ตงหลิงจื่อลั่วเองก็มิได้เอ่ยอันใดออกมาเช่นเดียวกัน เขาเพียงแค่มองเฟิ่งชิงเฉินอยู่เช่นนั้น
ทั้งสองเอาแต่เงียบใส่กัน ผู้ใดก็มิยอมถอยให้ตนเอง
“สตรีโง่เง่า เอาแต่หยิ่งยโสเช่นนี้ ย่อมมิตายดี”
“ขวัญกล้าเทียมฟ้า เป็นเพราะลั่วอ๋องมีเมตตามิเอาความกับนาง มิเช่นนั้น นางได้ตายไปร้อยครั้งแล้ว”
“ไร้การอบรมสั่งสอนสิ้นดี เป็นดั่งข่าวลือที่เขาว่าจริง ๆ ทั้งหยาบคายและโง่เง่ายิ่งนัก”
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งเช่นนี้ มิน่าแปลกใจเลยที่ไม่มีผู้ใดต้องการแต่งกับนาง”
หมอหลวงทั้งหมดนั้น พลันก้มหน้ากระซิบกระซาบ ด่าว่าเฟิ่งชิงเฉินมีรู้จักผิดชอบชั่วดี พวกเขาแทบจะอดใจไม่ไหวลากเฟิ่งชิงเฉินออกไปสังหาร
แต่คนพวกนี้ลืมไปแล้วหรือ หากมิใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาย่อมต้องถูกลากออกไปตัดหัวเป็นแน่โดยองค์จักรพรรดิกับฮองเฮาที่กำลังโมโห
เมื่อกลุ่มหมอหลวงเห็นตงจื่อลั่วมิเอ่ยอันใดออกมา ก็นึกผยองได้ใจ เพิ่มเสียงกรนด่าเฟิ่งชิงเฉินเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ทั้งยังเพิ่มความหยาบคายขึ้นมาอีก
เฟิ่งชิงเฉินเองก็คร้านที่จะใส่ใจหมอหลวงพวกนี้นัก เพียงเอาแต่จ้องมองตงหลิงจื่อลั่วเฉย ๆ ครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินจึงเงยหน้าพูดขึ้นมาว่า ” ได้เพคะ แต่ในยามที่หม่อมฉันทำแผลให้พระองค์ หม่อมฉันมิต้องการให้ผู้อื่นอยู่ด้วย หม่อมฉันมิต้องการให้ผู้ใดรบกวน”
เมื่อเห็นว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะมาต่อกรกับตงหลิงจื่อลั่วนั้น อีกทั้ง บาดแผลของเขา เฟิ่งชิงเฉินเอง ก็ไม่อาจทำเป็นไม่สนใจได้ด้วย
ทั้งมีดและด้ายหรือพวกมีดนั้น แค่ดูก็รู้ว่ามิได้ผ่านการฆ่าเชื้อ หากเกิดการอักแสบขึ้นมา บาดแผลเกิดการติดเชื้อจนเป็นหนอง ขาของตงหลิงจื่อลั่วย่อมมิอาจใช้การได้อีก
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากล้านัก ถึงได้ขอร้องคำพูดที่ไม่สมเหตุสมผลออกมาเช่นนี้ ในสายตาของเจ้ายังมีลั่วอ๋องอยู่หรือไม่? ” ตงหลิงจื่อลั่วยังมิทันจะเอ่ยอันใดออกมา หมอหลวงกลุ่มนั้นก็พากันกล่าวหาเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมาในทันที
ที่พวกเขาต้องเปิดแผลตงหลิงจื่อลั้วออกมานั้น ก็เป็นเพราะคำสั่งของฮองเฮาและลั่วอ๋อง ที่ไม่เชื่อใจในเฟิ่งชิงเฉิน เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะสอดมือเข้ามาทำร้ายลั่วอ๋อง
ผู้ใดจักไปรู้ว่า นางรักษาลั่วอ๋องด้วยความจริงใจ หาได้มีเจตนาที่จะทำร้ายลั่วอ๋องไม่ ทั้งยังจัดการกับบาดแผลได้เรียบร้อยยิ่งนัก
เมื่อพวกเขาแกะผ้าพันแผลออกมานั้น ก็พลันพบว่า ตนเองมิอาจเย็บกลับไปเป็นดังเดิมได้ บาดแผลกับเนื้อพลันเกิดการเสียดสีขึ้นมา เมื่อตงหลิงจื่อลั่วถูกหมอหลวงพันแผลกลับไปกลับมาเช่นนั้น ก็พลันรู้สึกโมโห
