เมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง หลานจิ่วชิงจึงได้พาเฟิ่งชิงเฉินกลับมาที่จวนเฟิ่ง ก่อนจะจากไปเขาได้หยิบตราประทับที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมามอบให้เฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่า “เฟิ่งชิงเฉิน หากมีเรื่องใดให้นำสิ่งนี้ไปหาซูเหวินชิง แล้วข้าจะปรากฏกายขึ้นทันที”
นี่คือการยอมรับของหลานจิ่วชิง
ตราประทับนั้นมองดูแล้วทั้งเก่าและใหม่ มันเปล่งออกมาถึงความแปลกประหลาด ด้านบนมีตัวอักษรคำว่าก้าวเขียนเอาไว้ที่ด้านหลัง
เพียงเท่านี้เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจได้ในทันทีว่าตราประทับนี้มีคุณค่ายิ่งนัก นางจะรับไว้ไม่ได้
“ขอบใจ แต่ข้าคงไม่ใช่มัน”
นางไม่อยากจะใกล้ชิดกับหลานจิ่วชิงมากขึ้นไปกว่านี้ เพราะผู้ชายคนนี้อันตรายเหลือเกิน ช่างลึกลับ ส่วนนางเพียงต้องการอยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น
“สิ่งใดที่ข้ามอบให้แล้วข้าจะไม่นำมันกลับคืนมา ในเมื่อข้าให้เจ้า มันก็จะกลายเป็นของเจ้า หรือไม่เจ้าก็ทิ้งมันไปเสีย” หลานจิ่วชิงดีดตราประทับนั้นเบาๆ ไปตกอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน
“หลานจิ่วชิง ข้าได้ช่วยคนที่เจ้าต้องการให้ช่วยแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่มีสิ่งใดติดค้างกัน ตราประทับนี้ดูมีราคายิ่งนัก ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าหลานจิ่วชิงกำลังจะจากไป นางก็เข้าไปขวางทางของเขาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นตราประทับออกไปตรงหน้าหลานจิ่วชิง
ตราประทับนี้แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นของหลานจิ่วชิง อย่าว่าแต่เอาไปทิ้งเลย นางไม่กล้าแม้แต่จะให้คนอื่นดูเสียด้วยซ้ำ!
“ไม่มีสิ่งใดติดค้างอย่างงั้นหรือ เจ้าคิดไปเองต่าง” หลานจิ่วชิงมองไปทางเฟิ่งชิงเฉินที่ทำท่าทางลังเล เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก ทำเพียงปัดมือนางและกระโดดข้ามหลังคาไป
“หลานจิ่วชิง……” เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินต้องการจะตามเขาไป แต่……
เอาเถอะ เก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน นางแค่ไม่ต้องใช้มันก็พอ
จากนั้นนางก็หาวออกมา เมื่อมองไปยังท้องฟ้าจึงพบว่าไม่อาจนอนหลับต่อได้แล้ว
เฟิ่งชิงเฉินเตรียมตัวจะไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกประเดี๋ยวแม่ทัพเว่ยจะพาฮูหยินของเขาเดินทางมา ไม่รู้ว่าเป็นต้อกระจกหรือไม่
เหนื่อยยิ่งนัก……
……
“เหวินชิง ตราประทับจิ่วโจวข้าได้มอบให้เฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว ในอนาคตหากนางนำตรานั้นมาหาเจ้า อย่าได้ลืมเล่า” หลานจิ่วชิงก้าวเข้าไปในห้องลับของจวนซูแล้วกล่าวกับซูเหวินชิง
“ตราประทับจิ่วโจว? จิ่วชิง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” ซูเหวินชิงพุ่งเข้าไปแล้วมองดูหลานจิ่วชิง เขาสงสัยเหลือเกินว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่หลานจิ่วชิง
หลานจิ่วชิงเชียว! ผู้ที่ฉลาดเฉลียวในทุกรอบด้าน หลานจิ่วชิงผู้ที่ไม่สนใจในสตรี เขากลับมอบตราประทับจิ่วโจวให้แก่สตรีนางหนึ่ง ที่สำคัญก็คือหลานจิ่วชิงได้ลากเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาในโลกของพวกเขา ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“ก็เป็นเพียงแค่ตราประทับเท่านั้น” หลานจิ่วชิงโบกไม้โบกมือขึ้นอย่างไม่ได้สนใจสิ่งใด
“จักรวรรดิจิ่วโจวได้จบสิ้นลงแล้ว ตราประทับจิ่วโจวจึงไม่มีความหมายอีกต่อไป”
“จิ่วชิง นั่นไม่ใช่ตราประทับธรรมดา ในโลกนี้ผู้ที่สามารถทำให้เจ้านำตราประทับจิ่วโจวออกมาได้มีเพียงข้าและจิงหยุน เฟิ่งชิงเฉินนับว่าเป็นคนที่สาม และเฟิ่งชิงเฉินคนนี้นางแตกต่างไปจากเดิม ตัวนางในบัดนี้พวกเราล้วนไม่มีใครเข้าใจนาง การที่เจ้าทำเช่นนี้สะเพร่าไปหรือไม่?” ซูเหวินชิงรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ตนไปพาเฟิ่งชิงเฉินมารักษาอาการเจ็บป่วยให้แก่หลานจิ่วชิงในตอนนั้นเหลือเกิน
หากว่าทั้งสองคนไม่รู้จักกันก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายเหล่านี้
หากเฟิ่งชิงเฉินรู้เรื่องมากขึ้น ก็ยิ่งอันตรายขึ้น
“เหวินชิง เฟิ่งชิงเฉินสตรีผู้นี้เป็นคนมีความสามารถ นางจะกระทำการใดๆ สำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่ตราประทับจิ่วโจวอยู่ในมือนางจะมีประโยชน์ยิ่ง” เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่สตรีธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน เรื่องนี้หลานจิ่วชิงยืนยันได้
ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินต้องการมีชีวิตเรียบง่าย บัดนี้ก็ทำไม่ได้เพราะเขาจะไม่อนุญาต
“แต่ว่า นาง…… เป็นบุตรสาวของแม่ทัพเฟิ่ง จิ่วชิง เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าแซ่เฟิ่งนี้หมายถึงสิ่งใด” ใบหน้าของซูเหวินชิงยังคง ยืนหยัดคัดค้าน
แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นตัวช่วยที่ไม่เลว แต่ก็อันตรายยิ่งนัก
“เหวินชิง ชนเผ่าเฟิ่งหลีถูกกวาดล้างไปนานแล้ว การที่นางแซ่เฟิ่งไม่ได้มีความหมายว่านางจะต้องเกี่ยวข้องกับเฟิ่งหลี และต่อให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้สืบทอดของชนเผ่าเฟิ่งหลีจริงแล้วอย่างไรเล่า?”หลานจิ่วชิงยังคงค่อนข้างมั่นใจกับตัวเฟิ่งชิงเฉิน
“จิ่วชิง เจ้าจะใช้นางจริงหรือ?” ซูเหวินชิงรู้ดีว่าเมื่อใดที่หลานจิ่วชิงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงเขาได้
หลานจิ่วชิงพยักหน้า “เหวินชิง ข้ารู้ดีว่าควรทำสิ่งใดและไม่ควรทำสิ่งใด เรื่องของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ข้ามีแผนเอาไว้แล้ว จะไม่ให้นางรู้มากจนเกินไป”
“เอาเถิด หวังว่าพวกเราจะไม่มองคนผิดไป” ซูเหวินชิงพยักหน้า เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและอวี่เหวินหยวนฮั่วกับตระกูลหวัง เขาจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
“จิ่วชิง อวี่เหวินหยวนฮั่วคนคนนี้เจ้าเห็นเขาเป็นเช่นไร?” จู่ๆ ซูเหวินชิงก็เอ่ยถึงคนอีกคนขึ้นมา
“เขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถด้านการทหารมาแต่กำเนิด” หลานจิ่วชิงให้การประเมินค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันเมื่อเขานึกถึงฉากที่เห็นอยู่ในจวนเฟิ่ง “อืม สามารถใช้ได้”
“แล้วคนคนนี้?” ในสายตาของซูเหวินชิง อวี่เหวินหยวนฮั่วมีค่ามากกว่าเฟิ่งชิงเฉินมากนัก
“คนคนนี้ข้าจะจัดการเอง ฟ้าใกล้สางแล้วข้าควรจะกลับไปแล้ว เหวินชิง เรื่องเมืองในเมื่อกลางคืนข้าขอมอบไปให้เจ้าดูแล ข้าหวังว่าจะไม่เกิดปัญหาใดขึ้นอีก อีกอย่าง จงนำธัญพืชที่ซุกซ่อนเอาไว้ของเจ้าส่งออกไปที่นอกเมือง ข้าต้องการใช้” หลานจิ่วชิงหันหลังตั้งใจจะเดินทางจากไป ก่อนที่เขาจะจากไปนั้นก็ได้หันกลับไปมองดูปู้จิงหยุนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดูไม่น่าฟังว่า
“ปู้จิงหยุน หากไม่มีเรื่องใดแล้วเจ้าจงไสหัวกลับไปที่ภูขาวจิงหยุนเสีย หากในครั้งหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก คงจะไม่โชคดีเช่นนี้”
“ข้าไม่ไปหรอก เจ้ามันไร้มนุษยธรรม!” ปู้จิงหยุนตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด
การทิ้งผู้บาดเจ็บเช่นเขาเอาไว้นอกเมืองก็ยังไม่เท่าไร กว่าเขาจะกลับมาถึงจวนซูด้วยความยากลำบากไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะให้เขาไสหัวไปที่ใด? เขาไม่ไปแน่
