บทที่ 168 พอจะงีบหลับก็มีคนส่งหมอนให้
ต่อมานางพบอวี่เหวินหยวนฮั่วและกลับมาที่จวนเฟิ่งได้อย่างไรนางล้วนจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นางเพียงรู้สึกราวกับว่านางกำลังเดินอยู่บนปุยฝ้าย ทั้งร่างของนางล่องลอยขึ้นและยิ้มโง่ๆ ไปตลอดทาง
ยิ่งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนที่ตงหลิงจิ่วอุ้มนางลงจากหลังม้า นางเห็นอวี่เหวินหยวนฮั่วและพูดกับเขาอย่างร่าเริง “อวี่เหวินหยวนฮั่ว เสด็จอาเก้าอุ้มข้าด้วย ฮ่าๆๆ ข้าจะไม่อาบน้ำไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเวลาสามวัน”
ฮ่าๆ … ทุกคนหัวเราะ แต่ภายใต้สายตาตักเตือนเย็นเยียบของตงหลิงจิ่ว พวกเขาก็รีบกลั้นหัวเราะทันที
ช่างทรมานสุดๆ ไปเลย
ขึ้นเขาตอนกลางคืนก็มีประโยชน์ไม่เลวเหมือนกัน
เล่าทหารต่างกวาดความเหนื่อยล้าและมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน
อวี่เหวินหยวนฮั่วกลับตบหน้าผากด้วยท่าทางเสียใจเสียดายสุดขีด
โธ่สวรรค์ เขารู้จักผู้หญิงอย่างเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร เขารีบยัดผู้หญิงคนนี้เข้าไปในรถม้าเพื่อช่วยไม่ให้นางอับอายไปมากกว่านี้ ในขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งห้ามทุกคนห้ามพูดถึงเรื่องในวันนี้เด็ดขาด
น่าขายหน้า น่าขายหน้ายิ่งนัก
เขาโตมาจนถึงขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นสตรีใดที่ไร้ยางอายแบบนี้มาก่อนเลย เรื่องแบบนี้ยินดีเพียงในใจก็พอแล้ว จะพูดมันออกมาทำไมกัน
สิ่งสำคัญที่สุดคือนางไม่จะยอมรับในภายหลัง หนำซ้ำยังหาว่าเขาเป็นคนใส่ร้ายนางเสียอีก
ช่างแย่เหลือเกิน… ที่เขาไม่สามารถเชิญตงหลิงจิ่วมาเป็นพยานได้
เมื่ออวี่เหวินหยวนฮั่วคุ้มกันตงหลิงจิ่วและเฟิ่งชิงเฉินกลับมาที่เมือง ตระกูลหวัง ตระกูลหลี่ ตระกูลเซี่ย ตระกูลหยาง ตระกูลชุย ตระกูลเจิ้ง ตระกูลฮู่ ตระกูลเวินก็กำลังถกเถียงกันเรื่องหนังสือฟ้องที่จะยื่นให้ราชสำนักตงหลิง
ตระกูลเซี่ยสนับสนุนให้โยนความผิดเรื่องการโจมตีสวนป๋ายฉ่าวให้ตงหลิงจิ่วไปเสีย โดยบอกว่าเขาเป็นผู้นำหมาป่ามา ปล่อยหมาป่าลงจากภูเขาทำให้เกิดอันตรายต่อชาวบ้าน ทำให้คนมากมายต้องสังเวยชีวิต
ข้อเสนอนี้ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคนยกเว้นตระกูลหวัง
พวกเขาไม่สนใจว่าใครปล่อยหมาป่าเข้ามาในสวนป๋ายฉ่าว พวกเขาสนใจเพียงแต่ว่าเมื่อโยนความผิดไปให้เชื้อพระวงศ์แล้ว ราชสำนักย่อมต้องชดเชยให้แก่ประชาชน
ตระกูลดังเหล่านี้ถูกกดขี่อย่างรุนแรงในหลายปีมานี้ พวกเขาต้องการโอกาสและนี่เป็นโอกาสที่ดี
หวังจิ่นหลิงไม่เห็นด้วย หากต้องการหาแพะรับบาปสำหรับฝูงหมาป่าก็ควรจะเป็นองค์ชายชุนหยู
ตงหลิงจิ่วดูไม่สนใจเรื่องทั่วไป แต่แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่จะทำให้ขุ่นเคืองใจได้ หวังจิ่นหลิงไม่อยากเผชิญหน้ากับตงหลิงจิ่ว
ข้อเสนอของหวังจิ่นหลิงถูกผู้อื่นคัดค้าน เหตุผลก็คือจักรพรรดิทรงโปรดปรานองค์ชายชุนหยูและเกลียดชังตงหลิงจิ่ว หากสามารถสาดโคลนตงหลิงจิ่วได้ พวกเขาจึงจะสามารถได้สิ่งที่ต้องการ
หวังจิ่นหลิงตบมือข้างเดียวไม่ดัง ตระกูลเซี่ยและตระกูลหลี่เขียนฎีกาขึ้นถวายต่อองค์จักรพรรดิติดต่อกันหลายคืน
