นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 116 เสด็จอาจิ่วเสนอเฟิ่งชิงเฉินให้กับฝ่าบาท

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 116 เสด็จอาจิ่วเสนอเฟิ่งชิงเฉินให้กับฝ่าบาท

เฟิ่งชิงเฉินเหนื่อยมากและไม่มีอารมณ์ที่จะเล่นกับสาวน้อยคนนี้ หลังจากผลักซีหลิงเทียนเหล่ยออกไปแล้ว นางเพิกเฉยต่อแววตาที่เย็นชาของซีหลิงเทียนเหล่ย และยื่นยาในมือให้ซีฟู่เหยาหวา “เขาไม่เป็นกระไรแล้ว กล่องสีขาวนี้กินวันละสามครั้ง ครั้งละสองเม็ด อีกหนึ่งแบบกินวันละครั้ง ทีละหนึ่งเม็ด เอาล่ะ เจ้าพาเขากลับได้แล้ว”

เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดที่จะให้ซีหลิงเทียนเหล่ยอยู่ต่อเลย

“เฟิ่งชิงเฉิน พี่ใหญ่ของข้าเป็นกระไรไป?” ซีหลิงเหยาหวาแสดงสีหน้ามืดมนราวกับมือสังหารหญิงออกมา

“เขาหมดสติเพราะเจ็บปวดมากเสียจนเกินไป อีกไม่นานก็ฟื้น ทางที่ดีควรหาชายร่างใหญ่สองคนแบกเขากลับไป อย่าให้บาดแผลของเขาฉีกขาด” เฟิ่งชิงเฉินหาว และท่าทีของนางดูง่วงอย่างมาก

“เป็นไปมิได้ พี่ใหญ่ของข้าจะไม่มีวันเจ็บเสียจนหมดสติอย่างแน่นอน” ซีหลิงเหยาหวาไม่เชื่อ หากมิใช่เพราะซีหลิงเทียนเหล่ยเคยเตือนนางว่า อย่าได้ลงมือกับเฟิ่งชิงเฉินอีก ป่านนี้นางคงลงมือสังหารนางไปแล้ว

“เหตุใดจึงเป็นไปมิได้เล่า? เจ้าดูเองสิว่าเขายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่? เอาล่ะ อย่ากล่าวคำไร้สาระเช่นนั้นเยอะเลย พาเขาออกไปได้แล้ว อีกสองชั่วโมงเขาก็คงฟื้นขึ้นมา” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างหมดความอดทน

แม้ว่าซีหลิงเหยาหวาจะโกรธ แต่ได้เพียงกัดฟันอดทนเอาไว้ นางหยิบใบไม้ออกมาแล้วเป่า ชายร่างใหญ่สองคนปรากฏตัวในความมืด หลังจากทั้งสองคำนับซีหลิงเหยาหวา แล้วแบกซีหลิงเทียนเหล่ยกลับไป

ก่อนที่ซีหลิงเหยาหวาจะเดินจากไป นางกล่าวเอาไว้ว่า ” เฟิ่งชิงเฉิน อีกไม่นาน เราจะได้เจอกันอีก หากเจอกันอีก ข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าอยู่ที่เท้าข้า”

“จริงหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินตอบรับโดยไม่แยแส

หลังจากที่พวกเขาจากไป เฟิ่งชิงเฉินล็อกประตูห้องผ่าตัด อาบน้ำเย็น นางหนาวจนตัวสั่น จากนั้นนางก็เข้านอนไป

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกำลังหลับสนิท หมอหลวงของพระราชวังตงหลิงตื่นอยู่ทั้งคืน ลูกธนูที่ยิงเข้าต้นขาของตงหลิงจื่อลั่วนั้น ปักเข้าที่หลอดเลือดแดงพอดี

เมื่อต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บนี้ หมอหลวงทำอะไรไม่ถูก และหากดึงลูกธนูออก เหล่าหมอหลวงไม่แน่ใจว่าสามารถห้ามเลือดได้หรือไม่ และโอกาสที่ตงหลิงจื่อลั่วจะเสียชีวิตนั้นมี 60%

เว้นแต่จะเจาะที่ต้นขาให้เนื้อตาย ทำเช่นนี้ตงหลิงจื่อลั่วไม่เสียชีวิต แต่จะพิการ

แต่หากไม่ดึงออกมา ตงหลิงจื่อลั่วจะไม่มีโอกาสดีขึ้น ยิ่งรอนานเพียงใด ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น

“ขยะ พวกไร้ประโยชน์ ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำกระไรกัน?” ฮองเฮาโกรธเคืองอย่างมาก นางหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาแล้วโยนเข้าหาหมอหลวงหลิน

