็รับรู้ได้ว่า อาการบาดเจ็บของเขาไม่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“พอแล้ว แม่นาง การช่วยชีวิตคนสำคัญกว่านัก ข้าไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว ส่งคนเข้าไปในบ้านไม้นั่นเสีย ห้องไหนเกรงว่าเจ้าคงจะรู้ดี ”
พร้อมทั้งหันกายจากไป โดยมิได้สนใจคนทั้งสองอีก
“พี่ใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้จะยโสโอหังมากไปแล้ว”
“นางย่อมมีอำนาจที่จะหยิ่งยโสได้ มิเช่นนั้นนางจะเป็นบุตรีตระกูลเฟิ่งหรือ” แววตาของซีหลิงเทียนเหล่ยพลันจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉินโดยมิวางตา
ซีหลิงเหยาหวาเห็นเช่นนั้นก็แทบอยากจะกะอักเลือดออกมา ทว่า นางก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้ ผู้ใดให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่สามารถช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของนางได้กัน
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเปิดประตูบ้านไม้ออกมานั้น ก็พลันพาทั้งสองเดินเข้าไปด้านในพร้อมทั้งสั่งให้ซีหลิงเหยาหวาวางคนเจ็บไว้บนเตียงในทันที
แม้ว่าซีหลิงเหยาหวาจะมิใช่สตรีที่บอบบางแรงน้อย ทว่า เมื่อให้นางมาพยุงร่างของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังมีอาการบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้อีก ย่อมต้องใช้แรงกายมากพอสมควร
แต่น่าเสียดาย เฟิ่งชิงเฉินหาใช่คนที่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาไม่ เมื่อเห็นร่างของซีหลิงเหยาหวาเต็มไปด้วยเหงื่อมากมาย ก็พลันมองไปยังบาดแผลทั่วร่างของซีหลิงเทียนเหล่ยที่กำลังฉีกออก พร้อมกับเลือดที่ค่อย ๆ ไหลออกมาแทน ทั้งยังเอาแต่ยืนดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าหาได้มีความเมตตาเฉกเช่นคนเป็นหมอควรจะมีไม่ เจ้ามันก็แค่สตรีหน้าซื่อใจคด” เมื่อซีหลิงเหยาหวาวางซีหลิงเทียนเหล่ยลงแล้วนั้น ก็พลันหันมาต่อว่าเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจนางไม่ พร้อมทั้งเดินเข้าไปทุบเตียงทั้งสี่ล้อกล่าวว่า “พอแล้ว เจ้าออกไปรอด้านนอกเสีย วันพรุ่งยามรุ่งสาง หากข้ามิเห็นเงินค่ารักษาของข้า ข้าจักทำให้บาดแผลของเขากลับไปเป็นดังเดิม”
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากล้า”
ยามที่ซีหลิงเหยาหวากำลังจะชักดาบขึ้นมานั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันกล่าวขึ้นมาว่า “มีอะไรที่ข้าไม่กล้ากัน ชีวิตของพวกเจ้ามีค่ามากกว่าข้านัก แม่นาง หากเจ้ามิอยากเห็นเขาตาย ก็ช่วยออกไปจากห้องนี้เสีย หากมิมีคำสั่งของข้า เจ้าห้ามเข้ามาเป็นอันขาด”
“ในเมื่อเจ้ากล้าออกคำสั่งกับข้าเช่นนี้ เจ้าอยากตายใช่หรือไม่” นางที่มีฐานะเป็นองค์หญิงของแคว้นซีหลิง หาได้เคยพบกับความอัปยศเช่นนี้ไม่
“หากมิอยากฟังคำสั่งของข้า ก็นำคนผู้นี้ออกไปเสีย ข้ามิอยากรักษาให้กับคนไข้ที่ไม่รู้จักให้ความร่วมมือกับข้า” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น
มิใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินมิรู้จักความแข็งแกร่ง แต่ทว่า