อันที่จริงการคาดเดาของพวกเขานั้นถูกต้อง เมื่อจักรพรรดิเห็นฎีกาของตระกูลเหล่านี้ก็ยิ้มเย็น…
พอจะงีบหลับก็มีคนส่งหมอนให้ทันที…
ไม่ว่าฮ่องเต้จะทำโทษหรือประทานรางวัลล้วนถือเป็นความเมตตา ทันทีที่ตงหลิงจิ่วกลับมายังเมืองหลวง เขาก็ต้องเผชิญกับความโกรธกริ้วดังฝนฟ้าคะนองขององค์จักรพรรดิ…
แม้ไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงร่าเริงและเปี่ยมไปด้วยพลังงานในวันรุ่งขึ้น ดูไม่ออกเลยว่านางได้ต่อสู้กับหมาป่าเมื่อวานนี้และวิ่งไปตามถนนบนภูเขาทั้งคืน
ช่วยไม่ได้ที่นางจะอารมณ์ดี พออารมณ์ดีแล้ว อะไรๆ ก็ดูน่าพอใจไปเสียหมด
เช้าตรู่ นางไปที่ห้องพักเพื่อตรวจอาการบาดเจ็บของเถี่ยโถวและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็กำชับพี่สะใภ้เถี่ยอีกสองสามคำแล้วนางก็ไปยังห้องผ่าตัด เตรียมที่จะเปิดหน้าต่างระบายอากาศ
สำหรับผื่นแพ้ของตงหลิงจิ่ว นางไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าตนเองมีปัญหานี้ คงจะเตรียมยาไว้นานแล้ว
ยาสมุนไพรจีนโบราณมีประสิทธิภาพในการรักษาผื่นแพ้เพราะพวกเขาปรับสมดุลจากภายในสู่ภายนอก
ทันทีที่นางเดินออกมายังลานก็พบกับโจวสิง
“ท่านพี่ คนจากตระกูลเซี่ยมาหาท่าน”
“ตระกูลเซี่ย? ใครกัน?” นางอารมณ์ดีจนถึงขนาดได้ยินว่าตระกูลเซี่ยก็ไม่โกรธ
“ฮูหยินรองเซี่ย” โจวสิงไม่รู้สึกละอายที่เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ดีหรือไม่ดีเพราะผู้ชาย ช่วยไม่ได้ เขามันต้อยต่ำ พูดอะไรออกไปก็เปล่าประโยชน์
“เชิญนางไปที่ห้องไม้” เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีถึงจุดประสงค์ในการมาของนางโดยไม่ต้องคิด
แม้ว่าตระกูลเซี่ยจะไม่มีคุณธรรม แต่นางกลับตกปากรับคำว่าจะรักษาภาวะมีบุตรยากให้กับฮูหยินรองเซี่ยแล้วและแน่นอนว่านางคงไม่สามารถคืนคำได้
ในภพที่แล้ว โฆษณาชวนเชื่อรักษาภาวะมีบุตรยากทำให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว การมีลูกไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบเท่านั้น แต่การมีลูกที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดของตนเองมีความสำคัญต่อผู้หญิงมากกว่าสิ่งอื่นใด
ความเป็นแม่นั้นทำให้ผู้หญิงแข็งแกร่งขึ้น จะเห็นได้ว่าพวกนางทำทุกอย่างเพื่อลูกได้
ไม่ว่านางจะโกรธตระกูลเซี่ยมากเพียงใด นางก็จะไม่เอาความโกรธของนางมาลงกับฮูหยินรองแห่งตระกูลเซี่ย
โจวสิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมาก และรีบเชิญฮูหยินรองเซี่ยเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ห้องด้านนอกของห้องไม้โดยสารได้รับการตกแต่งตามความเคยชินของแพทย์สมัยใหม่ ทันทีที่ฮูหยินรองเซี่ยเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ฮูหยินรอง เชิญนั่ง”
“หมอเฟิ่ง” ฮูหยินรองเซี่ยฝืนยิ้มและมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตารู้สึกผิด
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจถึงความกังวลของนางดีจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฮูหยินรอง ท่านวางใจเถอะ เรื่องระหว่างข้าและตระกูลเซี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน ในเมื่อข้ารับปากว่าจะรักษาท่านแล้วก็จะไม่คืนคำและยิ่งไม่มีทางทำให้ตนเองเสียชื่อ”
ฮูหยินรองเซี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความกังวลของนางก็สลายหายไป “เป็นข้าเองที่ใจแคบ ความมีคุณธรรมของท่านหมอเฟิ่งทำให้ข้าชื่นชมยิ่งนัก”
“ฮูหยินรองกล่าวเกินไปแล้ว ชิงเฉินไม่ได้มีคุณธรรมถึงเพียงนั้น ชิงเฉินเป็นหมอ นี่เป็นสิ่งที่แพทย์ควรทำ ในเมื่อฮูหยินรองมาให้ช่วยรักษา เช่นนั้นกฎของข้า ฮูหยินรองคงทราบอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินมองฮูหยินรองเซี่ยอย่างประเมินและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ไม่เลวๆ ต้องบำรุงให้มีน้ำมีนวล ร่างกายเช่นนั้นจึงจะแข็งแรงและเหมาะสำหรับการตั้งครรภ์
เมื่อพูดถึงรูปร่าง เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องบ่นว่าในยุคที่ความผอมบางถือเป็นความงามในยุคหลัง เด็กผู้หญิงบางคนพยายามลดน้ำหนักอย่างมาเพื่อที่จะทำให้ตัวบางผอมสวยเหมือนกระดาษ แต่กลับไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างมากและไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญพันธุ์
นอกจากนี้ผอมจนมีแต่หนังหุ้มกระดูกดูแล้วก็ไม่มีวาสนา คนโบราณให้ความสำคัญกับใบหน้า ผู้หญิงที่มีใบหน้ากลมกลึงเปล่งปลั่งไม่เพียงแต่มีวาสนา ทั้งยังมีลูกง่าย และถึงแม้จะผอมแต่ก็ผอมโดยไม่เห็นกระดูกโผล่ออกมา
ฮูหยินรองเซี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ตอนที่นางเพิ่งเข้ามา ชายหนุ่มที่ชื่อโจวสิงก็ได้บอกนางไว้แล้ว
“ไม่รู้ว่าท่านหมอเฟิ่งจะคิดค่าหมอเท่าไหร่” ฮูหยินรองเซี่ยกังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะคิดราคาสูงลิ่ว แต่ก็ยิ่งกังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะบอกว่าราคาต่ำมากด้วยเช่นกัน
แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและอารมณ์ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินรับเงินโดยดูจากคน หากแพงไปก็คงจ่ายไม่ไหว แต่หากต่ำไปก็จะเสียศักดิ์ศรีและไม่สมฐานะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนางถูกอบรมมาอย่างเพียบพร้อม แม้ว่านางจะกังวลแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นสาวใช้ด้านข้างที่ดูร้อนอกร้อนใจ
เฟิ่งชิงเฉินแอบยิ้มในใจอย่างลับๆ นางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ ทำให้ผู้คนยิ่งประหม่าขึ้นไปอีกอย่างไร้สาเหตุ
“ท่านฮูหยินรองโปรดวางใจ ชิงเฉินไม่ใช่หมอที่ไร้ยางอาย ไม่มีทางคิดราคาแพงเกินไปนัก ค่าหมอของฮูหยินชิงเฉินคิดหนึ่งพันตำลึงเงินก็แล้วกัน”
“หนึ่งพันตำลึงเงิน น้อยเช่นนี้เชียวหรือ” ฮูหยินรองเซี่ยประหลาดใจ สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังของนางก็เอ่ยถามขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าน่าขบขันยิ่งนัก
ถึงผู้อ่าน : ตระกูลหวังและตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลดัง ตระกูลหวังมีบุรุษรูปงามมากมาย สิบตระกูลดัง ได้แก่ ตระกูลหลี่แห่งหลงซี ตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น ตระกูลหยางแห่งหงหนง ตระกูลหวังแห่งไท่หยวน ตระกูลหวังแห่งหลางหยา ตระกูลเซี่ยแห่งเฉินจวิ้น ตระกูลชุยแห่งชิงเหอ ตระกูลเจิ้งแห่งหรงหยาง ตระกูลฮู่แห่งฟ่านหยางและตระกูลเวินแห่งไท่หยวน