นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 151 ชื่อเสียงอื้อฉาวหรือดีเด่น ล้วนเป็นเพียงสิ่งนอกกาย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 151 ชื่อเสียงอื้อฉาวหรือดีเด่น ล้วนเป็นเพียงสิ่งนอกกาย

“คุณชายใหญ่เจ้าคะ ท่านชื่นชมชิงเฉินมากไปเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังแน่วแน่ของหวังจิ่นหลิงแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกกดดันอย่างมาก

คนเหล่านี้เชื่อมั่นใจตัวนางขนาดนี้เชียวหรือ?

เสด็จอาเก้า หวังจิ่นหลิง ทุกคนต่างก็ยอมละเว้นเธอ วันนี้ถือเป็นวันที่ดี คนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดว่างานกวีนี้จัดขึ้นเพื่อเฟิ่งชิงเฉินกระมั้ง

หวังจิ่นหลิงอมยิ้ม มือที่ถือพู่กันเอาไว้นั้นแน่วแน่มากเป็นพิเศษ

สิ่งที่เขาสามารถทำเพื่อเฟิ่งชิงเฉินได้นั้นมีไม่มาก ดังนั้นแม้ว่าจะมีโอกาสเล็กน้อย เขาก็จะไม่ยอมแพ้

ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่พูดกระไร แต่คนรอบๆงานนั้นอดใจรอไม่ไหวแล้ว

“คุณหนูเฟิ่ง คุณชายใหญ่แต่งบทกวีให้เจ้า เกียรตินี้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่ได้รับมัน เจ้ารอกระไรอีกหรือ? หรือว่าคุณชายใหญ่ไม่เหมาะสมมากพอที่จะแต่งบทกวีให้เจ้า?” คุณหนูเวินเงยหน้าสูง แทบจะมองนางด้วยคางของตนอยู่แล้ว

นางไม่กลัวเฟิ่งชิงเฉินหรอก เพราะนางไม่มีข่าวฉาวที่น่าละอาย และไม่มีอดีตที่มืดมน

สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินแย่ลงทันที ดวงตาของนางเบิกกว้าง แววตาของนางแหลมคมดั่งใบมีด

“คุณหนูเวินกล่าวกระไรไม่รู้ความยิ่งนัก เจ้ากล่าวว่านี่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แล้วเหตุใดจึงไม่เหมาะสมเล่า?”

นางเป็นคนชอบปกป้องคนรอบข้าง

หากว่านาง นางทนได้ แต่หากจะมาว่าคนรอบข้างนาง นางมิยอมเป็นอันขาด

“หากเป็นเช่นนั้น คุณหนูเฟิ่งรอกระไรอยู่? เจ้าดูสิ ไม่เพียงแต่คุณชายใหญ่กำลังรอเจ้าอยู่ พวกเราทุกคนต่างก็รอคุณหนูเฟิ่งอยู่เช่นกัน คุณหนูเฟิ่งไม่รู้สึกหรือว่าเป็นการอันใหญ่ยิ่ง การที่เราทุกคนต้องมารอเจ้าเพียงผู้เดียว?” คุณหนูเวินไม่ยอมคน นางกล่าวกระตุ้นความโกรธเคืองที่ทุกคนมีต่อเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง

เป็นไปดั่งที่คิด ทันทีที่นางกล่าวจบ สีหน้าของฮูหยินหลายคนเริ่มแย่ลง

พวกเขายืนอยู่นอกสวน มิใช่เพราะรอเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินมิได้มีเกียรติเช่นนี้ แต่หากเดินออกไปตอนนี้ก็จะเป็นการเสียเกียรติอย่างมาก

ทันใดนั้นพวกเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต่างก็โทษเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมา

“คุณหนูเวิน เจ้าพยายามอยากจะก่อความวุ่นวายแต่หากข้ออ้างไม่ได้ชัดๆ เหล่าฮูหยินและคุณชายที่อยู่ตรงนี้ มิได้เกี่ยวข้องกับชิงเฉินแต่อย่างใด นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ คุณหนูเวิน จำเอาไว้ว่าเราสามารถกินตามอำเภอใจได้ แต่จะพูดจาเหลวไหลตามใจตนมิได้ ระวังว่าภัยจะออกจากปาก” คุณหนูเฟิ่งเตือน

“คุณหนูเฟิ่งมิต้องกังวล นี่คืองานกวีในสวนป๋ายฉ่าว มิใช่ตลาดตรอกซอย มิต้องกังวลว่าเราจะเผยแพร่ข่าวกระไรออกไปหรอก คุณหนูเฟิ่งควรเร่งเขียนบทกวีออกมาเสียก่อน ให้พวกเราได้เห็นพรสวรรค์ของเจ้า การเสแสร้งเรื่องจริงกับหลอกนั้นมิใช่ใครก็ทำได้” คุณหนูเวินดูถูกเหยียดหยาม

นางไม่เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถเขียนบทกวีได้ แม้ว่านางจะเตรียมบทกวีเอาไว้แล้ว แต่นางก็จะมารถบีบบังคับนางให้เผยตัวตนออกมาได้

ลูกชายตระกูลหวังไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถไขว่คว้าไปได้ อย่าคิดว่ารักษาโรคตาของคุณชายให้หายได้ เท่ากับว่าตนคว้าตระกูลหวังเอาไว้ได้

ตระกูลหวังซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ระดับขุนนาง ไม่มีทางยอมรับผู้หญิงอย่างเฟิ่งชิงเฉินแน่นอน

การให้เฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวในงานกวีนี้ ถือเป็นสิ่งที่ผิดพลาดในงานก็ว่าได้

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว หากว่าเขียนบทกวีไม่เป็น ก็เร่งออกจากตรงนี้ไปซะ อย่าคิดว่าเสด็จอาเก้าเป็นคนส่งเจ้ามา เจ้าก็จะเป็นคนพิเศษ แม้จะเป็นเสด็จอาเก้า หากเขียนบทกวีมิได้ ก็ไม่สามารถเข้าสวนป๋ายฉ่าวนี้ได้เช่นกัน”

“เฟิ่งชิงเฉิน หากเจ้าไม่มีพรสวรรค์นี้ ควรออกไปโดยเร็วที่สุด นี่คืองานบทกวี มิใช่งานดอกเลี้ยงท้อของเหล่าองค์หญิงที่ใครก็สามารถเข้าได้”

ทันทีที่ข่าวงานเลี้ยงดอกท้อออกมา ก็กลายเป็นคำพูดดูถูกของตระกูลชั้นผู้ดีเอาไว้ดูหมิ่นเหล่าตระกูลขุนนาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์หญิงอู่อันมีเรื่องอื้อฉาวทั้งเรื่องสำส่อน เรื่องแท้งบุตร เป็นเหตุทำให้เหล่าคุณหนูจากตระกูลใหญ่ก็ดูถูกคุณหนูตระกูลขุนนาง คิดว่าพวกนางนั้นสวยงามเพียงแต่ภายนอกอันที่จริงนั้นเป็นคนหยาบคายและไร้มารยาท

แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนเปิดโปง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็เป็นคนประเภทนั้นเช่นกัน และวันนี้เฟิ่งชิงเฉินได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นไม่มีใครชอบนาง

เสียงบ่นของเหล่าหญิงสาวดังขึ้นเรื่อยๆ หวังชีส่ายหน้า

เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนมีความสามารถจริงๆ นางสามารถกระตุ้นให้ทุกคนโกรธเคืองได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งสามารถทำให้คุณหนูตระกูลชั้นผู้ดีนั้นไม่สามารถที่จะรักษาภาพลักษณ์ผู้ดีของตนเอาไว้ได้

เขาส่งสายตาถามเฟิ่งชิงเฉินว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่? แม้ว่าอาจจะน่าอาย แต่ก็ดีกว่าถูกไล่ออกจากงานกวี ……

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัวเบา ๆ และแสดงท่าทางที่ไม่มีปัญหาออกมา

คนในเหตุการณ์ที่เชื่อว่านางสามารถเขียนบทกวีเชยชมดอกไม้ออกมาได้ คงมีแค่หวังจิ่นหลังแล้วล่ะ

นางไม่เข้าใจจริงๆว่าเหตุใดหวังจิ่นหลิงถึงเชื่อมั่นในตัวนางเช่นนี้

เช่นนั้นล่ะก็ เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ทำความเชื่อใจของอีกฝ่ายพังทลาย ในเมื่อไม่สามารถแต่งบทกวีดอกไม้ออกมาได้ เช่นนั้นก็ท่องออกมาสักบทหนึ่ง เพราะจะทำให้หวังจิ่นหลังผิดหวังมิได้….

