“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าในเดือนหน้าอาหารเหล่านั้นของข้าก็จะหมดแล้ว และบัดนี้ได้ผ่านพ้นฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว ครึ่งปีนี้ข้าไม่มีธัญพืชเลย!” อวี่เหวินหยวนฮั่วตะโกนออกมาเสียงดัง
อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่เชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะไม่รู้ถึงปัญหานี้
ในเมื่อเขารับรู้ เสด็จอาเก้าควรจะมีนโยบายบางอย่างตอบสนอง
เสด็จอาเก้าคงจะไม่เพียงชี้แนะวิธีเหล่านี้ให้แก่เขา ควรจะเข้าใจถึงความทุกข์ร้อนในบัดนี้ของเขาด้วย
“ยืมสิ เจ้าไม่มีก็จงไปยืม!” เฟิ่งชิงเฉินตกใจจนสะดุ้ง
นางนึกอยู่ในใจว่าอวี่เหวินหยวนฮั่วเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เหตุใดจึงสามารถเป็นจอมทัพใหญ่ได้? คาดว่าคงจะมีภูมิหลังที่ดี ตระกูลมาจากทหารน่ะสิ
“ยืม? ยืมใคร?” อาหารของทหารจำนวนสามแสนคนไม่ใช่อาหารจำนวนเล็กน้อย ในราชวงศ์ตงหลิงนี้คงมีไม่กี่คนที่ช่วยได้
“ใครมีอาหารเจ้าก็ไปยืมเขาสิ!” เฟิ่งชิงเฉินกรอกตามองและไม่อยากจะสนใจอวี่เหวินหยวนฮั่วอีกต่อไปนางจึงเดินจากไปทันที
เมื่อนางเดินออกมาจากห้องหนังสือ ก็ได้พบกับโจวสิงที่เดินทางมาหาตน กล่าวว่าแม่ทัพเว่ยและเว่ยฮูหยินเดินทางมา ตรวจอาการแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงกลับห้องไปเตรียมตัว ขณะเดียวกันก็ได้ให้โจวสิง ไปพาเว่ยฮูหยินมาที่ห้องผ่าตัด
อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องผ่าตัดถูกจัดเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว สามารถใช้เป็นคลินิกขนาดเล็กได้ แม้ว่านางต้องการจะทำจวนเฟิ่งให้เป็นโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้ห้องโถงสำหรับตรวจอาการผู้ป่วย
……
“ซูเหวินชิง ใช่แล้ว! เขามีอาหาร ไปยืมเขาก็ได้” อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่มีเวลาไปสนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินไปที่ใดแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินส่งต่อคำพูดและวิธีให้แก่เขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เวลาต่อจากนั้น อวี่เหวินหยวนฮั่วก็ยุ่งอยู่ถึงสามวันสามคืนโดยไม่ได้พักผ่อน อวี่เหวินหยวนฮั่วจัดการกับแผนของเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างดี อีกทั้งนำแผนการนี้เดินทางไปขอยืมอาหารจากจวนซู
ทุกอย่างราบรื่นจนน่าประหลาดใจ ทำให้อวี่เหวินหยวนฮั่วรู้สึกขอบใจเสด็จอาเก้าอย่างซาบซึ้ง ทุกอย่างเหมือนถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว แต่ตัวเขาเองกลับไม่เคยปรากฏหน้าออกมาเลย หากมองจากภายนอกคาดว่าคงไม่เห็นแม้แต่เงาของเสด็จอาเก้า
หลานจิ่วชิงได้รับแผนที่อวี่เหวินหยวนฮั่วนำมามอบให้ซูเหวินชิง ก่อนจะทำการประเมินฉายาที่ว่าเป็นแม่ทัพผู้มีพรสวรรค์ด้านการรบ เปลี่ยนเป็นแม่ทัพผู้มีพรสวรรค์มากมายมาแต่กำเนิด
และเขาก็รู้สึกชื่นชมอวี่เหวินหยวนฮั่วมากขึ้นทีเดียว
“มองดูแล้วอาหารของข้าเหล่านี้คงไม่ได้สูญเสียเปล่า แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงมาขอยืมอาหารจากข้า อีกทั้งยังกล้ามอบสิ่งเหล่านี้มาให้ข้าด้วย หรือเป็นเพราะเขาคิดว่าแผนการเหล่านี้จะทำให้ข้าเชื่อว่าเขาสามารถนำอาหารมาคืนข้าได้?” ซูเหวินชิงมองไฟยังแผนการดูแลทหารทั้งสามแสนคนของอวี่เหวินหยวนฮั่วและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
นอกจากนั้นซูเหวินชิงยอมรับแผนการของอวี่เหวินหยวนฮั่ว เขาได้ลงนามข้อตกลงกับอวี่เหวินหยวนฮั่วอีกว่าธัญพืชเหล่านี้จะต้องนำมาคืนให้ภายในสิบปี ไม่อย่างนั้นจะต้องชำระมากขึ้นถึงสามเท่า
มองไปแล้วอาจจะเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ก่อนหน้านี้หากหลานจิ่วชิงไม่ได้กำชับไว้ล่ะก็ ซูเหวินชิงคงจะไม่ได้เขียนหนังสือ หยิบยืมกับอวี่เหวินหยวนฮั่วเป็นแน่
เรื่องของธัญพืชนั้น บางครั้งมีเงินก็ยังซื้อไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจำนวนมากเช่นนี้
เขาสุ่มตีไปทั่วแต่กลับตีถูก โชคดีเหลือเกิน นี่คือคำที่หลานจิ่วชิงวิพากษ์วิจารณ์ต่ออวี่เหวินหยวนฮั่ว
ในตอนแรกสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่อวี่เหวินหยวนฮั่วมีพรสวรรค์ในด้านของการเป็นแม่ทัพ แต่เนื่องด้วยความจงรักภักดีของเขา ทำให้หลานจิ่วชิงไม่กล้าที่จะใช้เขานัก คิดไม่ถึงว่าแผนการยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ช่วงนี้ก็ได้เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายเหลือเกิน จนทำให้อวี่เหวินหยวนฮั่วถูกผลักมาอยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้
ซึ่งในเวลานี้ หากไม่ใช้เขาก็เปล่าประโยชน์
ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้เช่นเฟิ่งชิงเฉินกลับไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเลย ซูเหวินชิงและหลานจิ่วชิงคิดว่าแผนการในการเลี้ยงดูทหารเหล่านั้นเป็นสิ่งที่อวี่เหวินหยวนฮั่วคิดออกมาเอง
และอวี่เหวินหยวนฮั่วคิดว่านี่คือวิธีที่เสด็จอาเก้าเสนอ
คาดว่าอีกหลายปีต่อไป แม้ทุกคนจะรู้ก็ยากที่จะเชื่อ
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินไล่อวี่เหวินหยวนฮั่วกลับไปแล้ว ก็ไม่ได้ไปได้คิดถึงเรื่องราวของเขาอีก แม้ว่านางจะอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลาไม่ใช่สั้นๆ แต่นางก็ไม่ได้มีความสามารถในการบริหารกองทัพ
อย่างมากสุดนางก็เพียงแค่รู้กลยุทธ์ทั้งสามสิบหก สามารถท่องจำศิลปะการทำสงครามของซุนจื่อได้สองสามบทเอาไว้ทำให้ผู้อื่นตกใจ แต่นางไม่มีความสามารถทางด้านการปฏิบัติใดๆ เลยอีกอย่างนางไม่อยากจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งเหยิงเหล่านี้
ในสายตาขององค์จักรพรรดิ นางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเสด็จอาเก้า หากว่านางเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของอวี่เหวินหยวนฮั่วอีกล่ะก็ คาดว่าองค์จักรพรรดิคงจะใช้ข้ออ้างนี้ในการต่อต้านเสด็จอาเก้า
ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะคิดเช่นไร แต่นางเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ทำเรื่องที่ไม่ส่งผลดีต่อเสด็จอาเก้าอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย คนเช่นนั้นเหตุใดทำไมต้องเจอกับนางด้วย ทำไมจึงปฏิบัติต่อนางเป็นการพิเศษ ทำให้นางมีความคาดหวังที่ไม่ควรมี
ยังดีที่เฟิ่งชิงเฉินนั้นรู้เกี่ยวกับจุดยืนของตนเอง หลังจากที่นางเข้าไปในห้องผ่าตัดก็ได้ปกปิดความรู้สึกผิดหวังของตนเอง และแสดงทัศนคติของหมอมืออาชีพออกมา เพื่อทำการตรวจรักษาอาการให้แก่เว่ยฮูหยิน
ผลการตรวจนั้นเป็นดั่งที่นางคิดเอาไว้ เป็นต่อกระจก สามารถทำการผ่าตัดได้
เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายของเว่ยฮูหยินไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนกับป่วยหนักไม่มีความสดชื่นแม้แต่น้อย ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนักสำหรับการผ่าตัด อย่างน้อยควรจะต้องพักผ่อนสักสองสามวันก่อน
เฟิ่งชิงเฉินเขียนคำสั่งในการรักษาพร้อมกับกำชับต่อนายพลเว่ยว่าทำอย่างไรจึงจะดูแลร่างกายสุขภาพของเว่ยฮูหยินได้ถูกต้อง ช่วงนี้จะต้องทำให้จิตใจของนางปลอดโปร่ง ขณะเดียวกันก็ได้ตกลงกับเว่ยฮูหยินแล้วว่าจะต้องเดินทางมาตรวจดูอาการทุกสามวัน นางจะคอยติดตามผลหลังจากนี้และทำการรักษาหลังจากสิบวัน
เมื่อนายพลเว่ยได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่าสามารถรักษาได้ เขาก็รู้สึกขอบอกขอบใจ เว่ยฮูหยินซาบซึ้งจนน้ำตานองหน้า
เพราะดวงตาของนางไม่ได้บอดมาแต่กำเนิด สิบกว่าปีมานี้ดวงตาค่อยๆ มองไม่เห็น นางหาหมอมามากมายทุกคนล้วนกล่าวว่าไม่อาจรักษาได้ บัดนี้เมื่อมีโอกาสที่จะได้กลับมามองเห็นอีกครั้ง นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำท่าทีใดๆ ออกมา นางกล่าวออกมาเพียงว่าอย่ากังวล
นางเป็นหมอมาหลายปีและรู้สึกเคยชินเสียแล้ว แม้ว่าในใจของนางจะยังคงรู้สึกดีใจที่สามารถจัดการแก้ไขกับความเจ็บปวดของคนอื่นได้ แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกมาให้ใครเห็น
ตราบใดที่สามารถรักษาโรคได้ นางก็รู้สึกสบายใจ เห็นแก่การที่นายพลเว่ยเคยรู้จักกับพ่อของนาง นางจึงได้ส่งพวกเขาออกไปจากจวนด้วยตนเอง
ระหว่างทางนั้น นายพลเว่ยขอบอกขอบใจนางอยู่ถึงสามครั้งสามครา ขอบใจนายพลเฟิ่งที่ให้กำเนิดบุตรสาวซึ่งมีความสามารถเช่นนี้
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะเหนื่อยแล้ว แต่เมื่อได้ยินแม่ทัพเว่ยกล่าวถึงบิดาก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องราวในอดีต น่าเสียดายที่นายพลเว่ยไม่รู้อะไรมากนัก
หลังจากที่ส่งเขามาถึงหน้าประตู จู่ๆ นายพลเว่ยก็กล่าวขึ้นว่า “เฟิ่งซิ่ว เรื่องบางเรื่องไม่รู้ว่าข้าควรจะกล่าวหรือไม่”
“เชิญท่านแม่ทัพเว่ยกล่าวออกมาเถิด” เฟิ่งชิงเฉินไม่ชอบแม่ทัพเว่ยในส่วนนี้เท่าไรนัก
เขาเป็นทหารก็ควรจะตรงไปตรงมา ในเมื่อกล่าวแล้วยังเอ่ยถามทำไมว่าควรจะพูดหรือไม่
“เฟิ่งซิ่ว หลายคนที่ติดตามนายพลเฟิ่งในตอนนั้น บ้างก็พิการบ้างก็เกษียณ ชีวิตของพวกเขาลำบากยากแค้น จากที่ข้ารู้มามีหลายครอบครัวเลยทีเดียวที่ป่วยและไม่มีเงินรักษา……”
“เช้านี้มีเด็กคนหนึ่งแซ่เถี่ยหกล้มหัวแตกและมาขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าจึงให้เงินไปสิบอีแปะ แต่ดูจากท่าทางของเด็กคนนั้นแล้ว ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงหายใจรวยริน เกรงว่าจะรักษายาก เฟิ่งซิ่วในเมื่อเจ้ามีทักษะด้านการรักษาอันเลิศล้ำ ไม่รู้ว่าเจ้าจะ……” นายพลเว่ยรู้ดีว่าบัดนี้เขากำลังยุ่งเรื่องราวของคนอื่น
เขาเพียงแค่เห็นว่าเฟิ่งซิ่วมีความเคารพนายพลเฟิ่งมากนัก เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวในครั้งก่อน เมื่อนึกถึงสภาพของเด็กเมื่อเช้านี้ขึ้นมาเขาก็รู้สึกปวดใจ
“หายใจรวยริน……อาการค่อนข้างแย่ เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด?” เฟิ่งชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กคนนั้นคือลูกของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดานาง ต่อให้เป็นเด็กธรรมดาทั่วไปนางก็ไม่อาจมองข้ามได้
“เช้าวันนี้เอง ตอนที่ข้าเดินทางมาจวนเฟิ่ง” นายพลเว่ยตกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเฟิ่งชิงเฉินจะรุนแรงเช่นนี้
“ให้ตายสิเหตุใดเจ้าจึงไม่พาเขามาด้วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากช้าไปเด็กคนนั้นจะมีอันตรายต่อชีวิต!” เฟิ่งชิงเฉินดุด่าตำหนิเขา จากนั้นคิดอยู่ในใจแล้วกล่าวกับนายพลเว่ยว่า “นายพลเว่ย ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ชิงเฉินขอร้องท่านเรื่องหนึ่ง ช่วยไปอุ้มเด็กคนนั้นมาหาข้า ข้าจะจัดเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินที่ต้องใช้”
“ได้สิ ย่อมได้ เรื่องค่ารักษา……” นายพลเว่ยรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อนึกถึงค่ารักษาที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นในวันนั้น เขาก็เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“นายพลเว่ย ค่ารักษาของข้านั้นจะเก็บตามความสามารถของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันไป หากสามารถช่วยเด็กคนนั้นได้ข้าจะไม่เก็บเงินแม้แต่สตางค์เดียว และข้าก็มีความสุขยิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจเท่าไหร่
ใบหน้าของนางเขียนเอาไว้ว่านางละโมบหรือ?