ซูเหวินชิงส่ายหน้ากล่าวว่า “จิงหยุน เจ้าไม่ระวังเอาเสียเลย เมื่อคืนนี้หากเจ้าไม่มีเฟิ่งชิงเฉิน ต่อให้หลานจิ่วชิงช่วยเจ้าออกมาได้ก็ไม่อาจจะถอยออกมาได้สำเร็จ เจ้ารู้ถึงตัวตนของเขาดี คนที่จับจ้องเขาอยู่นานมากมายเหลือเกิน หากเขาบาดเจ็บไปคงจะวุ่นวายเมื่อครั้งก่อนหากไม่ได้เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉิน คาดว่าหลานจิ่วชิงคงจะตายไปแล้ว”
“ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนั้น แต่เจ้าเย่เย่มันจับตามองข้าอยู่” ปู้จิงหยุนกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางหดหู่ แต่กลับทำให้ บาดแผลสะเทือน เขาเจ็บปวดเสียจนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวกับซูเหวินชิงด้วยท่าทางอันน่าสงสารว่า “เหวินชิง เจ้าช่วยไหว้วานให้เฟิ่งชิงเฉินมาทำแผลให้ข้าไม่ได้หรือไม่ ข้าเจ็บปวดไปทั้งกายแล้ว”
“ไสหัวไปเสีย!” ซูเหวินชิงตะโกนออกมาอย่างไม่สนใจไยดี จากนั้นก็ได้เดินออกไปจากห้องลับเช่นกัน
เมืองท่ามกลางราตรี
ช่างวุ่นวายยิ่งนัก
โชคดีเหลือเกินในที่สุดอาหารเหล่านั้นก็นำออกมาใช้ เจ้าอวี่เหวินหยวนฮั่วมีประโยชน์จริงๆ
ซูเหวินชิงมีความสุขเหลือเกิน
……
แม้ว่าจะทำการล้างหน้าล้างตาจนสะอาดสะอ้านแล้ว แต่บนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่อาจปิดบังความเหนื่อยล้าและขอบตาดำเอาไว้ได้ อวี่เหวินหยวนฮั่วมองดูเฟิ่งชิงเฉินและรู้ได้ทันทีว่านางไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้
ก่อนจะนึกอยู่ในใจว่า ความสัมพันธ์ของเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อคืนนี้เขาได้กล่าวกับนางถึงเรื่อง เงินตอบแทนของทหาร และนางก็ได้รีบเดินทางไปหาเสด็จอาเก้าเพียงแต่ไม่รู้ว่าผลเป็นเช่นไร
อวี่เหวินหยวนฮั่วรู้สึกกังวลใจ แต่ก็ทำได้เพียงซ่อนความกังวลนั้นเอาไว้ หลังจากรับประทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รีบดึงเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปที่ห้องหนังสือ เมื่อแน่ชัดว่าไม่มีผู้ใดแอบฟังอยู่จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เรื่องเมื่อวานที่ข้าบอกกับเจ้า มีผลลัพธ์เช่นไร ว่าอย่างไรล่ะ?”
จะโทษอวี่เหวินหยวนฮั่วที่รีบร้อนเช่นนี้ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่อาจจะยืดเยื้อต่อไปได้อีกแล้ว
ในเดือนหน้า คนจำนวนสามแสนคนอาจจะไม่มีข้าวกิน
หากว่าเสด็จอาเก้าไม่เข้ามาช่วยเหลือ เขาก็ทำได้เพียงไปหาคนอื่นช่วยเท่านั้น
ช่วงที่ผ่านมานี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมาหาเขา เพียงแต่เขาไม่เห็นคนเหล่านั้นในสายตา
“เรื่องอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปทางอวี่เหวินหยวนฮั่วด้วยท่าทางสงสัย แล้วอดไม่ได้ที่จะหาวออกมา
“เรื่องค่าตอบแทนของทหารอย่างไรเล่า ปัญหาเรื่องของเงินเดือนพวกทหาร เมื่อวานนี้ข้าให้เจ้าช่วยหาวิธีไม่ใช่หรือ? เจ้าคิดหาวิธีออกหรือยัง?” ที่จริงแล้วอวี่เหวินหยวนฮั่วต้องการจะเอ่ยถามว่าเสด็จอาเก้ากล่าวว่าอย่างไร แต่เขาไม่กล้าที่จะถามอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าเมาแล้วไม่ใช่หรือ? เรื่องตอนเมาเจ้ายังจำได้?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปทางอวี่เหวินหยวนฮั่วด้วยสายตาประหลาดใจ นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแต่ว่า……
นางไม่เข้าใจว่าส่วนใดที่ผิดปกติไป
ค่าตอบแทนของทหาร? เป็นเพียงแค่ปัญหาของค่าตอบแทนทหารจริงหรือ?
ต่อให้นางสามารถจัดการปัญหาของอวี่เหวินหยวนฮั่วเรื่องค่าตอบแทนทหารได้สำเร็จ ก็ไม่สามารถจัดการกับการคาดเดาของฝ่าบาทที่มีต่อเขาได้ไม่ใช่หรือ?