“คุณชายใหญ่ ฟังให้ดี”

เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยเสียงดังก้อง ท่ามกลางเสียงโกลาหล มันไม่โดดเด่นมาก แต่น่าแปลกที่สามารถทำให้ทุกคนเงียบได้ พวกนางต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอดูเฟิ่งชิงเฉินเสียหน้า

เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงและเดินไปมาอยู่ที่เดิม แล้วก็เอ่ยปากกล่าวว่า “ดอกเสาเย่าที่อยู่หน้าศาลนั้นงามแต่ไร้ความแข็งแกร่ง ดอกบัวที่อยู่ในบึงนั้นสง่าสระบริสุทธิ์แต่มิอาจสื่ออารมณ์ได้ มีเพียงโบตั๋นเท่านั้นที่เป็นความงามของนครนี้ ยามผลิบานสะเทือนเลือนลั่นทั้งนครหลวง”

เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงและเดินไปมาอยู่ที่เดิม แล้วก็เอ่ยปากกล่าวว่า “ดอกเสาเย่าที่อยู่หน้าศาลนั้นงามแต่ไร้ความแข็งแกร่ง ดอกบัวที่อยู่ในบึงนั้นสง่าสระบริสุทธิ์แต่มิอาจสื่ออารมณ์ได้ มีเพียงโบตั๋นเท่านั้นที่เป็นความงามของนครนี้ ยามผลิบานสะเทือนเลือนลั่นทั้งนครหลวง”

หวังจิ่นหลิงตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นเขาก็เร่งโบกโบยพู่กันในมือ จดเอาไว้ทีละคำ

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินพูดคำสุดท้ายจบ หวังจิ่นหลิงเขียนเสร็จในทันที

“เพี๊ยะ” หวังจิ่นหลิงวางพู่กันลง แล้วหยิบงานที่ตนเขียนขึ้นมา กล่าวชมสามครั้งว่า “ดี ดียิ่ง ดีเยี่ยม”

ดีอย่างมาก!

ดีเสียจริง คุณชายใหญ่ว่าดี จะแย่ได้อย่างไร

แววตาที่เหล่าคุณชายมองเฟิ่งชิงเฉินนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่เหล่าคุณหนูกับมองนางด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์อย่างมาก

หวังจิ่นหลิงชมว่าดีมาก่อน ฉะนั้นพวกนางจะว่าแย่มิได้

แต่พวกนางปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ พวกนางต่างปิดปากและปฏิเสธที่จะเห็นด้วย

นี่เป็นผลมาจากการทำให้หมู่คนโกรธเคือง

เซี่ยซานรีบลุกขึ้นยืนและพูดด้วยรอยยิ้ม” คุณชายใหญ่ขอรับ ท่านชมว่าบทกวีนั้นดี หรือชมงานของตนว่าดีขอรับ”

เซี่ยซานดีใจกับเฟิ่งชิงเฉินอย่างมาก เขาไม่คาดคิดว่าหญิงไร้มารยาทที่พิงเสาอยู่นั้น สามารถแต่งบทกวีได้จริง

เมื่อเผชิญกับแววตาที่ชื่นชมจากใจของเซี่ยซาน หวังชีและคนอื่นๆ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเขนิจนหูแดงเล็กน้อย

นางแค่ท่องบทกวีมาเพียงหนึ่งบท และนางรู้สึกผิดเล็กน้อย

“แน่นอนว่าบทกวีนั้นดี และงานที่เขียนนั้นดียิ่งกว่า” หวังชีก้าวไปข้างหน้าและแสดงคำที่หวังจิ่นหลิงเขียนให้คนอื่นๆได้เห็น และดึงเอาความสนใจของทุกคนมุ่งไปที่หวังจิ่นหลิง

บางทีอาจเป็นเพราะความโกรธที่อัดอั้นเอาไว้ งานที่หวังจิ่นหลิงเขียนออกมานั้น งานยิ่งกว่าฝีมือทั่วไปของเขา อักษรเฉ่าทั้งสองบรรทัด งามดั่งมังกรที่แหวกว่ายกระโดดก้าวไปมาอยู่บนกระดาษ

“เขียนออกมาได้ดียิ่งนัก” แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่เข้าใจ แต่นางสามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาของอักษรนั้น ทำให้นางอยากมองซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เขียนดียิ่งนัก ต่างก็บอกว่าอักษรที่ลูกชายของตระกูลหยุนเขียนนั้นมีค่า ข้าคิดว่าเมื่อเทียบกับของคุณชายใหญ่แล้ว อักษรของคุณชายใหญ่ดียิ่งกว่า” ฮูหยินเซียเป็นผู้จัดงานกวี นางเอ่ยปากอย่างแน่วแน่ และแอบรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

จุดสนใจของงานกวียังคงอยู่ที่หวังจิ่นหลิง เช่นนั้นก็ดีแล้ว

หากแต่ว่าวันนี้เฟิ่งชิงเฉินได้รับความสนใจมากกว่า งานกวีนี้คงจะล้มเหลวจริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้จัดงานกวี นางเองก็จะดูเสียเกียรติยิ่งนัก

คุณชายที่อยู่ข้างนอกนั้น ต่างก็เข้าใจกันดี พวกเขาล้อมรอบหวังจิ่นหลิงเอาไว้ และยกย่องเขาอย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนี้เฟิ่งชิงเฉินก็ถอยห่างฝูงชนอย่างเงียบ ๆ

ได้รับความสนใจอย่างพอประมาณก็พอแล้ว หากว่าเป็นที่สนใจมากไป จะมีแต่คนเกลียดชัง

“เฟิ่งชิงเฉิน วันนี้เจ้าแต่งกายดูดีอย่างมาก” หวางฉีก็ถอยออกมาเช่น เขาดึงเฟิ่งชิงเฉินมาและพึมพำด้วยเสียงเบาๆว่า

“ปกติข้าเป็นคนขี้เหร่งั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินจ้องไปที่หวังชีด้วยสายตาที่โกรธเคือง

หวังชีอธิบายอย่างรวดเร็ว “เปล่า เพียงแต่ว่าการแต่งกายวันนี้ของเจ้า แสดงจุดเด่นของเจ้าออกมาทั้งหมด ปกติเจ้าจะแต่งกายเรียบง่าย”

“ปกติข้าต้องการแค่ความสะดวก แต่วันนี้มางานกวี อย่างน้อยต้องให้หน้าตัวเอง” เฟิ่งชิงเฉินขี้เกียจที่จะบอกหวังชีว่า เพราะก่อนที่จะออกเดินทางนางพบว่าตนมีเครื่องประดับน้อยเกินไป เครื่องประดับชุดเดียวที่มีอยู่นั้น นางใส่ไปตอนงานดอกท้อมากแล้ว

ความรู้พื้นฐานของการออกงานนางทราบดี นั่นก็คือห้ามใส่เสื้อผ้าซ้ำกัน และห้ามใส่เครื่องประดับเดิมๆ เสื้อผ้าที่คุณหนูตระกูลผู้ดีชั้นสูงใส่ออกจากบ้านนั้น พวกนางจะใส่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

แม้ว่านางจะไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้ แต่การออกงานเช่นนี้ หากว่าใส่เสื้อและเครื่องประดับซ้ำมันไม่ดีเท่าไหร่

เมื่อมีคนรู้ เขาจะไม่พูดว่าเธอประหยัด แต่จะบอกว่าไม่รู้กาลเทศะ

หวังชีพยักหน้า “ถูกต้อง แต่วันนี้เจ้าเป็นเป็นเกียรติอย่างมาก พี่ใหญ่และข้าคิดว่าเจ้าจะมาสายเสียทำให้เซี่ยฮูหยินไม่พอใจเสียอีก ไม่คิดว่าเจ้าจะมาพร้อมเสด็จอาเก้า”

เฟิ่งชิงเฉินเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าสามารถให้เสด็จอาเก้ามาส่งเจ้าได้ หากว่าข้ามิได้เห็นเองกับตา ข้าคงไม่กล้าเชื่อ ข้าขอบอกไว้เลยว่า หลังจากเรื่องวันนี้ถูกประกาศออกไป เหล่าคุณหนูตระกูลผู้ดีคงแห่กันรถม้าเสียกระมั้ง”

“เพราะเหตุใดหรือ?”

“โง่เขลาเสียจริง เพราะต่างก็อยากเจอเสด็จอาเก้าโดยบังเอิญ แต่ได้นั่งรถม้าร่วมกับเสด็จอาเก้าไงล่ะ” หวังชีมองนางด้วยสีหน้าที่มองคนโง่เขลา

เอ่อ?

