ตระกูลเซี่ยมีกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคนหนึ่ง แต่กุ้ยเฟยผู้นี้เข้าไปอยู่ในพระราชวังนานถึงเจ็ดปีแล้วกลับไม่ให้กำเนิดบุตรธิดาแต่อย่างใด หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นหมอผู้โด่งดังหรือวิธีการรักษาใดๆ ตระกูลเซี่ยล้วนหามาจนสิ้นแต่ก็ไร้ผล
ทุกคนในตระกูลเซี่ยต่างพากันรีบร้อน
บัดนี้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงได้รับความรักไม่น้อย แต่บรรดาสตรีในวังหลังหากไม่มีโอรสจะได้รับความรักอีกนานเท่าไหร่?
เมื่อมีหญิงสาวอายุน้อยและหน้าตางดงามกว่าเข้าไปในพระราชวัง จะยังคงได้รับความรักอยู่หรือ
แม้จะกล่าวว่าบัดนี้บรรดาองค์ชายล้วนเติบใหญ่แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าให้กำเนิดองค์ชายขึ้นอีกในเวลานี้แล้วจะไม่มีโอกาสขึ้นต่อสู้ตำแหน่งนั้น
บัดนี้องค์จักรพรรดิอายุเพียงสี่สิบต้นๆ พระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ สามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ได้อีกนับสิบปีโดยไม่มีปัญหา
หากว่าเซี่ยกุ้ยเฟยให้กำเนิดโอรสขึ้นมาได้ และเนื่องด้วยยังอายุน้อยจึงไม่ถูกองค์จักรพรรดิสงสัยแต่อย่างใด หลังจากเวลาผ่านไปสิบกว่าปี เมื่อองค์ชายเติบใหญ่ก็มีอำนาจในการแย่งชิงตำแหน่งนั้นเช่นกัน
อย่าเห็นว่าบัดนี้องค์จักรพรรดิทรงเอ็นดูลั่วอ๋อง หากว่าองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ ลั่วอ๋องขึ้นเป็นใหญ่ องค์จักรพรรดิก็คงคิดป้องกันเขา
ตระกูลในราชวังนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกและโหดเหี้ยม การที่องค์จักรพรรดิสนับสนุนลั่วอ๋องก็เพียงแค่ต้องการจะจัดการกับองค์รัชทายาทเท่านั้น ต้องการทดสอบเสด็จอาก้าวเท่านั้นเอง
อย่าคิดว่าเป็นเพียงงานกวีเล็กๆ แต่ภายในนั้นมีความลับมากมายซ่อนอยู่
ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินไม่อาจจะตัดขาดจากพระราชวงศ์ได้ นางก็คงไม่อาจจะหลบหนี
หวังจิ่นหลิงหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าไปในแวดวงนี้ มีเพียงเท่านี้จึงจะทำให้นางเข้าใจและเดินไปได้ไกลกว่าเดิม
เฟิ่งชิงเฉินต้องใช้โอกาสนี้ในการบุกเข้าไปปูทางในโลกกว้าง จวนเซี่ยต้องการจะผูกมิตรกับนาง ต้องการใช้ทักษะทางการแพทย์ของนางทำให้ตระกูลเซี่ยรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
แต่ละคนล้วนมีกระดานหมากที่ตั้งใจเอาไว้เป็นของตนเอง เพียงแค่วางหมากให้ดี ล้วนเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน
ชนชั้นสูง อำนาจของจักรพรรดิ สิ่งเหล่านี้หวังจิ่นหลิงไม่เคยคิดใส่ใจในตอนที่ดวงตาเขายังบอด แต่ทว่าบัดนี้ดวงตาเขารักษาหายดีแล้ว จะใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ เช่นเมื่อก่อนไม่ได้
เขาเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหวัง เขาได้รับความมั่งคั่งและเกียรติยศมากมายจากการที่ได้ใช้นามสกุลหวังมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องทุ่มเทเพื่อตระกูลหวัง
บุคคลภายนอกที่คิดว่าเขาเป็นคุณชายคนโตของตระกูลหวัง คงจะมีแต่ความรุ่งโรจน์ ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะต้องทุ่มเทมากมายเพียงใดเพื่อตระกูล
การโน้มน้าวใจของหวังจิ่นหลิงค่อนข้างจะได้ผล หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดดูแล้วนางก็ไม่ได้คิดปฏิเสธอีกต่อไป เมื่อสถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้น ชีวิตของนางก็ดีขึ้นมากเช่นกัน ดังนั้นงานเลี้ยงกวีเหล่านี้จะหนีตลอดไปคงไม่ได้
ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไปร่วมงานกวี เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้รีรอ นางเดินทางออกไปจากเรือนพักของหวังจิ่นหลิง ตรงไปที่ห้องโถงหวังว่าเซี่ยซานยังอยู่ที่นี่
“โจวสิง เจ้าจงไปบอกกับเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้งว่างานกวีนี้สำคัญยิ่งนักนางจำเป็นต้องเข้าร่วม” ท่าทางของเซี่ยซานดูกระตือรือร้น
“โจวสิง เจ้าให้ข้าไปพบกับเฟิ่งชิงเฉินได้หรือไม่ ให้ข้าโน้มน้าวใจนางด้วยตนเอง งานกวีครั้งนี้สำคัญยิ่งนักสำหรับนาง ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมองตระกูลเซี่ยเช่นไร แต่ข้าก็ไม่อยากจะให้นางพลาดโอกาสนี้ไป พลาดโอกาสที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงของนางขึ้นมาได้ ต้องรู้ว่าหากครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธตระกูลเซี่ย ครั้งต่อๆ ไปคงจะไม่มีจดหมายมาเชิญเฟิ่งชิงเฉินอีกแล้ว”
เซี่ยซานยื่นจดหมายเชิญฉบับนั้นไปให้โจวสิงด้วยแววตาอ้อนวอน
หากไม่ใช่เพราะว่าตระกูลเซี่ยทำผิดต่อเฟิ่งชิงเฉินละก็ คุณชายสามเช่นเขาผู้มีเกียรติจะยอมทำท่าทางต่ำต้อยเช่นนี้หรือ?
“คุณชายสาม พี่สาวของข้าตกน้ำและเป็นไข้ นางไม่สะดวกจะพบผู้ใด” โจวสิงยังคงปฏิเสธอย่างถ่อมตน พร้อมกับผลักหนังสือเชิญนั้นกลับไป
“งานกวีนี้เพื่อร่วมมือกับหวังจิ่นหลิง จึงจัดหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน และหลังจากนี้เจ็ดวันไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินป่วยเป็นอะไรคงหายแล้ว” เซี่ยซานรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก
และนี่ก็เพราะว่าเป็นเขา หากเป็นคนอื่นๆ ล่ะก็ได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมไปก็คงจะดึงหนังสือเชิญแล้วกลับไปทันทีโดยไม่สนใจเฟิ่งชิงเฉินแม้แต่น้อย
งานกวีเช่นนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าร่วมได้ การที่มอบหนังสือเชิญมา นับว่าเป็นการยอมรับบุคคลคนนั้น
หากจะพูดง่ายๆ ก็คือ ตระกูลเซี่ยมอบหนังสือเชิญนี้มาให้เฟิ่งชิงเฉินก็เพื่อไว้หน้าเฟิ่งชิงเฉิน ไม่อย่างนั้นจากชื่อเสียงของนาง และสถานการณ์ของตระกูลเฟิ่ง ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาดวงตาของหวังจิ่นหลิงจนหายก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานกวีเช่นนี้
“คุณชายสาม พี่สาวของข้านั้น……”
“ขอบพระคุณคุณชายสามเป็นยิ่งนัก อีกเจ็ดวันงานกวีนี้คาดจะเข้าร่วมอย่างแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงออกมาแล้วรับหนังสือเชิญจากบนโต๊ะไป
“ท่านพี่?” โจวสิงรู้สึกสงสัยยิ่งนัก ผ่านไปเพียงเวลาเท่าไหร่เอง เฟิ่งชิงเฉินกลับเปลี่ยนใจอย่างนั้นหรือ
“ข้ารู้ตัวข้าดี”
“เจ้าอย่าได้บังคับฝืนตัวเอง” โจวสิงส่งสัญญาณไปด้วยสายตา
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะขึ้นแต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ฝืนอะไรกันเล่า การที่เซี่ยฮูหยินให้หนังสือเชิญนั้นมา คาดว่าคงไม่กล้าจะทำอะไรนาง เพราะถึงอย่างไรเซี่ยฮูหยินก็คงจะไม่ได้เป็นเหมือนองค์หญิงอันผิงที่เย่อหยิ่งไร้ศีลธรรม
“เฟิ่งชิงเฉินเจ้าคิดมากไปแล้ว ในงานกวีจะไม่มีผู้ใดทำให้เจ้าต้องรู้สึกอับอาย” เมื่อเซี่ยซานเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินตอบรับ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ข้าก็หวังว่าเช่นนั้น” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อยากจะมีความหวังในส่วนนี้นัก เนื่องจากแม้เซี่ยฮูหยินจะไม่ทำ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่ทำด้วย
คงต้องมีคนทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่นางจะไม่เอามันมาใส่ใจ แม้จะยากสักเพียงใดก็คงไม่ยากเย็นเท่าตอนเทศกาลดอกท้อหรอกกระมัง
“เจ้าวางใจเถิด มีข้าและหวังชีอยู่ที่นั่นด้วย อีกทั้งยังมีคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง พวกเราทั้งสามคนจะเป็นภูเขากำบังให้เจ้า ดูสิว่าใครจะกล้ารังแกเจ้าอีก เฟิ่งชิงเฉินข้าจะบอกเจ้าให้ว่าที่งานกวีนั้น……”
ปึงๆๆ……
ในขณะที่เซี่ยซานกำลังจะเล่าให้เฟิ่งชิงเฉินฟังถึงเรื่องในงานประชุมกวี ประตูก็ถูกเคาะขึ้นขัดจังหวะ
“ใครกันรุนแรงเช่นนี้?”
