นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 128 หลานจิ่วชิง เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

มืออันเยือกเย็นแต่ช่างละเอียดอ่อน ทว่าไม่เหมือนกับไร้กระดูกของเขาจับไปที่นาง ทำให้รู้สึกเสียดายไม่อยากให้วางมือลง

นิ้วมือเรียวยาวของเฟิ่งชิงเฉินขาวผ่อง ไม่ได้บอบบางดูเหมือนผู้ที่ไม่เคยแตะต้องสิ่งใด มือของเฟิ่งชิงเฉินมีเรี่ยวแรงค่อนข้างมาก ที่นิ้วของนางเต็มไปด้วยบาดแผลริ้วรอยเห็นได้ชัดว่าเป็นมือคู่ที่ทำงานมาอย่างหนัก

“หลานจิ่วชิง ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”

เมื่อรู้ว่าผู้ที่เดินทางมาเป็นใคร เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้รู้สึกประหม่าเท่าไหร่นัก นางชักมือกลับท่ามกลางความมืด แล้วลุกขึ้น สบตากับหลานจิ่วชิง

ดวงตาของนางช่างดุร้าย ดูไม่เหมือนกับผู้ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเลย

ไม่ว่าจะเป็นสตรีนางใด เพียงแค่ตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่ามีชายหนุ่มนั่งอยู่ด้านข้าง คาดว่าคงไม่อาจยิ้มแย้มอย่างมีความสุขได้

โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนใจกล้าหาญ หากเป็นคนทั่วไปล่ะก็คงจะตกใจตายไปแล้ว

หลานจิ่วชิงเป็นเหมือนกับวิญญาณที่ไร้รูปไร้เสียง

“มือของเจ้าเป็นอะไรไป?”

“ข้าไม่ระวังเอง” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกหก แต่นางก็ไม่ตั้งใจจะอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อเขา นางคอยหลังไปอย่างช้าๆ ตั้งใจจะเว้นระยะห่างทั้งสองคน

ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ชายหนุ่มหญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงเดียวกัน นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น

เพราะมนุษย์เพศชายล้วนใช้ร่างกายส่วนล่างในการคิด แม้นางจะไม่อยากแต่งงาน แต่ก็ไม่ต้องการจะทำลายความบริสุทธิ์ของตนเอง

หลานจิ่วชิงขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่เห็นมัน เมื่อพบว่าหลานจิ่วชิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลา เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือ?”

เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้า แต่นางไม่ได้กลิ่นคาวเลือดแต่อย่างใด

“เปล่า ข้าจำเป็นต้องบาดเจ็บเท่านั้นจึงจะมาหาเจ้าได้หรือ?” หลานจิ่วชิงยังคงติดใจอยู่ในเรื่องที่นางตั้งใจจะเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองและเรื่องการบาดเจ็บที่ข้อมือของเฟิ่งชิงเฉิน

แต่เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการจะกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ เขาจึงไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ

“เจ้าไม่ได้บาดเจ็บแล้วมาหาข้าทำไม ดึกดื่นเช่นนี้ ทำเอาข้าตกใจแทบแย่” นางเป็นหมอ คนปกติดึกดื่นเช่นนี้ไม่มีธุระจะมาหาหมอทำไม หากไม่ได้บาดเจ็บ?

แค่กๆ……

หลานจิ่วชิงมองไปทางอื่นอย่างไม่สบายใจเท่าไรนัก

จะให้เขาบอกกับเฟิ่งชิงเฉินหรือว่า

เป็นเพราะคืนนี้เขานอนไม่หลับ ไม่รู้จะทำอะไร จึงได้เดินทางมาที่จวนเฟิ่งของนาง

เหตุผลนี้อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็คงยังไม่เชื่อ

“ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเข้าไปในพระราชวัง” หลานจิ่วชิงเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างชาญฉลาด

“อืม” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าด้วยความระมัดระวัง

นางมีความรู้สึกว่าหลานจิ่วชิงไม่ธรรมดา ไม่รอให้หลานจิ่วชิงเอ่ยถามสิ่งใดขึ้นมาอีก นางก็ได้กล่าวขึ้นว่า “อย่าได้เอ่ยถามข้าว่าพบสิ่งใดและเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ข้าไม่บอกและบอกไม่ได้ อีกทั้งไม่อยากโกหกเพื่อให้เจ้าเชื่อ”

หลานจิ่วชิงถูกเฟิ่งชิงเฉินปิดกลั้นเอาไว้จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ เขาทำหน้ามืดมนลง “เจ้าคิดว่าข้ามาเพื่อจะเอ่ยถามเจ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวัง?”