Go back to the previous page
Reader Mode
Reader Mode
Reader mode, active with suggestions
Protect mode, unsafe passive content on page
Activate voice search
Menu
Reload current page
“หากมิอยากฟังคำสั่งของข้า ก็นำคนผู้นี้ออกไปเสีย ข้ามิอยากรักษาให้กับคนไข้ที่ไม่รู้จักให้ความร่วมมือกับข้า” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น
มิใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินมิรู้จักความแข็งแกร่ง แต่ทว่า
วิธีการรักษาของนางไม่เหมาะที่จะให้คนนอกเห็นมากนัก
ฉะนั้นแล้ว ในเมื่อต้องทำตัวหยิ่งยโสนางก็จะทำ
ซีหลิงเหยาหวาต้องการจะพูดขึ้นมานั้น พลันถูกซีหลิงเทียนเหล่ยเอ่ยตัดบทขึ้นมาแทน “ออกไป ทำตามที่แม่นางเฟิ่งกล่าวเสีย”
ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บอยู่นั้น แต่ท่วงท่าอันดุดันของเขาก็หาได้ลดลงไปไม่
ซีหลิงเหยาหวาพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย พร้อมทั้งพยักหน้าลง ด้วยท่าทีมิใคร่เต็มใจเท่าใดนัก
เฟิ่งชิงเฉินหาได้เอ่ยอันใดไม่ เมื่อซีหลิงเหยาหวาเดินออกไปแล้วนั้น นางก็ได้ลากเตียงของซีหลิงเทียนเหล่ยเข้าไปในห้องด้านในอีกห้องในทันที
“คุณชายท่านนี้ ข้าจักไม่ขอค่าปิดปากจากท่าน อีกทั้ง ข้าก็จะไม่เปิดเผยความลับของท่านออกไปด้วยเช่นกัน ข้าขอเพียงอย่างเดียว เอาน้องสาวที่ดื้อรั้นของท่านออกห่างจากข้าเสีย”
ซีหลิงเทียนเหล่ยเมื่อมาขบคิดดูแล้วนั้น ก็พลันแย้มยิ้มกล่าวออกมา”ได้”
เขาเริ่มพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดหลานจิ่วชิงถึงติดใจสตรีนางนี้นัก
นางเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เหมือนสตรีนางอื่น ที่สวมหน้ากากความอ่อนหวานเป็นอาวุธ เพื่อทำสิ่งที่สกปรกและน่ารังเกียจ
เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ จุดตะเกียงไฟรอบด้าน
เมื่อไฟสว่างขึ้นมาแล้วนั้น ซีหลิงเทียนเหล่ยก็เห็นสภาพของห้องในทันที
ในความคิดเห็นของเขานั้น ห้องนี้ดูเรียบง่ายยิ่งนัก ทั้งยังดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง เขามองไม่ออกเลย ว่ามันล่ำค่ามากขนาดไหนถึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องมันเอาไว้ ทั้งยังใช้กองกำลังของอวี่เหวินหยวนฮั่วมาคุ้มกันให้อีก
ความสงสัยของซีหลิงเทียนเหล่ยนั้น เฟิ่งชิงเฉินแค่มองก็รับรู้ไในทันที ภายในใจพลันแอบคิดว่า คนผู้นี้ต้องรู้เรื่องของนางไม่มากก็น้อยเป็นแน่
หากแต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอันใด พร้อมทั้งค่อย ๆ นำยาสลบออกมาจากโต๊ะผ่าตัด
“มันคือสิ่งใดกัน?” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันเอ่ยถามขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก
หากว่ามิใช่อาการบาดเจ็บที่สาหัสจริง ๆ เขาย่อมไม่มาหาเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน
“ยาชา” เฟิ่งชิงเฉินที่มีท่าทางจริงใจในยามนี้ ทั่วร่างพลันแผ่กลิ่นอายที่สตรีในยุคนี้ไม่มีออกมา