เซี่ยซานหยุดคำพูดของเขาลงอย่างหงุดหงิด โจวสิงเดินตรงไปที่ด้านนอก แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงธรณีประตู ก็ได้ยินเสียงดังปึง ประตูของจวนเฟิ่งถูกถีบออกกระเด็น
เอ่อ……
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูมืดมนลง
ผู้ที่รุนแรงโหดร้ายเช่นนี้ นอกจากอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้วจะมีใครอื่นอีก
เป็นจริงดังนั้น อวี่เหวินหยวนฮั่วเดินตรงเข้ามาด้วยชุดลำลอง ข้างกายเขามีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง ที่ด้านหลังมีชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ
ทั้งสองคนนี้ท่าทางการเดินดูมีสง่าราศี แค่มองก็รู้ว่าเป็นทหาร ดูจากใบหน้าของทั้งสองคนแล้วคาดว่าคงจะเป็นพ่อลูกกัน
“เฟิ่งชิงเฉินเจ้าอยู่หรือ? เหตุใดข้าเคาะประตูอยู่เนิ่นนานจึงไม่มีคนเปิด” เมื่ออวี่เหวินหยวนฮั่วเดินตรงเข้ามา ก็กล่าวอย่างโพงพาง
อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเช่นตนเองเป็นคนนอกเลย
โจวสิงได้แต่น้ำตาตกใน……
ท่านแม่ทัพอวี่เหวิน ท่านต้องให้โอกาสคนอื่นบ้าง
“อวี่เหวินหยวนฮั่ว เจ้ามาหาข้ามีธุระหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ทำท่าทางเกรงอกเกรงใจกับเขาและเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นพวกเขา” อวี่เหวินหยวนฮั่วชี้ไปที่คนข้างหลังทั้งสอง
“คุณหนูเฟิ่งขอรับ” ทั้งสองคนทำความเคารพเช่นทหารให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน
“ทหารของเจ้า?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกงุนงง
“เจ้ามีตาหามีแววไม่ นี่คือแม่ทัพเว่ย ผู้ที่เคยต่อสู้ร่วมกับบิดาของเจ้าที่ซีหลิง บัดนี้ปลดประจำการแล้วและทำงานอยู่ในกรมกลาโหม”
นั่นหมายความว่าเป็นเเม่ทัพในนามเท่านั้น จะว่าไปก็คงเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ร่วมออกต่อสู้กับนายพลเฟิ่งที่ซีหลิง หากไม่ได้ตายในหน้าที่ก็ถูกลดระดับ คาดว่านายพลเว่ยผู้นี้คงจะเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์นั้นด้วย
“คารวะแม่ทัพเว่ย เฟิ่งชิงเฉินมีตาหามีแววไม่ ขอท่านแม่ทัพโปรดให้อภัย” เฟิ่งชิงเฉินรีบกล่าวขอโทษ
แต่นางก็ไม่เข้าใจว่าแม่ทัพเว่ยที่อวี่เหวินหยวนฮั่วพามา จะเดินทางมาหานางเรื่องใด
เกี่ยวกับบิดาของนางหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินใช้สายตาถามไปที่อวี่เหวินหยวนฮั่ว แต่อวี่เหวินหยวนฮั่วกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจถึงความหมายจากสายตาเฟิ่งชิงเฉินหรือว่าไม่เกี่ยวข้องกันแน่……