“เป็นไปได้หรือ? เสด็จอาเก้ามิได้เป็นคนที่คุยง่ายเช่นนั้น อีกอย่างนี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญมิใช่หรือ” เฟิ่งชิงเฉินไม่เชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะใจดีเช่นนี้

อีกอย่าง เรื่องเช่นนี้มีแต่ความบังเอิญเท่านั้น ขอกันไม่ได้หรอก

“แม้ความเป็นไปได้จะน้อยมาก แต่หากลองทำดูก็ไม่ผิดกฎกระไร เจ้าไม่รู้หรอกว่าเวลาเหล่าคุณหนูพวกนี้บ้าคลั่งขึ้นมาน่ากลัวอย่างมาก เจ้ารอดูเถอะ รอพี่ใหญ่ข้ากลับจวน ของขวัญที่ตระกูลข้าได้รับกองเต็มสวนหลังบ้านอย่างแน่นอน” แม้ว่าเขาจะส่ายหน้าและถอนหายใจ แต่สีหน้าของหวังชีนั้นภูมิใจอย่างมาก

“นี่เป็นเรื่องที่ดี” เมื่อมองไปที่หวังจิ่นหลิงซึ่งถูกผู้คนรายล้อม เฟิ่งชิงเฉินดูภูมิใจแทนเขาอย่างมาก

นางรู้ว่าเมื่อดวงตาของหวังจิ่นหลิงหายดี เขาจะต้องแพรวพราวราวกับดวงจันทร์อย่างแน่นอน และนางคิดถูกแล้ว

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนรักษาดวงตาหวังจิ่นหลิงจนหายดี นางรู้สึกภูมิใจอย่างมาก

“ไม่ต้องมองแล้ว มองเท่าไหร่พี่ใหญ่ของข้าก็มิใช่คนของเจ้าอยู่ดี ไปเถอะ เราเข้าสวนกันเถอะ สวนป๋ายฉ่าวนี้สร้างอยู่ใกล้ภูเขา มีดอกไม้ที่มีชื่อเสียงมากมายในโลกนี้ ควรค่าแก่การเยี่ยมชม”

วันนี้เจ้าเป็นที่สนใจอย่างมาก ซึ่งเป็นข้อห้ามใหญ่ในงานกวี หากว่าเจ้ามีภูมิหลังที่แข็งแกร่งก็ยังพอไหว แต่เจ้าตัวคนเดียว ฉะนั้นจะต้องถูกคนอื่นเกลียดชังเป็นแน่ ประเดี๋ยวเข้าสวนไป เจ้าอย่าไปอยู่กับคนเหล่านั้น ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมชมให้ทั่ว แม้ว่าฤดูนี้จะไม่มีดอกโบตั๋น แต่ว่าดอกอื่นๆก็งามไม่แพ้กัน”

“ได้” เฟิ่งชิงเฉินตกลงอย่างง่ายดาย

“อย่างไรก็ตาม เจ้ามิต้องกังวลมากไป พี่ใหญ่ของข้าเป็นคนเขียนให้กับเจ้า ฉะนั้นบทกวีที่เจ้าแต่งในวันนี้จะต้องถูกเผยแพร่อย่างแน่นอน ตระกูลหวังช่วยเจ้าอีกสักนิด ชื่อเสียงของเจ้าจะต้องดังก้องในเมืองหลวงนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะคอยดูว่าใครจะกล้ากล่าวถึงอดีตของเจ้าอีก” หวังชีส่งสัญญาณให้เฟิ่งชิงเฉินตามเขาไป

“หญิงมากความสามารถหรือ? ข้ารับไว้มิได้หรอก?” นางรู้สึกผิดอย่างมาก

“ไม่ว่าเจ้าจะรับได้หรือไม่? ชื่อเสียงมีความสามารถยังไงก็ดีกว่าชื่อเสียงอื้อฉาวของเจ้าในก่อนหน้านี้” หวังชีกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์

เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นความหวังดีของพี่ใหญ่เลย

“ชื่อเสียงมากพรสวรรค์แล้วอย่างไร? เป็นแค่สิ่งนอกกาย สนใจเรื่องเหล่านี้ทำไมกัน?” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เข้าสวนป๋ายฉ่าวไปพร้อมกับหวังชี

ทั้งสองกำลังจะหาทางที่จะเดินหลีกฝูงชน แต่ไม่คาดคิดว่า……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท