บทที่ 175 พาข้าไปพบเสด็จอาเก้าก่อน!
ในยุคปัจจุบัน ต่อให้นางจะวินิจฉัยได้ว่าเป็นถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน แต่ก็ยังต้องให้ผู้ป่วยไปทำการตรวจตับและถุงน้ำดีรวมถึงการตรวจอัลตราซาวด์อีกด้วย จะเอาร่างกายของผู้ป่วยมาล้อเล่นไม่ได้เป็นอันขาด
แม้จะเป็นหมอที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนก็ยังมีโอกาสพลาด ดังนั้นการเอกซเรย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมการแพทย์แผนตะวันตกจึงเป็นที่นิยมกว่าการแพทย์แผนจีน ทุกขั้นตอนของการตรวจหาโรค บวกกับการรักษาที่เป็นรูปธรรมของการแพทย์แผนตะวันตกสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้คนได้มากกว่า และขอเพียงไม่เจอโรคที่รุนแรง หมอที่เพิ่งจบใหม่ก็ทำการรักษาได้เป็นอย่างดี
ป่วยตรงไหนก็รักษาตรงนั้น ปวดกระเพาะอาหารก็รักษาที่กระเพาะอาหาร ปวดเท้าก็รักษาที่เท้า ไม่ปะปนกับจุดอื่น
แต่แพทย์แผนจีนไม่เหมือนกัน สำหรับแพทย์แผนจีนแล้ว ต่อให้อาการป่วยจะเหมือนกัน แต่เมื่อเกิดขึ้นกับคนไข้คนละคน ชนิดยาและปริมาณยาก็แตกต่างกันออกไปด้วย เพราะสภาพร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ซึ่งจุดนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ การแพทย์แผนจีนจึงมีแต่หมอสูงวัยที่มีรายได้ดี เพราะเมื่ออายุมากแล้ว จึงจะมีคนกล้าเชื่อถือ แค่มีประสบการณ์ก็วินิจฉัยโรคได้แล้ว
อาศัยแขนเสื้อที่ยาวคลุมข้อมือ เฟิ่งชิงเฉินแอบกดปุ่มเปิดใช้กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ เสียงเปิดเครื่องถูกเสียงโอดครวญของซุนฮูหยินกลบได้จังหวะพอดี
เฟิ่งชิงเฉินกุมมือซุนฮูหยิน นางทำการตรวจไปพร้อมๆกับการตรวจดูผลการวินิจฉัยจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ
ซุนเจิ้งเต้าคอยจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตลอด จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิดออก เขาจึงละสายตาไปจากนาง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นางตรวจดูผลการวินิจฉัย
เป็นไปตามที่นางเคยวินิจฉัยเอาไว้ นี่คือโรคถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน พร้อมตรวจพบเนื้อร้ายภายในถุงน้ำดี จะต้องเร่งทำการผ่าตัดเพื่อนำเนื้อร้ายส่วนนั้นออก
เฟิ่งชิงเฉินขยับแขนเสื้อใกล้ๆกับข้อมือ ในใจเริ่มทำการวางแผนแล้ว……
“ท่านหมอเฟิ่ง” ชายวัยประมาณ 20 ปีผลักประตูเข้ามา ใบหน้าเขาดูขาวซีด แต่ไม่ใช่ขาวซีดเหมือนเป็นโรค แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์มานานแล้ว แววตาที่เขามองมายังเฟิ่งชิงเฉินเปี่ยมไปด้วยความคลั่งไคล้และความยกย่อง
เมื่อเขาเดินเข้ามาแล้วก็รีบไปคำนับเฟิ่งชิงเฉิน “ท่านอาจารย์ โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย”
เฟิ่งชิงเฉินรีบถอยในทันที นางมิอาจรับการคารวะจากเขาได้
“คุณชายซุนเกรงใจเกินไปแล้ว” นี่นางยังไม่ได้เอ่ยปากรับเขาเป็นศิษย์เลย แล้วอีกอย่าง……
นี่ก็เหมือนเป็นการให้ศิษย์มาทดสอบอาจารย์ นางซึ่งมีศักดิ์เป็นอาจารย์ ก็ต้องทดสอบศิษย์บ้างสิ
อยากจะเป็นลูกศิษย์ของนางหรือ? ได้เลย……
มาดูความใจกล้ากันก่อนเลย นางจำได้ว่าในตอนนั้นบทเรียนแรกของนางก็คือการผ่าศพ นางได้แต่ถือมีดไว้แต่ไม่กล้าลงมือ เมื่ออาจารย์ลงมือผ่าศพแล้ว นางก็ถึงกับหน้าขาวซีด และเมื่ออาจารย์ควักอวัยวะส่วนต่างๆออกมาบรรยาย นางก็ตกใจกลัวจนเป็นลม และสัปดาห์นั้นทั้งสัปดาห์นางก็ทานแล้วอาเจียนอยู่ตลอด