เลือดไหลออกจากหน้าผากของหมอหลวงหลิน และเขากราบขออภัยนับครั้งไม่ถ้วน ” ฮองเฮาเหนียงเหนียงโปรดอภัยให้ข้าด้วยขอรับ โปรดอภัยให้ข้าขอรับ”

มีแอ่งน้ำค้างอยู่บนพื้นหินอ่อนสีขาว เป็นสีแดงสดประกายแยงตาอย่างมาก

“ยกโทษงั้นหรือ? หากเจ้าไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของลั่วอ๋องได้ ข้าเก็บเจ้าไว้จะมีประโยชน์กระไร ลากมันออกไปและสังหารมันเสีย” ปั่นปักผมสีทองบนศีรษะของฮองเฮาสั่นอย่างแรง แววตาของนางจมลึกลง สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างมาก

ตงหลิงจื่อลั่วเป็นความหวังของนาง และเขาจะต้องไม่เป็นกระไร และห้ามพิการเด็ดขาด

“หมอหลวงจาง หากรักษาลั่วอ๋องให้หายได้ ข้ามีรางวัล” ฮองเฮาเหนียงเหนียงชี้ไปที่หมอหลวงชราคนหนึ่ง

หากรักษาไม่หาย…มิต้องสงสัย จุดจบก็เหมือนกับหมอหลวงหลิน

“ขอรับ ฮองเฮาเหนียงเหนียง” หมอหลวงจางกล่าวอย่างอ่อนแรง

ข้างเตียงตงหลิงจื่อลั่วมีคนล้อมรอบ แค่หมอหลวงก็มีประมาณห้าถึงหกคน พวกเขาคิดทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถห้ามเลือดได้ เลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของตงหลิงจื่อลั่วขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ……..

ฮองเฮากังวลอย่างมาก จนเล็บแทบหัก

บรรยากาศในห้องโถงตึงเครียดมาก แต่ตงหลิงจิ่วซึ่งนั่งอยู่ข้างนอกไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ท่าทีของเขาสงบและเฉยชาอย่างมาก

องค์รัชทายาทก็อยู่กับเขาตลอดเวลา สีหน้าของเขากังวลอย่างมาก แต่อันที่จริงเขาไม่เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย ตงหลิงจื่อลั่วจะตายหรือพิการ ต่างก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา

“ฮ่องเต้เสด็จ”

เสียงอันแหลมคมของขันทีทำลายบรรยากาศเคร่งขรึม และทุกคนคุกเข่าลงยกเว้นตงหลิงจิ่ว

“ฝ่าบาท…” ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงกังวลตลอดทั้งคืน เมื่อเห็นฮ่องเต้เสด็จ น้ำตาของนางก็ไหลออกมาทันที เมื่อมองไกลๆ ดูงดงามดั่งบุปผาที่เปียกโชยเม็ดฝน

“ลั่วเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”

เสื้อผ้าในราชวงศ์หมิงหวง ทำให้จักรพรรดิดูสง่างามอย่างมาก แต่ขาดความอ่อนโยนและอบอุ่นไปเล็กน้อย เขาดูสูงส่ง เย็นชา แม้แต่ถามถึงลูกชายที่ตนรักมากที่สุด ก็ไม่มีความรู้สึกใกล้ชิดเลย

“ฝ่าบาท หมอหลวงบอกว่าหากว่าลั่วเอ๋อร์ไม่ฟื้นขึ้นมาตอนนี้ ก็อาจจะไม่มีวันฟื้นอีก” ฮองเฮาเกือบจะร้องไห้และล้มลงอยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้

จักรพรรดิตบฮองเฮาเบาๆ และตามหมอหลวงมาถามอาการ แต่สิ่งที่ได้คือ หากไม่เสียขาของตงหลิงจื่อลั่วไป ก็คงต้องเสียชีวิต

“ไร้ประโยชน์เสียจริง ราชวงศ์ตงหลิงของเราจะไม่เก็บคนไร้ประโยชน์เอาไส้ ทหาร เอาคนไร้ประโยชน์เหล่านี้ออกไปสังหารเสีย”

นี่คืออำนาจจักรพรรดิ ที่มีคำสั่งเด็ดเดี่ยว ทำให้มีเสียชีวิตและบาดเจ็บนับไม่ถ้วน

เหล่าหมอหลวงสีหน้าซีดเซียว แต่พวกเขาไม่กล้าขอความเมตตา

ทุกคนรู้ว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานลั่วอ๋องมากเพียงใด สีหน้าขององค์รัชทายาทโศกเศร้าเล็กน้อย ไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็ว

หลายปีที่ผ่านมา เขาชินกับความเฉยชาของเสด็จพ่อแล้ว

องครักษ์ลากหมอหลวงออกไป นางกำนัลและขุนนางกลัวจนตัวสั่นเทา มิกล้าออกเสียง แต่ละคนต่างก้มหน้า กลัวว่าตนจะซวยและถูกสังหารเช่นกัน

“ฮ่องเต้”

ตงหลิงจิ่วยืนขึ้น และทุกคนในห้องโถงหยุดลงเพราะการกระทำของเขา

“น้องเก้า?”

“เสด็จอาเก้า?”

หมอหลวงถูกองครักษ์ลากไปถึงประตูห้องโถง เมื่อได้ยินเสียงนี้ ต่างก็ดีใจอย่างยิ่ง หรือว่าเราจะรอด แต่หลังจากนั้น บรรยากาศก็เงียบลงอีกครั้ง

เสด็จอาเก้าเป็นที่เลื่องลือว่าเลือดเย็นและโหดเหี้ยม เขาจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร

ตงหลิงจิ่วเมินเฉยไม่แยแส แม้ว่าเขากำลังคุยกับจักรพรรดิ แต่เขาก็ไม่เห็นใครในสายตา

“ฝ่าบาท อาการบาดเจ็บของลั่วอ๋องไม่สามารถทนรออีกได้แล้ว น้องขอให้ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการ ให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าวังลองรักษา” เมื่อตงหลิงจิ่วกล่าวเช่นนี้ เขายังคงเฉยชา ไม่มีความรีบร้อนหรือวิตกกังวลแม้แต่น้อย

ก่อนที่จักรพรรดิจะตรัส ฮองเฮาปฏิเสธก่อน “เสด็จลุงเก้า มิต้องกล่าวอีก ข้าไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”

ก่อนหน้านี้ ตงหลิงจิ่วแสดงความคิดเห็นนี้ไปแล้ว แต่ถูกปฏิเสธโดยฮองเฮา และตอนนี้เขากล่าวอีกครั้งหนึ่ง…….

ตรงกันข้ามกับความต่อต้านของฮองเฮา ตงหลิงจิ่วสงบอย่างมาก ราวกับว่าข้อเสนอนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาเสนอออกมา เขายืนอยู่ที่เดิม โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนและแสดงจุดยืนของเขา

“เฟิ่งชิงเฉินหรือ? นางทำได้หรือ?” จักรพรรดิถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“มิทราบ แต่สามารถลองดูได้” คำตอบของตงหลิงจิ่วค่อนข้างไร้ความรับผิดชอบ

เขาแค่อยากจะต่อต้านฮองเฮา

ในโลกนี้ คนเดียวที่กล้าคุยกับจักรพรรดิแบบนี้คือเสด็จอาเก้า

ฮ่องเต้เงียบ และห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง…

ดวงตาของฮองเฮาลุกโชนด้วยความโกรธ และนางอยากจะสังหารตงหลิงจิ่วเสีย

การให้เฟิ่งชิงเฉินมารักษาตงหลิงจื่อลั่ว เท่ากับว่านางยอมเฟิ่งชิงเฉิน

นางเป็นถึงแม่ของแผ่นดิน นางจะไม่ยอมเสียเกียรตินี้ไปเด็ดขาด

ฮองเฮาพยายามสงบใบหน้าที่ดูน่ากลัวของตนลง และกล่าวต่อตงหลิงจิ่วด้วยความเย็นชาว่า ” เสด็จลงเก้า ลั่วอ๋องเป็นเช่นนี้เพราะช่วยเจ้า เจ้าจะให้หญิงสาวธรรมดาอย่างเฟิ่งชิงเฉินมารักษาอาการของลั่วอ๋องได้อย่างไร? นางมีความสามารถที่จะทำได้หรือ”

นอกจากเกียรติของตนแล้ว ฮองเฮาไม่เชื่อในเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน

ในสายตาของฮองเฮา เฟิ่งชิงเฉินโกรธแค้นตงหลิงจื่อลั่วอย่างแน่นอน แม้ว่าเฟิ่งชิงหลิงจะมีความสามารถนี้จริง แต่ฮองเฮาก็ไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาเขาอย่างแน่นอน เพราะนางกลัวว่า เฟิ่งชิงเฉินจะใช้โอกาสนี้ทำร้ายลั่วอ๋อง

เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนธรรมดาไร้ค่า แต่ลั่วอ๋องไม่เหมือนกัน

ฮ่องเต้ไม่สนใจฮองเฮา แววตาที่แหลมคมของเขามองไปที่ตงหลิงจิ่ว “น้องเก้า เหตุใดเจ้าจึงให้ความสำคัญเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้”

เสด็จอาเก้าเป็นคนที่มาตรฐานสูงอย่างมาก บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถเข้าตาเขาได้ เช่นนั้นอย่าว่าแก่หญิงสาวเลย

เป็นเรื่องปกติที่จักรพรรดิจะสงสัย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท