บทที่ 173 อยากพบเสด็จอาเก้าหรือ? ได้ รับเป็นศิษย์สิ
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัว ตงหลิงจื่อชุนก็ถึงกับผงะ เขาได้ยินเฟิ่งชิงเฉินบอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากตน โดยขอให้นางได้มีโอกาสไปพบตงหลิงจิ่ว เขาฟังแล้วก็มีสีหน้าลำบากใจในทันที
แม้ตงหลิงจื่อชุนจะบุ่มบ่าม แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เบื้องลึกเบื้องหลังมีหรือที่เขาจะไม่รู้
เฟิ่งชิงเฉินเห็นลักษณะท่าทางของเขาแล้วก็รู้ว่าเขาไม่ค่อยสบายใจ นางจึงไม่พูดอะไรมาก แล้วมองไปที่แผลของตงหลิงจื่อชุน เมื่อนางเห็นบนแผลมีน้ำอยู่ สีหน้าของนางก็ดูแย่ในทันที
นางก้าวเท้าเข้าไปแกะผ้าพันแผลของเขาออกโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว และได้พบว่าบาดแผลของเขานั้นกำลังบวมน้ำ เฟิ่งชิงเฉินหน้าเสียหนักกว่าเดิม นางบ่นตงหลิงจื่อชุนไปยกใหญ่ แล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนี้ตนเองลืมกำชับเรื่องข้อควรระวังไป จึงหุบปากตัวเองแทบไม่ทัน แล้วก้มหน้าก้มตาใส่ยาและพันแผลให้เขาใหม่
ช่วงแรกๆตงหลิงจื่อชุนก็ได้แต่นึกอิจฉาที่เสด็จอาเก้าชื่นชอบเฟิ่งชิงเฉิน แต่เมื่อได้เห็นความห่วงใยที่เฟิ่งชิงเฉินมีให้กับตนแล้ว ตงหลิงจื่อชุนก็อดยิ้มแห้งๆไม่ได้
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้โง่ เขาไม่สามารถพาเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในคุกฟ้าได้แน่นอน แต่เมื่อเขาเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินร้อนใจ ก็รู้ได้ทันทีว่าหากตนไม่ช่วยนาง นางก็ต้องไปหาคนอื่นมาช่วยนางอยู่ดี
แล้วเขาก็คิดขึ้นมาว่า ในยามที่เฟิ่งชิงเฉินลำบากก็นึกถึงตนเป็นคนแรก นี่ก็แสดงว่าในใจเฟิ่งชิงเฉินย่อมมีเขาอยู่อย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ตงหลิงจื่อชุนก็ชี้แนะแนวทางให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนางแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขอบคุณตงหลิงจื่อชุน ก่อนจะต่อด้วยการกำชับเรื่องข้อควรระวัง และยังย้ำกับเขาด้วยว่าหลังจากนี้ 3 วันจะกลับมาดูอาการเขาอีกครั้ง
และแน่นอนว่า เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ลืมที่จะยกน้ำแกงที่ผู้หญิงของเขาเตรียมไว้ให้ขึ้นมา
“แม่นางเฟิ่ง คน คนพวกนั้น เสด็จพ่อพระราชทานให้ข้ามา แล้วก็มีที่คนอื่นมอบให้ด้วย ข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้……” ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อตงหลิงจื่อชุนได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดเรื่องผู้หญิงในจวนของเขาแล้ว เขาก็มีท่าทางลุกลี้ลุกลนและรีบอธิบายรายละเอียดให้นางฟัง
เฟิ่งชิงเฉินหรี่ตาและยิ้มหวาน “องค์ชาย ชิงเฉินเข้าใจดีเพคะ วัยหนุ่มสาวก็เป็นเช่นนี้แหละ”
ผู้ชายที่อายุ 16-17 แล้ว กำลังอยู่ในวัยที่ต้องเรียนรู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย แล้วการเกิดมาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ เรื่องแบบนี้จะพลาดได้อย่างไร แล้วอีกอย่าง……เรื่องผู้หญิงของตงหลิงจื่อชุนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย
แต่เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาเช่นนั้นแล้วก็โล่งใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะมองเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ในตงหลิงนี้นอกจากเสด็จอาเก้าที่ไม่ยุ่งเรื่องผู้หญิง กับหวังจิ่นหลิงที่เคยตาบอดแล้ว ผู้ชายคนอื่นๆก็มีนางเล็กๆกันทั้งนั้น
เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงเสด็จอาเก้า นางเล่าให้ตงหลิงจื่อชุนฟังได้ไม่มากนัก เมื่อเห็นสายตาที่ตงหลิงจื่อชุนจ้องมองมาที่นาง ทำให้นางรู้สึกแปลกจนขนลุก นางจึงไม่พูดอะไรต่อแล้วรีบขอตัวกลับ
อวี่เหวินหยวนฮั่วรอเฟิ่งชิงเฉินในรถม้าตรงจุดเดิม
“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี่เหวินหยวนฮั่วเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“ไปจวนซุนเจิ้งเต้า”
“ซุนเจิ้งเต้าที่เป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงน่ะหรือ? เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่เกรงว่าฮ่องเต้คงจะไม่ทรงยุ่งกับพวกหมอหลวงหรอก” อวี่เหวินหยวนฮั่วประเมินสถานการณ์แล้วมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางหนักใจ
การจะเกลี้ยกล่อมซุนเจิ้งเต้าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินก็ไปมีเรื่องกับหมอหลวงมาหลายคน ไม่รู้ว่าซุนเจิ้งเต้าจะชังนางด้วยหรือไม่
หัวหน้าสำนักหมอหลวงคนก่อนจบชีวิตลงเพราะตงหลิงจื่อลั่ว ส่วนซุนเจิ้งเต้าก็ได้มารับตำแหน่งต่อจากเขา แต่เขาต้องกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์ให้กับพ่อ จนเมื่อ 2-3 วันก่อน ฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งเรียกตัวเขากลับมาทำหน้าที่หัวหน้าสำนักหมอหลวงอีกครั้ง
“มันก็ต้องลองดู องค์ชายชุนหยูแนะนำเขา ก็น่าจะพอมีโอกาสบ้างแหละนะ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวพลางนึกถึงสายตาที่ตงหลิงจื่อชุนมองตน ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งไม่สบายใจ
สายตาแบบนั้น ทำไมดูเหมือนว่าเขาจะมีความในใจให้กับนาง
แล้วนางก็ส่ายหน้า พร้อมพูดกับตัวเองในใจว่าตนคิดมากเกินไปแล้ว
องค์ชายผู้สูงส่งอย่างองค์ชายชุนหยูจะมาชายตามองคนอย่างนางได้อย่างไร ชื่อเสียงของนางป่นปี้มานานแล้ว ไม่มีใครมองนางแล้วทั้งนั้น ยิ่งองค์ชายชุนหยูยิ่งไม่ต้องพูดถึง
อวี่เหวินหยวนฮั่วเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีท่าทีเหม่อลอย แล้วก็ส่ายหน้าเป็นครั้งคราว ก็เข้าใจว่านางกำลังหาวิธีเกลี้ยกล่อมซุนเจิ้งเต้าอยู่ จึงไม่รบกวนนาง ทั้งสองนั่งรถม้ามาจนถึงจวนของซุนเจิ้งเต้า ซึ่งก็ไปจอดรถไว้ที่หน้าประตูเล็กอีกเช่นเคย
“เฟิ่งชิงเฉิน คราวนี้เจ้าเข้าไปข้างในเองนะ ในจวนตระกูลซุนไม่มีคนของข้า” อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่ต้องการที่จะลงจากรถม้า
เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินพยายามช่วยเสด็จอาเก้านี้ แม้ฮ่องเต้จะทรงรับรู้แต่ก็ไม่ทรงเก็บเอาไปคิด ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องแยแส
แต่สำหรับเขากลับไม่ใช่แบบนั้น เพราะเขาคือผู้กุมอำนาจการทหาร
เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากอวี่เหวินหยวนฮั่วอยู่แล้ว นางมองไปที่ประตูเล็กและบ่นว่า “ท่านนี่ถนัดเข้าทางประตูเล็กจริงๆนะ”
“ข้าก็อยากเข้าทางประตูใหญ่ แต่กลัวว่าเจ้าจะเข้าไปไม่ได้ เร็วๆเถอะน่า…… ข้ายังต้องคอยไปสกัดสายลับของจวนองค์ชายชุนหยูอีก เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องที่เจ้าเข้าไปในจวนขององค์ชายรู้ไปถึงในวังหลวง” อวี่เหวินหยวนฮั่วกล่าวอย่างอารมณ์ไม่สู้ดี
เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าเขาว่างงานนักหรือ เขาเองก็มีเรื่องยุ่งๆที่ต้องสะสางเช่นกัน ไหนจะเรื่องเย่เย่อีก คนของเขาจะต้องไปหาเย่เย่ก่อนที่คนของฮ่องเต้จะเจอตัวเย่เย่
“ท่านคิดว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้หรือ?” เฟิ่งชิงเฉินลงจากรถม้าแล้วหันมาแสยะยิ้มใส่อวี่เหวินหยวนฮั่ว
อวี่เหวินหยวนฮั่วหน้าแดง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ได้ถ่วงเวลาบ้างก็ยังดีนี่นา เจ้ารีบไปเถอะ”
เมื่อเขาพูดจบก็สั่งสารถีขับรถไปที่อื่น……
เฟิ่งชิงเฉินเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว ในขณะที่นางกำลังจะหยิบมีดผ่าตัดมางัดประตูเข้าไปนั้น ประตูก็เกิดเปิดออกเอง
“เอ๋?”