แต่แล้วนางก็เริ่มคุ้นชิน จนกระทั่งต่อมานางสามารถทานบะหมี่ไปพร้อมๆกับการดูรุ่นน้องผ่าศพ
หากอยากเป็นลูกศิษย์นาง จะต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้ก่อน
อ่อนปวกเปียกแบบซุนซือสิง ไม่รู้ว่าจะไปได้ดีสักกี่น้ำ
หากเขาทำได้ก็ดีไป ถือว่านางได้ผู้ช่วยคนใหม่ แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถทำได้ ก็ต้องขออภัยจริงๆ เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจรับเป็นศิษย์ได้
เฟิ่งชิงเฉินหรี่ตามองด้วยแววตาที่น่ากลัว ซุนเจิ้งเต้าและซุนซือสิงถึงกับขนลุกซู่ ทั้งสองเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี แต่เมื่อเงยหน้ามองเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง ตอนนี้นางทำสีหน้าเป็นปกติแล้ว พร้อมกับรายงานผลการวินิจฉัยโรคให้ซุนเจิ้งเต้าได้ฟัง
“หากเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ทราบว่าหมอเฟิ่งพอจะมีหนทางรักษาไหม” ซุนเจิ้งเต้าเอ่ยถาม
เขาเป็นกังวลต่อสุขภาพภรรยา และเป็นห่วงอนาคตของลูกชาย
“มีค่ะ” เฟิ่งชิงเฉินตอบสั้นๆแล้วก้มหน้าลงเพื่อซ่อนประกายในดวงตาของตนเอง
ต้องการให้ข้ารักษาฮูหยินของท่านหรือ ได้สิ……
พาข้าไปพบเสด็จอาเก้าก่อนสิ!
เฟิ่งชิงเฉินคือใครรู้หรือไม่?
ยอดหญิงผู้แกร่งกล้าแห่งเมืองหลวง!
นางเคยทำให้ฮองเฮาและองค์หญิงอันผิงต้องลำบากมาแล้ว และยังชี้ชะตาให้กับตงหลิงจื่อลั่วได้อีกด้วย นางใจดีมีเมตตาเสียที่ไหน ซุนเจิ้งเต้าพานางเข้ามาในจวนแล้ว นางไม่มีทางยอมออกไปง่ายๆแน่นอน
ไหนจะมีซุนฮูหยินที่นอนรอการรักษาอยู่อีก ไหนจะซุนซือสิงที่คลั้งไคล้ในตัวนางเสียเหลือเกิน ซุนเจิ้งเต้าไม่มีทางทัดทานนางได้แน่
เฟิ่งชิงเฉินหยิบยาแก้ปวดออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ แล้วทายานั้นลงบนจุดที่ซุนฮูหยินเจ็บปวด ไม่นานนักซุนเจิ้งเต้าก็ต้องตกตะลึงกับผลลัพธ์ ส่วนซุนซือสิงรายนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่เป็นลูกศิษย์ของนางไม่ได้แล้ว
หากไม่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินคอยปรามไว้ โดยให้เหตุผลว่ารอให้ซุนฮูหยินอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน แล้วนางจะมาตรวจดูอีกครั้ง แล้วค่อยพูดเรื่องรับลูกศิษย์กัน ซุนซือสิงก็คงเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าเขาได้เป็นศิษย์ของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว
เด็กหนุ่มคนนี้แม้จะยังไม่ได้คารวะอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่เขาก็วางตัวเป็นศิษย์ได้ไม่เลว
หากไม่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินคอยปรามไว้ โดยให้เหตุผลว่ารอให้ซุนฮูหยินอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน แล้วนางจะมาตรวจดูอีกครั้ง แล้วค่อยพูดเรื่องรับลูกศิษย์กัน ซุนซือสิงก็คงเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าเขาได้เป็นศิษย์ของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว
การโน้มน้าวใจจากเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ผล จึงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อน นางพาซุนฮูหยินพักผ่อน แล้วกำชับซุนฮูหยินว่าให้รับประทานเฉพาะอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย แล้วทิ้งยาเอาไว้ให้ ก่อนจะเดินออกมาด้านนอกพร้อมกับซุนเจิ้งเต้าและลูกชาย
หากซุนเจิ้งเต้ายังมีข้อสงสัยอีก ก็คงต้องดูตอนเฟิ่งชิงเฉินหยิบยาเม็ดออกมาแล้ว เห็นทีคงจะเป็นเหมือนกับลูกชายเขาแน่ๆ
ยาเม็ดที่เฟิ่งชิงเฉินหยิบออกมาไม่ใช่ยาเม็ดที่คนทั่วๆไปผลิตได้ แต่ซุนเจิ้งเต้าและซุนซือสิงเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าสิ่งใดควรถามและสิ่งใดไม่ควรถาม แล้วอีกอย่าง อีกไม่นานซุนซือสิงก็จะได้เป็นศิษย์ของเฟิ่งชิงเฉินอย่างเต็มตัว ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องรู้อยู่ดี
ซุนเจิ้งเต้าจากที่เคยเว้นระยะห่างจากเฟิ่งชิงเฉิน ก็ค่อยๆคลั่งไคล้และยกย่องนางมากขึ้น แต่ซุนเจิ้งเต้าก็ต้องเก็บอาการไว้ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็มองออกอยู่ดี
นางชินกับการที่ญาติของผู้ป่วยมายกย่องนับถือนาง แต่หากมีผู้ที่เป็นหมอเหมือนกัน แถมยังเป็นระดับหัวหน้ามายกย่องนาง นางก็อดเหนียมอายไม่ได้ หากนางอธิบายก็จะถูกมองว่าถ่อมตัวเกินไป นางจึงเลือกที่จะไม่พูดมาก
เรื่องการตอบแทน ซุนเจิ้งเต้าเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาจึงบอกกับเฟิ่งชิงเฉินว่า “เสด็จอาเก้าตอนอยู่ในคุกฟ้าเหมือนจะมีอาการไม่สู้ดี ฮ่องเต้จะทรงให้หมอหลวงไปดูอาการทุกเช้าเย็น หากข้าเดาไม่ผิด เดี๋ยวฮ่องเต้ก็จะทรงส่งข้าไปเหมือนกัน แต่การกระทำของฮ่องเต้คงต้องใช้เวลาหน่อย”
แม้องค์จักรพรรดิจะยืนอยู่เหนือคนทั้งปวงแล้ว แต่ในความเป็นจริง ที่ที่ฮ่องเต้ไม่สามารถควบคุมได้ก็มีอยู่ไม่น้อย
และแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่มีอำนาจใหญ่อยู่ในมือ แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจมองข้ามเขาไปได้ คุกฟ้าใช่ว่าจะไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดเข้าไปได้ และเสด็จอาเก้าก็ไม่ใช่คนที่อับจนหนทางถึงขีดสุด
หากเสด็จอาเก้าเป็นพ่อพระ เขาคงจะตายไปนานแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรมาก ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงอาจทำให้ทางเดินหายใจเกิดการอุดตันและอาจถึงแก่ชีวิตได้ แต่นางก็รู้ว่าโรคภูมิแพ้ที่เสด็จอาเก้าเป็นมิได้อันตรายถึงชีวิต
และอีกอย่างคนอย่างเสด็จอาเก้าก็ใช่ว่าจะไม่เตรียมการอะไรเลย
“หมอหลวงซุนส่งข้านำหน้าไป จะไม่เป็นอะไรหรือ?” ถามตอนนี้ยังไม่สายเกินแก้นะ
ซุนเจิ้งเต้าส่ายหน้า “แม่นางเฟิ่งอย่ากังวลไปเลย ข้าก็ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องการรักษา ไม่เคยก้าวก่ายการเมืองแม้แต่น้อย การที่ข้าพาแม่นางเฟิ่งเข้าไป ก็แค่เป็นการพาไปรักษาเสด็จอาเก้าก็เท่านั้น แม่นางเฟิ่งจะต้องเข้าไปเอง หรือไม่ก็รอการอนุญาตจากฮ่องเต้ หรือไม่ก็รอให้เสด็จอาเก้าดำเนินการตามแผน”
หมอหลวงเป็นงานที่เสี่ยงมาก แต่ละวันต้องสัมผัสกับคนใหญ่คนโต หากทำอะไรพลาดพลั้งไป ก็มีสิทธิ์หัวหลุดออกจากบ่า
สะอาดเกินไปก็ไม่ดี มีมลทินก็ไม่ได้
ซุนเจิ้งเต้าเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาหนักแน่น ใจกล้า และรอบคอบ เขาเกิดมาเพื่อสังคมขุนนางโดยเฉพาะ
แต่ซุนซือสิงไม่เหมือนกัน……