เมื่อไม่มีทางเลือกอีกแล้ว พวกเขาจึงต้องจำใจเสนอให้เรียกตัวเฟิ่งชิงเข้ามาเย็บแผลให้แทน อีกทั้ง พวกเขาจักได้แอบร่ำเรียนจากนางด้วย
ทว่า ความหมายของเฟิ่งชิงเฉินนั้น คือมิต้องการให้พวกเขาได้เห็นวิธีการ
นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้
กลุ่มหมอหลวงพลันรวมตัวกันเพื่อที่จะบีบบังคับเฟิ่งชิงเฉินในทันที
หากแต่เฟิ่งชิงเฉินพลันหันกายกลับไป พร้อมทั้งถลึงตาใส่ พลางกล่าวออกมาว่า
“เรื่องนี้ ข้าเฟิ่งชิงเฉิน จะมิยอมถอยให้พวกท่านแน่ ข้าจักไม่ยอมเผยทักษะการเย็บแผลให้กับพวกที่ดูถูกข้า และยังวางแผลที่จะรังแกข้าอีก”
“เจ้า สตรีผู้นี้ เจ้าไม่รู้เรื่องเลยหรือ แต่เดิมทักษะเช่นนี้ย่อมต้องมาแบ่งปันเรียนรู้ซึ่งกันและกัน หากเจ้าเผยแพร่ทักษะการเย็บแผลออกไปเช่นนี้ ย่อมเป็นผลดีมากกว่าผลร้าย” หมอหลวงเคราขาวผู้หนึ่ง พลันเอ่ยออกมาราวกับวางท่าสั่งสอนเฟิ่งชิงเฉิน
“งั้นหรือ? มิรู้ว่า หมอหลวงท่านนี้มีนามว่าอันใดกัน?” เฟิ่งชิงเฉินพลันก้าวไปด้านหน้า เพื่อถามด้วยความเคารพ
“นามสกุลของกระหม่อมคือหู” หมอหลวงพลันคิดไปเองว่าเฟิ่งชิงเฉินเริ่มที่เกรงกลัวเขา จึงเอ่ยนามของตนเองขึ้นมาด้วยความภาคภูมิ
“ที่แท้คือท่านหมอหู เฟิ่งชิงเฉินเสียมารยาทแล้ว มิทราบว่าท่านหมอหูถนัดการแพทย์ทางด้านใดกัน?” เฟิ่งชิงเฉินมองดูด้วยความขบขัน แต่สายตาพลันเต็มไปด้วยความเย็นชาแถมดูถูก
หมอหลวงหูจึงลูบเคราขาวของตนเอง พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ภูมิใจว่า “กระหม่อมเก่งในเรื่องการจัดกระดูก ตระกูลหูโดดเด่นเรื่องการจัดกระดูกมาอย่างยาวนาน หากตระกูลของกระหม่อมเป็นรองในด้านนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเป็นที่หนึ่ง”
“ที่แท้เป็นวิชาสืบทอดภายในตระกูล มิทราบว่า ข้อขอให้ท่านหมอหูช่วยถ่ายทอดวิชานี้ให้ชิงเฉินได้รู้เช่นเห็นแจ้งได้หรือไม่ ภายภาคหน้าหม่อมฉันจักได้เป็นหนึ่งในด้านนี้” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พลางยืนอยู่เบื้องหน้าท่านหมอหู ราวกับว่าต้องการจะขอร่ำเรียนด้วยจริง ๆ
กลับกัน ท่านหมอหูพลันมองเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับว่ามองดูคนโง่เง่าคนหนึ่ง ยามที่กำลังจะเอ่ยปากออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินกลับเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า ” หมอหลวงหู ชิงเฉินอยากจะร่ำเรียนทางนี้จริง ๆ อย่างไร หมอหลวงหูได้โปรดถ่ายทอดให้ข้าด้วยเถิด เก็บวิชาเช่นนี้ไว้ย่อมมิเป็นเรื่องดี”
เมื่อหมอหลวงหูได้ยินเช่นนี้ ก็พลันโมโหขึ้นมา ทั้งยังกล่าววาจาดูถูกเฟิ่งชิงเฉินอีกว่า “ให้ถ่ายทอดวิชาหรือ? เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นตัวเช่นไรกัน วิชาการจัดกระดูกของตระกูลหู ใช่ของที่ผู้ใดจักสามารถร่ำเรียนได้งั้นหรือ?”