“มัวแต่เอ๋อยู่นั่นแหละ ยังไม่รีบเข้ามาอีก” ชายวัยราวๆ 40 ปียืนอยู่ด้านในของประตู เขามองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เขารูปร่างผอมสูง ท่าทางจริงจัง ดูๆแล้วเหมือนเป็นผู้มีวิชาความรู้
เฟิ่งชิงเฉินเห็นดังนั้นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าตงหลิงจื่อชุนได้แจ้งให้จวนซุนรู้เรื่องแล้ว นางได้กลิ่นยามาจากชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้นางรู้ว่าเขาคือใครในทันที นางเดินเข้าไปหาด้วยอาการสำรวม แล้วน้อมตัวคารวะชายผู้นั้น
“คารวะหมอหลวงซุน”
“ไม่ต้องมามากพิธีกับข้า ธุระของเจ้า องค์ชายทรงแจ้งให้ข้าได้รู้แล้ว จะให้ข้าช่วยเจ้าใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้ามาเรื่องหนึ่งก่อน” ซุนเจิ้งเต้ามองหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จะมองอย่างไรก็ดูขัดหูขัดตาเสียจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉิน เขาคงไม่ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ แต่ว่า……
เขาติดค้างตงหลิงจื่อชุนไว้เรื่องหนึ่ง บุญคุณนี้ไม่ทดแทนก็ไม่ได้ และแน่นอนว่าเขาก็จะรอกอบโกยผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆจากการลงทุนครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
“หมอหลวงซุนเชิญพูดมาได้เลยค่ะ หากเฟิ่งชิงเฉินทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินไม่นึกเลยว่าทุกอย่างจะง่ายถึงเพียงนี้ ตอนนี้นางก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่หมอหลวงซุนจะร้องขอ จะไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป
ซุนเจิ้งเต้ามองดูเฟิ่งชิงเฉินอย่างถี่ถ้วน เฟิ่งชิงเฉินก็วางตัวไม่เลวเลย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ซุนเจิ้งเต้าก็พยักหน้า
“ท่าทางใช้ได้ ดูแล้วเหมือนหมอเลย”
เอ่อ……เฟิ่งชิงเฉินมึนตึ้บ คนจะเป็นหมอหรือไม่นั้น เพียงแค่จ้องมองก็ดูออกได้ด้วยหรือ?
“ได้ยินว่าฝีมือการรักษาของเจ้าไม่เลวเลยใช่ไหม?” ซุนเจิ้งเต้าดูเหมือนจะไม่เชื่อ
“ก็พอใช้ได้น่ะค่ะ” ในทางการแพทย์ไม่มีนิยามว่ารักษาได้ดีหรือดีมาก แค่รักษาคนให้หายได้ก็พอแล้ว
“ไม่ต้องมาเฉไฉ ใช่ก็ว่าใช่ ไม่ใช่ก็ว่าไม่ใช่สิ”
รู้ทั้งรู้ว่าเขากวนประสาทนาง แต่ติดที่ว่านางเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือ จึงได้แต่อดกลั้นไว้ “ก็ได้ค่ะ ข้าคิดว่าฝีมือการรักษาของข้าดีมากค่ะ”
คราวนี้พอใจหรือยังล่ะ
แต่ซุนเจิ้งเต้ากลับตอบกลับมาว่า “โอหัง”
ช่างเถอะ……เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะใส่ใจ แต่ทว่า……
นางร้อนใจเรื่องเสด็จอาเก้าอยู่นี่นา จึงจำต้องมองข้ามหน้าดุๆของเขาและกล่าวต่อไปว่า “ไม่ทราบว่าเรื่องที่หมอหลวงซุนต้องการให้ข้าทำคืออะไรหรือคะ?”
เมื่อเทียบกับใบหน้าที่เย็นชาของเสด็จอาเก้าแล้ว ซุนเจิ้งเต้าก็ไม่ได้ต่างจากเขานักหรอก
“ให้เจ้ารับเป็นลูกศิษย์” ซุนเจิ้งเต้ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“หา? รับท่านเป็นศิษย์? หมอหลวงซุนคะ อย่ามาล้อเล่นกับข้าสิ ข้าไม่เก่งพอที่จะสอนท่านได้หรอก สิ่งที่ข้ารู้ยังไม่ได้ครึ่งของท่านเลยนะคะ ชิงเฉินไม่บังอาจหรอกค่ะ” เฟิ่งชิงเฉินตกใจมากและรีบปฏิเสธเสียงแข็ง
นี่เป็นการล้อเล่นกันชัดๆ นางเรียนการแพทย์แผนตะวันตกมา จะเอาอะไรไปสอนหัวหน้าของสำนักหมอหลวงล่ะ……