น่าเสียดายเหลือเกินที่ท้องฟ้าช่างมืดมิด อีกทั้งเขายังสวมหน้ากากอยู่จึงทำให้ไม่อาจเห็นหน้าได้

“หากไม่ใช่ แล้วเจ้ามาเพื่อสิ่งใด?”

……

หลานจิ่วชิงได้แต่กลอกตามอง

“ไม่มีธุระ ข้าจะมาไม่ได้หรือ?”

ในเมื่อไหนๆ ก็มาแล้วควรจะทำอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นคงจะเสียเวลาเปล่า

“ยื่นมือออกมา” หลานจิ่วชิงไม่อยากจะสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินไปมากกว่านี้ เขาชี้ไปที่มือของเฟิ่งชิงเฉินทั้งสองข้างซึ่งซุกอยู่ในผ้าห่ม

“เจ้าจะทำสิ่งใด?”

จะตัดมือนางทั้งสองข้างหรือ?

“วางใจเถิด ข้าไม่ทำให้มือของเจ้าต้องเสียโฉมหรอก” หลานจิ่วชิงพูดด้วยใบหน้าอันมืดมน

สตรีผู้นี้ไม่เห็นใจผู้มีน้ำใจต่อนางเลย

แขนยาวของเขาเหยียดออกไปไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยินยอมหรือไม่ เขาได้เอื้อมมือไปจับมือของเฟิ่งชิงเฉินมาโดยตรง

“โอ้ย……” เฟิ่งชิงเฉินล้มลง หากไม่ใช่เพราะมือของหลานจิ่วชิงเข้ามารับเอาไว้ได้ คาดว่านางคงจะตกเตียงไปแล้ว

“หุบปาก เจ้าต้องการดึงดูดคนอื่นๆ มาหรือ? รังเกียจที่ชื่อเสียงของเจ้างดงามเกินไปหรือไร?”

เขากล่าวพลางนวดมือให้แก่เฟิ่งชิงเฉินเบาๆ

เฟิ่งชิงเฉินกำลังครุ่นคิดว่าจะกล่าวสิ่งใดออกไปดี แต่จู่ๆ ความรู้สึกชาและอบอุ่นก็สัมผัสได้จากปลายนิ้ว

“เจ้า……” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองหลานจิ่วชิงด้วยความประหลาดใจ

ผู้ชายคนนี้มาที่นี่กลางดึกกลางดื่นเพื่อนวดมือให้นางหรือ?

นางไม่เชื่อหรอก……

“ข้าทำไม เอามืออีกข้างมา!”

ภายใต้หน้ากากสีเงินนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น่าเสียดายที่สตรีตรงหน้านี้มองไม่เห็นมัน

……

หลานจิ่วชิงเดินทางมาอย่างกะทันหันและจากไปอย่างประหลาด

ค่ำคืนนั้น นอกจากนวดมือให้เฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเลย

ในบรรยากาศเช่นนี้เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน

นางยังคงกลัวว่าจะมีข่าวลือเรื่องเฟิ่งชิงเฉินคบชู้เล่นชายอะไรทำนองนั้นออกไปอีก

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไประหว่างทั้งสองคน แต่นางก็ไม่รู้ว่ามันแปลกไปตรงไหน ประกอบกับมือทั้งสองข้างถูกเขาจับเอาไว้ อืม…… เอาเถอะ ที่สำคัญก็คือทักษะการนวดของหลานจิ่วชิงนั้นยอดเยี่ยม และมือของนางก็เจ็บปวดจริงๆ จนไม่อยากจะชักมือกลับ

เวลาดำเนินไปจนกระทั่งรุ่งสาง หลานจิ่วชิงจึงได้ปล่อยมือนางแล้วกล่าวว่าเขาจะไปแล้ว นางจึงได้สติคืนมาอีกทั้งเข้าใจว่า มีอะไรผิดปกติไป

ทั้งสองใช้เตียงร่วมกัน!

อย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย แม้แต่สมัยนี้ หากไม่ใช่ผู้ชายที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน นั่งอยู่บนเตียงของหญิงสาวทั้งคืน ก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาทแล้ว นับภาษาไรกับยุคโบราณเช่นนี้

ตุ้บ……

เมื่อปลายเท้าของหลานจิ่วชิงสัมผัสลงที่พื้น เฟิ่งชิงเฉินก็รีบห่อหุ้มผ้าห่มและกลิ้งไปบนเตียง

หลานจิ่วชิงเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!

ต่อให้ข้าจะมีชื่อเสียงที่ย่ำแย่เพียงไร แต่เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ หากเผยแพร่ออกไปขาดจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ตุ้บๆๆ……

เฟิ่งชิงเฉินใช้ขาเหยียบไปที่พื้นกระดาน จินตนาการว่ากระดานนั้นคือหลานจิ่วชิงเเละกระทืบอย่างสุดแรง

อ๊ากๆๆ……

นางไปหาเรื่องใครเข้านี่ คนที่มองนางไม่ดีและไม่เคยปฏิบัติต่อนางเช่นสตรี

ฮือๆๆ……

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก จนกระทั่งโจวสิงเดินทางมาเคาะประตู

“ใคร?” วันนี้นางไม่อยากตื่นและอารมณ์ค่อนข้างรุนแรง

โจวสิงค่อนข้างคุ้นชินแล้ว แต่เขาก็ยังบ่นพึมพำออกมาบ้างเล็กน้อย สตรีเช่นเฟิ่งชิงเฉินนี้ชายใดเล่าจะทนได้ ชีวิตนี้ของนางคงจะต้องอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้

“พี่ มีคนมาหา”

“มาแล้ว” แม้จะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อ

เฟิ่งชิงเฉินพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียงสวมเสื้อผ้าแล้วเอื้อมไปหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งมามัดผมอย่างลวกๆ หลังจากจัดแจงเรียบร้อยนางจึงได้เปิดประตูออกไป

“ใครกันเดินทางมาหาข้าแต่เช้า? จะไม่ให้หลับให้นอนกันเลยหรือไร” เฟิ่งชิงเฉินยังคงรู้สึกหงุดหงิดดังเดิม

นับตั้งแต่เทศกาลดอกท้อเป็นต้นมา ชีวิตของนางก็พบกับปัญหามากมายทั้งน้อยใหญ่

“คนจากตระกูลเซี่ย” โจวสิงยื่นหนังสือเชิญมาให้เฟิ่งชิงเฉิน “เซี่ยฮูหยินจัดงานกวีขึ้นและเชิญพี่เดินทางไปร่วม”

“ตระกูลเซี่ย? ข้าไม่ไป” เฟิ่งชิงเฉินไม่แม้แต่จะชายตามอง “อ้อจริงสิ ผู้ที่มาส่งสารเชิญของตระกูลเซี่ยคือผู้ใด?”

นางแปลกใจยิ่งนัก ตระกูลเซี่ยจะมีใครอยากเดินทางมาที่จวนเฟิ่งอีก?

“คุณชายสามแห่งจวนเซี่ย”

“ก็คงจะมีเพียงเขานั่นละ” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าตอบรับ

โจวสิงเห็นว่าสีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูไม่ดี ก็กลัวว่านางจะทำเรื่องได้อย่างไม่ยั้งคิด เขาจึงกล่าวเตือนว่า “ท่านพี่ ตระกูลเซี่ยมีกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอยู่ในพระราชวังคนหนึ่ง”

เป็นความหมายว่า นางไม่ควรจะหาเรื่องตระกูลเซี่ย

เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา โจวสิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่นางจะไม่เหยียบเข้าไปในตระกูลเซี่ยเด็ดขาด

“เจ้าจงไปบอกกับคุณชายสามตระกูลเซี่ยว่า เมื่อวานนี้ข้าตกน้ำและป่วย จึงไปไม่ได้”

เมื่อกล่าวจบ นางก็มองข้ามโจวสิงแล้วเดินจากไป

เรื่องเหตุการณ์เมื่อวานนี้ จากความสามารถของตระกูลเซี่ยคาดว่าคงจะรู้ดี

“ทำเช่นนี้ดีหรือ?”

น่าเสียดายเหลือเกินที่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกดีต่อตระกูลเซี่ยแต่อย่างใด นางเดินไปล้างหน้าล้างตาและรับประทานอาหารเช้า

อาหารเช้าก็คือโจ๊กพุทราและต้มเลือดหมู

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ทำสีหน้ามืดมน นี่มันเกินไปหน่อยหรือไม่?

เอาเถอะ แต่สองสามวันนี้นางควรจะกินอย่างว่าง่าย

บำรุงเลือด นางต้องบำรุงเลือด!

……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท