มืออันเยือกเย็นแต่ช่างละเอียดอ่อน ทว่าไม่เหมือนกับไร้กระดูกของเขาจับไปที่นาง ทำให้รู้สึกเสียดายไม่อยากให้วางมือลง
นิ้วมือเรียวยาวของเฟิ่งชิงเฉินขาวผ่อง ไม่ได้บอบบางดูเหมือนผู้ที่ไม่เคยแตะต้องสิ่งใด มือของเฟิ่งชิงเฉินมีเรี่ยวแรงค่อนข้างมาก ที่นิ้วของนางเต็มไปด้วยบาดแผลริ้วรอยเห็นได้ชัดว่าเป็นมือคู่ที่ทำงานมาอย่างหนัก
“หลานจิ่วชิง ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”
เมื่อรู้ว่าผู้ที่เดินทางมาเป็นใคร เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้รู้สึกประหม่าเท่าไหร่นัก นางชักมือกลับท่ามกลางความมืด แล้วลุกขึ้น สบตากับหลานจิ่วชิง
ดวงตาของนางช่างดุร้าย ดูไม่เหมือนกับผู้ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเลย
ไม่ว่าจะเป็นสตรีนางใด เพียงแค่ตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่ามีชายหนุ่มนั่งอยู่ด้านข้าง คาดว่าคงไม่อาจยิ้มแย้มอย่างมีความสุขได้
โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนใจกล้าหาญ หากเป็นคนทั่วไปล่ะก็คงจะตกใจตายไปแล้ว
หลานจิ่วชิงเป็นเหมือนกับวิญญาณที่ไร้รูปไร้เสียง
“มือของเจ้าเป็นอะไรไป?”
“ข้าไม่ระวังเอง” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกหก แต่นางก็ไม่ตั้งใจจะอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อเขา นางคอยหลังไปอย่างช้าๆ ตั้งใจจะเว้นระยะห่างทั้งสองคน
ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ชายหนุ่มหญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงเดียวกัน นางเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
เพราะมนุษย์เพศชายล้วนใช้ร่างกายส่วนล่างในการคิด แม้นางจะไม่อยากแต่งงาน แต่ก็ไม่ต้องการจะทำลายความบริสุทธิ์ของตนเอง
หลานจิ่วชิงขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่เห็นมัน เมื่อพบว่าหลานจิ่วชิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลา เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้า แต่นางไม่ได้กลิ่นคาวเลือดแต่อย่างใด
“เปล่า ข้าจำเป็นต้องบาดเจ็บเท่านั้นจึงจะมาหาเจ้าได้หรือ?” หลานจิ่วชิงยังคงติดใจอยู่ในเรื่องที่นางตั้งใจจะเว้นระยะห่างระหว่างทั้งสองและเรื่องการบาดเจ็บที่ข้อมือของเฟิ่งชิงเฉิน
แต่เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการจะกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ เขาจึงไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ
“เจ้าไม่ได้บาดเจ็บแล้วมาหาข้าทำไม ดึกดื่นเช่นนี้ ทำเอาข้าตกใจแทบแย่” นางเป็นหมอ คนปกติดึกดื่นเช่นนี้ไม่มีธุระจะมาหาหมอทำไม หากไม่ได้บาดเจ็บ?
แค่กๆ……
หลานจิ่วชิงมองไปทางอื่นอย่างไม่สบายใจเท่าไรนัก
จะให้เขาบอกกับเฟิ่งชิงเฉินหรือว่า
เป็นเพราะคืนนี้เขานอนไม่หลับ ไม่รู้จะทำอะไร จึงได้เดินทางมาที่จวนเฟิ่งของนาง
เหตุผลนี้อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็คงยังไม่เชื่อ
“ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเข้าไปในพระราชวัง” หลานจิ่วชิงเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างชาญฉลาด
“อืม” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าด้วยความระมัดระวัง
นางมีความรู้สึกว่าหลานจิ่วชิงไม่ธรรมดา ไม่รอให้หลานจิ่วชิงเอ่ยถามสิ่งใดขึ้นมาอีก นางก็ได้กล่าวขึ้นว่า “อย่าได้เอ่ยถามข้าว่าพบสิ่งใดและเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ข้าไม่บอกและบอกไม่ได้ อีกทั้งไม่อยากโกหกเพื่อให้เจ้าเชื่อ”
หลานจิ่วชิงถูกเฟิ่งชิงเฉินปิดกลั้นเอาไว้จนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ เขาทำหน้ามืดมนลง “เจ้าคิดว่าข้ามาเพื่อจะเอ่ยถามเจ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวัง?”
น่าเสียดายเหลือเกินที่ท้องฟ้าช่างมืดมิด อีกทั้งเขายังสวมหน้ากากอยู่จึงทำให้ไม่อาจเห็นหน้าได้
“หากไม่ใช่ แล้วเจ้ามาเพื่อสิ่งใด?”
……
หลานจิ่วชิงได้แต่กลอกตามอง
“ไม่มีธุระ ข้าจะมาไม่ได้หรือ?”
ในเมื่อไหนๆ ก็มาแล้วควรจะทำอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นคงจะเสียเวลาเปล่า
“ยื่นมือออกมา” หลานจิ่วชิงไม่อยากจะสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินไปมากกว่านี้ เขาชี้ไปที่มือของเฟิ่งชิงเฉินทั้งสองข้างซึ่งซุกอยู่ในผ้าห่ม
“เจ้าจะทำสิ่งใด?”
จะตัดมือนางทั้งสองข้างหรือ?
“วางใจเถิด ข้าไม่ทำให้มือของเจ้าต้องเสียโฉมหรอก” หลานจิ่วชิงพูดด้วยใบหน้าอันมืดมน
สตรีผู้นี้ไม่เห็นใจผู้มีน้ำใจต่อนางเลย
แขนยาวของเขาเหยียดออกไปไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยินยอมหรือไม่ เขาได้เอื้อมมือไปจับมือของเฟิ่งชิงเฉินมาโดยตรง
“โอ้ย……” เฟิ่งชิงเฉินล้มลง หากไม่ใช่เพราะมือของหลานจิ่วชิงเข้ามารับเอาไว้ได้ คาดว่านางคงจะตกเตียงไปแล้ว
“หุบปาก เจ้าต้องการดึงดูดคนอื่นๆ มาหรือ? รังเกียจที่ชื่อเสียงของเจ้างดงามเกินไปหรือไร?”
เขากล่าวพลางนวดมือให้แก่เฟิ่งชิงเฉินเบาๆ
เฟิ่งชิงเฉินกำลังครุ่นคิดว่าจะกล่าวสิ่งใดออกไปดี แต่จู่ๆ ความรู้สึกชาและอบอุ่นก็สัมผัสได้จากปลายนิ้ว
“เจ้า……” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองหลานจิ่วชิงด้วยความประหลาดใจ
ผู้ชายคนนี้มาที่นี่กลางดึกกลางดื่นเพื่อนวดมือให้นางหรือ?
นางไม่เชื่อหรอก……
“ข้าทำไม เอามืออีกข้างมา!”
ภายใต้หน้ากากสีเงินนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น่าเสียดายที่สตรีตรงหน้านี้มองไม่เห็นมัน
……
หลานจิ่วชิงเดินทางมาอย่างกะทันหันและจากไปอย่างประหลาด
ค่ำคืนนั้น นอกจากนวดมือให้เฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเลย
ในบรรยากาศเช่นนี้เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน
นางยังคงกลัวว่าจะมีข่าวลือเรื่องเฟิ่งชิงเฉินคบชู้เล่นชายอะไรทำนองนั้นออกไปอีก
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไประหว่างทั้งสองคน แต่นางก็ไม่รู้ว่ามันแปลกไปตรงไหน ประกอบกับมือทั้งสองข้างถูกเขาจับเอาไว้ อืม…… เอาเถอะ ที่สำคัญก็คือทักษะการนวดของหลานจิ่วชิงนั้นยอดเยี่ยม และมือของนางก็เจ็บปวดจริงๆ จนไม่อยากจะชักมือกลับ
เวลาดำเนินไปจนกระทั่งรุ่งสาง หลานจิ่วชิงจึงได้ปล่อยมือนางแล้วกล่าวว่าเขาจะไปแล้ว นางจึงได้สติคืนมาอีกทั้งเข้าใจว่า มีอะไรผิดปกติไป
ทั้งสองใช้เตียงร่วมกัน!
อย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย แม้แต่สมัยนี้ หากไม่ใช่ผู้ชายที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน นั่งอยู่บนเตียงของหญิงสาวทั้งคืน ก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาทแล้ว นับภาษาไรกับยุคโบราณเช่นนี้
ตุ้บ……
เมื่อปลายเท้าของหลานจิ่วชิงสัมผัสลงที่พื้น เฟิ่งชิงเฉินก็รีบห่อหุ้มผ้าห่มและกลิ้งไปบนเตียง
หลานจิ่วชิงเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!
ต่อให้ข้าจะมีชื่อเสียงที่ย่ำแย่เพียงไร แต่เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ หากเผยแพร่ออกไปขาดจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ตุ้บๆๆ……
เฟิ่งชิงเฉินใช้ขาเหยียบไปที่พื้นกระดาน จินตนาการว่ากระดานนั้นคือหลานจิ่วชิงเเละกระทืบอย่างสุดแรง
อ๊ากๆๆ……
นางไปหาเรื่องใครเข้านี่ คนที่มองนางไม่ดีและไม่เคยปฏิบัติต่อนางเช่นสตรี
ฮือๆๆ……
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก จนกระทั่งโจวสิงเดินทางมาเคาะประตู
“ใคร?” วันนี้นางไม่อยากตื่นและอารมณ์ค่อนข้างรุนแรง
โจวสิงค่อนข้างคุ้นชินแล้ว แต่เขาก็ยังบ่นพึมพำออกมาบ้างเล็กน้อย สตรีเช่นเฟิ่งชิงเฉินนี้ชายใดเล่าจะทนได้ ชีวิตนี้ของนางคงจะต้องอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้
“พี่ มีคนมาหา”
“มาแล้ว” แม้จะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อ
เฟิ่งชิงเฉินพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียงสวมเสื้อผ้าแล้วเอื้อมไปหยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งมามัดผมอย่างลวกๆ หลังจากจัดแจงเรียบร้อยนางจึงได้เปิดประตูออกไป
“ใครกันเดินทางมาหาข้าแต่เช้า? จะไม่ให้หลับให้นอนกันเลยหรือไร” เฟิ่งชิงเฉินยังคงรู้สึกหงุดหงิดดังเดิม
นับตั้งแต่เทศกาลดอกท้อเป็นต้นมา ชีวิตของนางก็พบกับปัญหามากมายทั้งน้อยใหญ่
“คนจากตระกูลเซี่ย” โจวสิงยื่นหนังสือเชิญมาให้เฟิ่งชิงเฉิน “เซี่ยฮูหยินจัดงานกวีขึ้นและเชิญพี่เดินทางไปร่วม”
“ตระกูลเซี่ย? ข้าไม่ไป” เฟิ่งชิงเฉินไม่แม้แต่จะชายตามอง “อ้อจริงสิ ผู้ที่มาส่งสารเชิญของตระกูลเซี่ยคือผู้ใด?”
นางแปลกใจยิ่งนัก ตระกูลเซี่ยจะมีใครอยากเดินทางมาที่จวนเฟิ่งอีก?
“คุณชายสามแห่งจวนเซี่ย”
“ก็คงจะมีเพียงเขานั่นละ” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าตอบรับ
โจวสิงเห็นว่าสีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูไม่ดี ก็กลัวว่านางจะทำเรื่องได้อย่างไม่ยั้งคิด เขาจึงกล่าวเตือนว่า “ท่านพี่ ตระกูลเซี่ยมีกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอยู่ในพระราชวังคนหนึ่ง”
เป็นความหมายว่า นางไม่ควรจะหาเรื่องตระกูลเซี่ย
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา โจวสิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่นางจะไม่เหยียบเข้าไปในตระกูลเซี่ยเด็ดขาด
“เจ้าจงไปบอกกับคุณชายสามตระกูลเซี่ยว่า เมื่อวานนี้ข้าตกน้ำและป่วย จึงไปไม่ได้”
เมื่อกล่าวจบ นางก็มองข้ามโจวสิงแล้วเดินจากไป
เรื่องเหตุการณ์เมื่อวานนี้ จากความสามารถของตระกูลเซี่ยคาดว่าคงจะรู้ดี
“ทำเช่นนี้ดีหรือ?”
น่าเสียดายเหลือเกินที่เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกดีต่อตระกูลเซี่ยแต่อย่างใด นางเดินไปล้างหน้าล้างตาและรับประทานอาหารเช้า
อาหารเช้าก็คือโจ๊กพุทราและต้มเลือดหมู
เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ทำสีหน้ามืดมน นี่มันเกินไปหน่อยหรือไม่?
เอาเถอะ แต่สองสามวันนี้นางควรจะกินอย่างว่าง่าย
บำรุงเลือด นางต้องบำรุงเลือด!
……