ทองคำหนึ่งพันตำลึง นั่นเป็นค่ารักษาที่นางเรียกเก็บจากตระกูลหวัง
“เอ่อ……” เห็นได้ชัดว่านายพลเว่ยยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แต่เว่ยฮูหยินได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว นางรีบผลักเขาแล้วกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปอีก เฟิ่งซิ่วเป็นผู้มีจิตใจงดงาม บัดนี้เจ้าจะมากล่าวถึงเรื่องเหล่านั้นเพื่ออะไร การช่วยชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญกว่า”
“ใช่ๆ การช่วยชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญ” แม่ทัพเว่ยได้สติกลับคืนมาแล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอก
“โจวสิง ช่วยพยุงพาเว่ยฮูหยินไปพักผ่อน เมื่อนายพลเว่ยกลับมาแล้วให้พาเขาไปที่กระท่อมไม้” เฟิ่งชิงเฉินไม่อยู่นิ่ง นางหันหลังเดินไปทางห้องผ่าตัดเพื่อทำการเตรียมตัวทันที สีหน้าท่าทางของนางในตอนนี้ค่อนข้างจะวิตกและรู้สึกผิด
นางจะต้องหาโอกาสคุยกับอวี่เหวินหยวนฮั่วถึงเรื่องชีวิตของทหารที่พิการเหล่านั้น
หากไม่ใช่เพราะนายพลเว่ยกล่าวขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินคงไม่มีวันรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาการของบิดาของตนใช้ชีวิตอย่างยากแค้นเช่นนี้
การที่อุ้มลูกไปตระกูลเว่ย คาดว่าคงจะ ไร้สิ้นหนทางแล้วกระมัง
เพียงแต่ว่าเหตุใดคนเหล่านั้นจึงไม่มาหานาง?
เฟิ่งชิงเฉินลืมไปเสียสนิทว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ในจวนเฟิ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าไรนัก ต่อให้มาหานางแล้วอย่างไรเล่า จากนิสัยของเฟิ่งชิงเฉินคนเดิม……อย่างมากสุดก็เอาแต่ร้องไห้
หวังจิ่นหลิงส่งหัวหน้าตระกูลหวังเดินทางออกมา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เฟิ่งชิงเฉินและนายพลเว่ยกำลังสนทนากัน เขาเพิ่งจะมาถึงและยังไม่ได้เอ่ยทักทายเฟิ่งชิงเฉิน เนื่องจากตอนนี้ไม่ง่ายที่จะปรากฏตัวออกไป สองพ่อลูกยืนอยู่บริเวณหัวมุม เพื่อรอคอย คาดมิถึงว่าจะพบเข้ากับฉากนี้
“ค่ารักษาเก็บแตกต่างกันไปตามแต่ละคนและอารมณ์ของนาง เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ ช่างเป็นผู้ตรงไปตรงมายิ่งนัก” หัวหน้าตระกูลหวังมองดูเฟิ่งชิงเฉินที่จากไปด้วยท่าทางรีบร้อน แววตาของเขาเปล่งประกายด้วยความชื่นชม ส่วนเรื่องทองจำนวนหนึ่งพันตำลึงเขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย
แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล……การที่รักษาคุณชายใหญ่ของตระกูลหวังตาบอด แน่นอนว่ามีมูลค่ามากมายมหาศาล
“หากนางไม่ได้ใจกว้างเช่นนี้คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้” หวังจิ่นหลิงยิ้มขึ้น ดวงตาของเขายังมีผ้าพันแผลปิดอยู่ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเดินและการฟัง……
หัวหน้าตระกูลหวังพยักหน้า หลังจากนั้นดูเหมือนเขาจะคิดอะไรได้จึงจ้องมองมาที่หวังจิ่นหลิงด้วยความระมัดระวัง “หลิงเอ๋อร์ เฟิ่งชิงเฉินนั้นยอดเยี่ยมมากก็จริง แต่เจ้าต้องรู้ว่านางไม่เหมาะสมกับเจ้า ฮูหยินใหญ่ของตระกูลหวังต้องไม่ใช่คนเช่นนี้”
“ท่านพ่อ ข้าเข้าใจดี” หวังจิ่นหลิงตอบรับด้วยท่าทางขมขื่น
ท่านพ่อ ‘ลูกถูกนางปฏิเสธไปตั้งนานแล้ว……’
ตงหลิงจื่อลั่ว ‘ไม่เป็นไรหรอก ข้าเองก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน……’
หลานจิ่วชิง ‘พวกเจ้ายังได้กล่าวออกมาแล้ว แต่ข้าไม่มีแม้แต่โอกาสนั้นเลย……’