พูดจบ ก็ตระหนักได้ว่าตนเองพูดผิดไปเสียแล้ว ยามที่กำลังคิดทบทวนในสิ่งที่ตนเองกระทำไปนั้น ก็พลันพบกับสายตาของเฟิ่งชิงเฉิน ที่เสมือนว่าจะมองทุกอย่างออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั่วร่างของเขาพลันรู้สึกด้านชาไปหมด
“หมอหลวงหู ท่านโมโหในเรื่องนี้ แต่อย่าได้เป็นลมหมดสติไปเล่าหากเป็นลมไปแล้ว ท่านอาจจะมิได้โชคดีเช่นหมอหลวงหยวนก็ได้” เฟิ่งชิงเฉินพลันเอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดี พร้อมทั้งกวาดสายตาด้วยความเย็นชามองไปยังหมอหลวงคนอื่น ๆ ” หมอหลวงทุกคนที่เขามาร่ำเรียนในสำนักแพทย์ ย่อมมีวิชาที่ตนเองถนัดแตกต่างกันไป ทั้งยังมีวิชาลับที่ติดตัวของแต่ละคนด้วยเช่นกัน ทุกท่านรวมหัวกันขู่บังคับสตรีที่ไร้ทางสู้เช่นข้า ท่านลองคิดกลับกัน ทุกท่านเองก็พยายามปิดบังมิให้ผู้อื่นรู้จักวิชาของตนเองมิใช่หรือ”
“เจ้าเจ้าเจ้า”
เมื่อหมองหลวงทุกคนถูกเฟิ่งชิงเฉินพูดขึ้นมาเช่นนี้ ก็พลันหน้าแดงก่ำไปด้วยความกรุ่นโกรธ ทั้งยังหาคำโต้เถียงขึ้นไปกล่าวหาเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อีก เพียงทิ้งคำพูดไว้ว่า ” สตรีและคนหยาบช้าคือคนประเภทเดียวกัน”
เฟิ่งชิงเฉินจึงแสร้งทำเป็นหูทวนลม พร้อมหันไปกล่าวกับตงหลิงจื่อลั่วว่า ” ลั่วอ๋องเพคะ ถ้าหากท่านยินยอมละก็ ได้โปรดให้เฟิ่งชิงเฉินได้กลับจวนไปเตรียมของด้วยเถอะเพคะ”
เขาจะไม่ยอมได้หรือ?
ตงหลิงจื่อลั่วพลันเหม่อมองไปที่ขาของตนเอง พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีสบายอารมณ์ว่า “ไปเถอะ”
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ แต่ที่นี้มีทั้งด้ายและเข็ม ไม่จำเป็นต้องให้นางกลับไปเอาเลยพะยะค่ะ” หมอหลวงบางคนที่มีใจคิดต่อต้านเฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมา
“ข้าอภัย ข้าไม่ใช้ของที่ผู้อื่นหยิบจับแล้ว” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินทิ้งคำพูดไว้เช่นนั้น พร้อมทั้งจ้องตากลับไปยังหมอหลวงเหล่านั้น แล้วจึงเดินออกไปด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
การไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เช่นนี้ ทำให้ทั่วร่างของเหล่าหมอหลวงพลันสั่นเทาขึ้นมาด้วยความโมโห “ฝ่าบาท”
ยามที่กำลังคิดหาทางร้องเรียนนั้น ลั่วอ๋องพลันโบกมือไล่พวกหมอหลวงในทันที ” ออกไป เปิ่นหวางมิอยากเห็นหน้าของพวกเจ้าทั้งหมด”
พร้อมทั้งหลับตาลง เอนตัวนอนลงไป เพื่อข่มอารมณ์ความเจ็บปวดของบาดแผลที่กำลังปะทุขึ้นมา
การเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินในแต่ละครั้ง เขามิเคยเอาชนะนางได้เลยสักครา เฟิ่งชิงเฉินนางนี้ มีความสามารถทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองจิตใจได้ดีเสียจริง
ทั้งเสด็จแม่ของเขา น้องสาวของเขา และยังมามีหมอหลวงอีก
ช่างเป็นสตรีที่ยุ่งยากเสียจริง
เมื่อคิดว่าตนเองต้องมาแต่งให้กับสตรีผู้นี้นั้น ก็พลันรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินคนเดิมที่อ่อนแอและมิเป็นจุดสนใจ แต่ในยามนี้ เฟิ่งชิงเฉินกลับแข็งแกร่งมากขึ้น นั่นหมายความว่า นางจะมิยอมเป็นสตรีที่อยุ่แต่ในห้องหออีกแล้ว
นับว่าเขาต้องปวดหัวทุกด้านจริง ๆ
ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินมีกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ ย่อมมิจำเป็นต้องกลับไปจวนเฟิ่งเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่า การกลับไปเอาของที่จวนเฟิ่งนั้น เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น เนื่องจากนางไม่สามารถหาคำอธิบายในการนำเครื่องไม้เครื่องมือออกมาได้
ระหว่างทางกลับไปที่จวนเฟิ่งนั้น ก็พลันซื้อกระเป๋ายาและยาแพทย์แผนจีนอีกเล็กน้อยเก็บไว้ด้านในนั้น
เมื่อมาถึงจวนเฟิ่งแล้ว ก็พลันส่งเสียงทักทายโจวสิง พร้อมกลับไปที่ห้องของตน แล้วจึงได้หยิบยาช่วยชีวิตฉุกเฉินออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ จากนั้นก็เดินถือกระเป๋ายาออกมา แล้วรีบกลับไปที่วังลั่วอ๋องในทันที
เมื่อมาถึงในยามนี้ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางอีกแล้ว ทั้งยังไม่มีหมอหลวงที่เป็นตัววุ่นวายอีกด้วย ตงหลิงจื่อลั่วได้ไล่ผู้คนออกไปจนหมดแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินหาได้คิดส่งสัยอันใดอีกไม่ ในเมื่อนี่คือข้อตกลงของนาง
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินทำความเคารพแบบเรียบง่ายเสร็จแล้วนั้น ก็พลันพับแขนเสื้อของตนและรวบผมขึ้นไป จากนั้นก็ทำความสะอาดมือตนเอง เพื่อสวมใส่ถุงมือแพทย์
ตงหลิงจื่อลั่วเอง ก็เอาแต่มองนาง ทว่า หาได้เอ่ยสิ่งใดออกมาไม่ ทั้งยังมองด้วยสายตาประหลาดใจ
สตรีผู้นี้ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็ไม่ปาน
ทั้งเก่งกาจและมีไหวพริบ
นางไม่เหมือนกับสตรีนางใดที่เขาเคยพบเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาก็พลันพบหน้าเขาพอดี หากแต่ก็แสร้งทำเป็นมิรู้สึกอันใด แต่ภายในใจพลันคิดหาทางว่า จะหาโอกาสฉีดยาชาให้กับเขาเช่นไรดี หากเขาสลบไปแล้ว ก็กังวลอีกว่าร่างกายของเขาพอจะรับฤิทธิ์ของยาชาได้หรือไม่? นางจักต้องทำเช่นไรดี?
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินลังเลที่จะเปิดกล่องยาออกมานั้น ตงหลิงจื่อลั่วก็พลันเผยรอยยิ้มออกมา “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าได้คิดหาทางปกปิดกับเปิ่นหวาง เมื่อวานเปิ่นหวางมีสติดีทุกอย่าง สิ่งที่เจ้าทำไปทั้งหมดนั้น เปิ่นหวางล้วนแต่เห็นจนหมดแล้ว แต่ทว่า เจ้าวางใจได้ ข้าจักไม่เอาความลับของเจ้าไปบอกผู้อื่นเป็นแน่”
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร เจ้าก็ต้องช่วยข้าทั้งนั้น
เมื่อตงหลิงจื่อลั่วคิดมาถึงตรงนี้ ก็พลันเพิกเฉยต่อเรื่องไร้สาระของเฟิ่งชิงเฉินในทันที