“คุณชายท่านนี้ ข้ามิรู้ว่าท่านเป็นผู้ใด และก็มิอยากจะรู้ด้วยว่าท่านคือผู้ใด โดยเฉพาะ ท่านจะมีบุญคุณความแค้นกับผู้ใด ข้าเองก็มิได้อยากรู้เช่นกัน ข้าเป็นเพียงหมอเท่านั้น เป็นหมอธรรมดา ในเมื่อท่านเลือกที่จะมาหาข้าแล้ว ก็ขอให้ท่านจงเชื่อใจข้า เชื่อใจในจริยธรรมของความเป็นหมอของข้า อย่าได้เอ่ยถึงความแค้นที่เราไม่มีต่อกันเลย แม้ว่าพวกเราจะมีความแค้นต่อกัน หากท่านมานอนอยู่ตรงหน้าข้าเช่นนี้ ข้าก็จะพยายามช่วยชีวิตท่านให้ถึงที่สุด นี่ถือเป็นคติประจำใจของหมอเช่นข้า เฟิ่งชิงเฉิน”
ภายใต้สายตาของซีหลิงเทียนเหล่ยที่จ้องมองนางมานั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ ฉีดยาชาเข้าร่างกายของเขาในทันที
ซีหลิงเทียนเหล่ยขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นดวงตาที่นิ่งสงบของเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็ค่อย ๆ วางใจได้
“คุณชายท่านนี้ ข้ามิรู้ว่าท่านเป็นผู้ใด และก็มิอยากจะรู้ด้วยว่าท่านคือผู้ใด โดยเฉพาะ ท่านจะมีบุญคุณความแค้นกับผู้ใด ข้าเองก็มิได้อยากรู้เช่นกัน ข้าเป็นเพียงหมอเท่านั้น เป็นหมอธรรมดา ในเมื่อท่านเลือกที่จะมาหาข้าแล้ว ก็ขอให้ท่านจงเชื่อใจข้า เชื่อใจในจริยธรรมของความเป็นหมอของข้า อย่าได้เอ่ยถึงความแค้นที่เราไม่มีต่อกันเลย แม้ว่าพวกเราจะมีความแค้นต่อกัน หากท่านมานอนอยู่ตรงหน้าข้าเช่นนี้ ข้าก็จะพยายามช่วยชีวิตท่านให้ถึงที่สุด นี่ถือเป็นคติประจำใจของหมอเช่นข้า เฟิ่งชิงเฉิน”
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าเชื่อใจเจ้า อย่าได้ทำให้ความเชื่อใจของข้าสูญเปล่าเชียว”
“ท่านมิได้มีค่าถึงเพียงนั้น” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าววาจาดูถูกออกมา
เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อยนำอุปกรณ์การแพทย์ออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ เพื่อทำการตรวจหาอาการบาดเจ็บของซีหลิงเทียนเหล่ย
เขาบาดเจ็บที่กลีบปอด ทั้งยังเสียเลือดไปมาก นี่ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่เลยทีเดียว จึงต้องทำการถ่ายเลือดให้กับคนไข้โดยด่วน
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินตรวจอาการบาดเจ็บให้ซีหลิงเทียนเหล่ยจนเสร็จแล้วนั้น ก็พลันพบว่ากรุ๊ปเลือดของเขาคือกรุ๊ปเลือดบี คราก่อนที่ทำการผ่าตัดได้ใช้เลือดพวกนั้นหมดไปแล้ว นางจึงหยิบเลือดกรุ๊ปโอออกมาแทน เพื่อทำการถ่ายเลือดให้กับซีหลิงเทียนเหล่ย ทั้งยังลากโต๊ะผ่าตัดออกมาเพื่อติดตั้งเครื่องมือ
เมื่อเห็นซีหลิงเทียนเหล่ยนอนราบอยู่บนเตียง หัวสมองของนางก็พลันคิดไปถึงภาพที่หลานจิ่วชิงนอนอยู่ในห้องลับ พร้อมทั้งนางที่นั่งยอง ๆ เพื่อจัดการบาดแผลให้กับเขา
เฟิ่งชิงเฉินจึงตบหัวตนเองเล็กน้อย เพื่อสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปให้หมด หลังจากที่ฤทธิ์ของยาชาออกแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็สงบสติอารมณ์ และตั้งใจจัดการบาดแผลให้กับซีหลิงเทียนเหล่ยในทันที
ถึงแม้ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยจะบาดเจ็บที่กลีบปอด แต่ทว่า หาได้มีอาการสาหัสเท่ากับอาการบาดเจ็บของหลานจิ่วชิงในคราก่อนไม่ อาการบาดเจ็บของซีหลิงเทียนเหล่ยเพียงแค่ถูกดาบแทงเข้าไปเท่านั้น มิเช่นนั้นเขาคงไม่แรงอดทนมาได้จนถึงตอนนี้
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจจัดการบาดแผลให้กับซีหลิงเทียนเหล่ยและยังเย็บแผลให้นั้น นางมิทันได้สนใจว่า ในยามนี้ซีหลิงเทียนเหล่ยกำลังตื่นอยู่
บุคคลที่เติบโตขึ้นในราชวงศ์เสียส่วนใหญ่ มักจะมีพิษร้ายกันทั้งนั้น อย่าได้เอ่ยถึงยาชาเลย แม้แต่ยาพิษธรรมดาก็ไม่อาจทำอันใดพวกเขาได้
หลังจากที่ซีหลิงเทียนเหล่ยตื่นขึ้นมานั้น ก็พลันพบว่าทั่วร่างของตนพลันเกิดอาการชาขึ้นมา สัญชาตญาณแรกของเขาสั่งให้ฆ่าเฟิ่งชิงเฉิน แต่ก็พบว่าตนเองมิอาจทำได้
เมื่อมาเห็นการกระทำของเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น มันกลับทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยมิกล้ากระพริบตาไปในทันที
เฟิ่งชิงเฉินหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมามากมาย ทั้งยังแทงไปแทงมาในร่างกายของเขา แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เขากลับไม่คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการจะฆ่าเขาเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากว่ามีดของเฟิ่งชิงเฉินนั้น คล้ายจะมีแสงอะไรบางอย่างส่องประกายออกมา
มีดเล็ก ๆ ในมือของนาง ดูมิคล้ายจะเป็นอาวุธที่เอาไว้ฆ่าผู้คนเลยแม้แต่น้อย
นั้นเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ซีหลิงเทียนเหล่ยคิดถูกแล้ว
น่าเสียดายที่ซีหลิงเทียนเหล่ยหาได้อดทนดูจนถึงขั้นตอนสุดท้ายไม่ ด้วยร่างกายที่อ่อนแรงของเขา รวมไปถึงความไว้ใจของเขาที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉิน เกรงว่าหากมิใช่เพราะยาชาออกฤทธิ์ เขาก็ต้องเป็นลมสลบไปด้วยความอ่อนแรงของร่างกายอยู่ดี
เขาจึงมิทันได้เห็นยามที่เฟิ่งชิงเฉินทำการถ่ายเลือดให้เขากับการให้ยาเขาไม่ทั้งยังมิได้สังเกตุว่า ที่มือซ้ายของตนว่ามีถุงเลือดวางอยู่ เพื่อรอที่จะเข้าสู่ร่างกายของเขา
เมื่อผ่านไปเป็นเวลานาน ซีหลิงเทียนเหล่ยก็พลันคิดไปเองว่า เฟิ่งชิงเฉินใช้แค่มีเล็ก ๆ เขี่ยไปเขี่ยมาเพื่อทำการรักษาคนเท่านั้นเอง ท้ายที่สุด ก็ทำการเย็บแผลที่คล้ายกับการเย็บเสื้อผ้า
พร้อมทั้งทำความสะอาดบาดแผลให้ซีหลิงเทียนเหล่ย เมื่อใกล้รุ่งสางแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินเองก็เหนื่อยเสียจนต้องหาวออกมาด้วยความง่วงนอน ทั้งยังถอดอาภรณ์ชุดผ่าตัดออกจาตัวในทันที
ดูเหมือนว่า ร่างกายของนางจะแย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว นี่แค่อดนอนไปเพียงคืนเดียวนางก็ไม่สามารถอดทนได้แล้ว ดูเหมือนว่านางจะต้องเริ่มออกกำลังกายแล้วละ
เมื่อเก็บกวาดห้องผ่าตัดเสร็จแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันหยิบยาแก้อักแสบและยาแก้ปวดออกมา พร้อมทั้งผลักเตียงของซีหลิงเทียนเหล่ยออกมาในทันที
เมื่อจัดการกับบาดแผลเสร็จแล้ว ก็เหลือแต่เพียงพักฟื้นร่างกายเท่านั้น หากต้องการบำรุงร่างกายละก็ ไปหาแพทย์แผนจีนจักดีกว่า
เมื่อไม่มีเหตุการณ์อันใดแล้ว ซีหลิงเหยาหวาก็ได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอกห้องผ่าตัด