บทที่ 186 อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นกบฏ
ภายในใจขององค์จักรพรรดิรู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก พลันรีบร้อนคลี่สิ่งของที่อยู่ในอกออกมาในทันที เมื่อได้เห็นนั้น ยังมิทันจะได้ดูจนละเอียด ก็พลันโมโหเสียจนกระอักเลือดออกมา พร้อมทั้งฟุบลงไปกับบัลลังค์มังกร ผู้คนที่ได้เห็นเช่นนั้น ก็พลันอกสั่นขวัญหายไปกันหมด พร้อมทั้งรีบร้อนพากันไปตามหมอหลวงให้มาดูอาการในทันที
ในขณะเดียวกัน ซู่ชินอ๋องก็พลันชักดาบออกมา
ซู่ชินอ๋องเป็นเพียงคนเดียว ที่สามารถนำอาวุธเข้ามาในท้องพระโรงได้ อีกทั้งดาบที่อยู่ในมือนั้น แม้ว่า มิอาจเทียบเท่ากับกระบี่อาญาสิทธิ์ ทว่า มันกลับมาอานุภาพคล้าย ๆ กัน สามารถดึงทรราชลงจากบัลลังค์ ทั้งยังสามารถกุดหัวขุนนางที่โกงกินบ้านเมืองได้
“พวกเจ้าจะวุ่นวายอันใดกัน หากยังกล้าทะเลาะกันอีก ข้าจักกุดหัวเขาเสีย”
น้ำเสียงแข็งกร้าวตะวาดออกมานั้น ทำให้ผู้คนในท้องพระโรงมิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ขุนนางทั้งหลายต่างพากันคุกเข่าลง แทบจะล้มตัวนาบไปกับพื้น
“เสด็จอา ในเย็น ๆ ก่อนพะยะค่ะ” สีหน้าที่ซีดขาวขององค์จักรพรรดิ ค่อย ๆ กล่าวออกมา ทั้งตกใจและกรุ่นโกรธไปในคราเดียวกัน
ที่แท้ นี่ก็เป็นเพียงหมากตานึงเท่านั้น มิคิดเลยว่า มันจะเดินมาถึงจุด ๆ นี้ได้ องค์จักรพรรดิ์พลันชำเลืองมองไปที่จูเจี๋ย ด้วยความโมโห อยากจะฆ่าทิ้งให้ตายไปเดี๋ยวนี้
ในยามนั้น อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจูเจี๋ยที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ พลันคิดได้ในทันที ทุกสิ่งที่เขาทำมา ในยามนี้ได้พังทลายหมดแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว จักรพรรดิจึงได้ร่างพระราชโองการออกมาว่า อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจูเจี๋ย กระทำการขายชาติให้ทำการกุดหัวประหารเก้าชั่วโคตร
แน่นอนว่า ทั้งอวี่เหวินหยวนฮั่วและเสด็จอาเก้า ย่อมมิเป็นอันใด
ซู่ชินอ๋องจึงหันไปกล่าวกับองค์จักรพรรดิว่า “จักรพรรดิ เจ้าอย่าได้ทำให้จักรพรรดิองค์ก่อนผิดหวังในตัวเจ้าเลย”
ในยามนั้น อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจูเจี๋ยที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ พลันคิดได้ในทันที ทุกสิ่งที่เขาทำมา ในยามนี้ได้พังทลายหมดแล้ว
พูดจบ พลันเดินไปที่คุกฟ้า เพื่อไปรับตงหลิงจิ่วออกมา พลางพาทั้งตงหลิงจิ่วและอวี่เหวินหยวนฮั่วกลับไปที่จวนซู่อ๋องในทันที
สิ่งของที่หลุดออกมาจากอ้อมกอดของอวี่เหวินหยวนฮั่วคือสิ่งใด นอกจากองค์จักรพรรดิ ซู่ชินอ๋องและอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้วนั้น ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก
ผ่านไปหลายปี เฟิ่งชิงเฉินถึงได้รู้ว่า ของสิ่งนั้น เป็นของที่องค์จักรพรรดิเป็นคนสั่งให้
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจูเจี๋ย ลอบติดต่อกับทางหนานหลิง เพื่อกระทำการใส่ร้ายป้ายสีอวี่เหวินหยวนฮั่ว เพื่อทำให้พวกเขาขัดแย้งกันเองกับตงหลิงจิ่ว
แท้จริงแล้ว จูเจี๋ยเองก็เป็นเพียงหมากที่องค์จักรพรรดิเลี้ยงดูขึ้นมาเท่านั้น เขาได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้กระทำการติดต่อกับแคว้นหนานหลิง ทว่า หลังจากที่จูเจี๋ยกระทำการติดต่อกับพวกหนานหลิงแล้วนั้น ก็พลันรู้สึกว่า ตนเองถูกองค์จักรพรรดิกระทำการหักหลังตน เขาจึงได้เขียนจดหมายส่งไปถึงราชวงศ์หนานหลิง พลางเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านั้น ที่เขาได้กระทำการติดต่อไป มันเป็นเพราะคำสั่งขององค์จักรพรรดิ ข้อมูลที่ส่งออกไปนั้น เป็นเรื่องจริงเจ็ดส่วนและความเท็จสามส่วน รวมไปถึงเรื่องความลับทางการทหารของราชวงศ์ตงหลิง แผนที่ทางทหาร แม้แต่แผนที่ของหลุมศพอดีตองค์จัรพรรดิ ที่ส่งไปให้หนานหลิง นั่นแสดงถึงความจงรักภักดี
จักรพรรดิผู้ทรงคุณธรรมสั่งให้ขุนนางของตน กระทำการขายชาติบ้านเมืองเช่นนี้ หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ทว่า หากเรื่องนี้หลุดลอยออกไปแล้วนั้น ราชวงศ์ตงหลิงย่อมเสียหน้าเป็นแน่แท้เช่นนี้ จักมิให้ซู่ชินอ๋องเกรี้ยวโกรธได้อย่างไร
นับว่าโชคดีที่ จดหมายฉบับนี้ถูกตงหลิงจิ่วทำลายเสียก่อน มิเช่นนั้น ราชวงศ์ตงหลิงย่อมต้องเสียหน้าอย่างหนัก
มิอาจพูดได้เลยว่า การลงมือขององค์จักรพรรดินั้นเหี้ยมโหดมากเพียงใด หากว่าแผนการนี้สำเร็จแล้วละก็ ทั้งอวี่เหวินหยวนฮั่วและเสด็จอาเก้า มีร้อยปากก็มิอาจแก้ต่างให้กับตนเองได้เป็นแน่
หลักฐานที่แน่นหนาดั่งปราการเหล็ก อวี่เหวินหยวนฮั่วย่อมถูกตัดสินโทษตายอย่างแน่นอน
มิคิดเลยว่า จักรพรรดิจักมองคนผิดไป มิเช่นนั้น การลงมือของจักรพรรดิในครานี้ ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว จูเจี๋ยเองก็จักเป็นลูกมือที่ใช้การได้ดีขององค์จักรพรรดิ
ด้วยการหยิบยืมมือของราชวงศ์ตงหลิง นอกจากอวี่เหวินหยวนฮั่วที่ปล่อยให้จูเจี๋ยได้รับความไว้วางใจจากราชวงศ์ตงหลิง เช่นนั้น จูเจี๋ยก็จักเป็นสายลับที่ดีที่สุดในการติดตามการเคลื่อนไหวของแคว้นหนานหลิงได้ อีกทั้ง ยังให้ข้อมูลผิด ๆ แก่ทั้งสองประเทศด้วย
แต่ท้ายที่สุดแล้ว องค์จักรพรรดิก็มองคนผิดไป หมากที่ค่อย ๆ ถูกวางลงไปนั้น กลับทำให้เกิดเรื่องเหม็นโฉ่ขึ้นมาเสียได้
หมากที่วางไว้มานานหลายปี กลับถูกผู้อื่นทำลายลงเช่นนี้ องค์จักรพรรดิจะไม่โมโหได้หรือ
ทว่า เรื่องนี้ชิงเฉินเองกลับไม่รู้อะไรมากนัก นางเองก็ไม่อยากจะรับรู้ด้วยเช่นกัน สิ่งของที่เป็นความลับเช่นนี้ หาใช่เรื่องที่รู้แล้วจะดีต่อตนเองไม่
เมื่อได้ยินว่า ทั้งอวี่เหวินหยวนฮั่วและเสด็จอาเก้าปลอดภัยแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกโล่งใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินหวังชีพึมพำกล่าวว่า “ของที่อยู่ในมืออวี่เหวิยหยวนฮั่วคือสิ่งใดกันแน่ เหตุใดถึงทำให้ซู่อ๋องโมโหได้ ทั้งยังทำให้องค์จักรพรรดิถึงกับกระอักเลือดออกมา” เช่นประโยคพวกนี้ หวังชีเพียงเอ่ยหยอกล้อออกมา แล้วจึงหันกายจากไป
เมื่อม่านหมอกที่อึมครึมได้จางหายไป ท้องฟ้าที่สว่างสดใสก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นมา
เฟิ่งชิงเฉินแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเชื่อว่า ต่อจากนี้ไปทุกอย่างจะดีขึ้น
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่กระทำการขายบ้านขายเมือง นอกจากตระกูลจูแล้วนั้น ขุนนางที่ไปมาหาสู่กับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายทั้งหมด จึงต้องถูกสอบสวนและจัดการ
ถึงแม้ว่าองค์จักรพรรดิจักต้องมาเสียหน้าเพราะเรื่องเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้น ก็ตามหาหนอนบ่อนไส้ที่ทำลายประเทศชาติได้ เช่นนี้จึงถือว่าเป็นปัดเป่าเภทภัยที่จักเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าของราชวงศ์ตงหลิงได้ในทันที
องค์จักรพรรดิฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่งนัก ในค่ำคืนนั้น เขาก็ได้กระทำการเรียกตัวอวี่เหวินหยวนฮั่วให้เข้าเฝ้า พร้อมทั้งนำเรื่องราวทั้งหมดอย่างสาดโคลนใส่จูเจี๋ยไปจนหมด เพื่อต้องการเรียกความเชื่อใจจากอวี่หเวินหยวนฮั่วกลับมา ฝ่าบาทจึงได้ให้อวี่เหวินหยวนฮั่วจัดการคดีของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายทั้งหมดแทน
ในยามนี้นั้น อวี่เหวินหยวนฮั่วจึงหัวหมุนยิ่งนัก ทุก ๆ วัน เขาจักต้องนำกองกำลังของตน เดินทางเข้า ๆ ออก ในเมืองหลวงตลอดเวลา
ทว่า ในยามนี้เป็นโอกาสที่ดีนัก ยามที่มีผู้ใดคัดค้านหรือมีข้อกังหา ก็จักทำการบุกเข้าไปค้นบ้าน พร้อมทั้งกระทำการยึดทรัพย์ หากไม่ยินยอมก็สามารถกุดหัวได้ในทันที มิเช่นนั้น ก็จักถูกเนรเทศส่งออกไปนอกเมือง
อวี่เหวินหยวนฮั่วย่อมไม่อ่อนข้อให้โดยง่าย น่าเสียดายนักเนื่องจากว่าโอกาสในครานี้ ทำให้สายลับทั้งหลายที่ฝ่าบาทได้ส่งเข้ามาในกองทัพ ถูกกระทำการกวาดล้างจนหมดสิ้น อีกทั้งในท้องพระโรงเอง เสด็จอาเก้ายังได้กล่าวว่า ให้กระทำการกวาดล้างให้หมด
ทว่า ในยามนี้เป็นโอกาสที่ดีนัก ยามที่มีผู้ใดคัดค้านหรือมีข้อกังหา ก็จักทำการบุกเข้าไปค้นบ้าน พร้อมทั้งกระทำการยึดทรัพย์ หากไม่ยินยอมก็สามารถกุดหัวได้ในทันที มิเช่นนั้น ก็จักถูกเนรเทศส่งออกไปนอกเมือง
ด้านนอกของประตูกองทัพ เพียงแค่เจ็ดวันกลับมีหัวของผู้คนนับหมื่นนายที่โดนตัดไป มือและแขนของพวกเพชฌฆาตยังไร้เรี่ยวแรงในทันที แม้แต่แรงจะยกตะเกียบกินข้าวก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน
กองคลังเองก็ได้รับลาภก้อนใหญ่ในทันที แต่แน่นอนว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้มากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นอวี่เหวินหยวนฮั่ว
กวาดล้างทรราช บุกยึดทรัพย์ตระกูล มีขุนนางของตงหลิงคนใดบ้างมิใช่เศรษฐีกัน ตระกูลจูนับว่าร่ำรวยที่สุด ปี ๆนึง พวกเขามีรายได้มากกว่าที่กองคลังได้รับเงินเข้ากองคลังเสียด้วยซ้ำ อวี่เหวินหยวนฮั่วย่อมมิคิดเกรงใจ ที่จะหยิบของชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กออกมาด้วย
การบุกยึดทรัพย์ในครานี้ ทำให้กองคลังรับทรัพย์ไปอย่างมากมาย อวี่เหวินหยวนฮั่วคิดไว้ว่า ในอนาคตข้างหน้าอีกห้าปี เขาคงมิต้องกังวลเรื่องงบประมาณของกองทัพอีกแล้ว
ทั่วทั้งราชวงศ์ตงหลิง ทั้งขุนนางบุ๊นและบู๊ต่างก็ถูกซักฟอกจนขาวสะอาด อวี่เหวินหยวนฮั่วจึงได้คิดร่วมมือกับองค์รัชทายาท น่าเสียดาย การต่อสู้ของฝ่าบาทในครานี้ กลับทำให้พวกพ้องของตนได้รับผลกระทบอย่งหนักแทน
นี่มิใช่ที่คนโบราณเขากล่าวว่า ผู้เฒ่าเสียม้าเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีงั้นหรือ ถึงแม้ว่า ในยามนี้อวี่เหวินหยวนฮั่วจักยุ่งมากนัก แต่เป็นการยุ่งที่ทำให้เขามีความสุขเสียเต็มประดา เขายังกล่าวกับเสด็จอาเก้าอีกว่า หากมีเรื่องเช่นนี้ บ่อย ๆ คงจะดีไม่น้อย
กลับกัน หลังจากเหตุการณ์ในครานี้ แม้ว่าเบื้องหน้าองค์จักรพรรดิจะดูชื่นชมอวี่เหวินหยวนฮั่วตลอดนั้น แต่แท้จริงแล้ว ฝ่าบาทเกลียดเขาแทบจะลึกเข้ากระดูกดำ ในยามนี้ อวี่เหวินหยวนฮั่วจึงทำตัวหยิ่งยโสให้จนถึงที่สุด ตราบใดที่เสด็จอาเก้ามิล้มลงฝ่าบาทก็มิอาจทำอันใดกับเขาได้เช่นกัน
แม้ว่าในยามนี้ อวี่หเวินหยวนฮั่วจะมีความสุขเสียมากมาย แต่ผู้คนภายในเมืองหลวงกลับรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา เพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าในกองทัพ พวกเขาก็ตกใจเสียจนแข้งขาแทบอ่อนแรง กลัวว่าอวี่เหวินหยวนฮั่วจะยัดข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาให้พวกเขา
จนถึงตอนนี้ อำนาจของอวี่เหยวนหยวนฮั่วหาได้มีผู้ใดเทียบเคียงได้ ถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนป๋ายฉ่าวที่โดนฝูงหมาป่าโจมตีนั้น แม้ในยามนี้จะยังไม่ถูกตรวจสอบ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมา กลัวว่าหากพวกตนเอ่ยออกมานั้น จะโดนปิดปากเอา
ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงได้กลิ่นคาวคละคลุ้งของเลือดลอยไปมา ทุกคนในเมืองหลวงยังคงตกอยู่ในห้วงวิกฤต หากแต่มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินกลับหวังจิ่นหลิง ที่กลับรู้สึกสบายอารมณ์แทน เนื่องจากว่าความวุ่นวายมิได้ส่งผลมาหาพวกเขาไม่
เนื่องจากเรื่องกบฏฝ่ายซ้าย การผ่าตัดของฮูหยินรองตระกูลเซี่ยจึงต้องถูกเลื่อนออกไป แม้ว่า อวี่เหวินหยวนฮั่วจักมิได้ลงมือกับตระกูลเซี่ย แ ต่ทว่า ขุนนางบางรายก็ยังต้องพึ่งพาบุญบารมีของตระกูเซี่ยเช่นกัน เมื่อได้รับคำเตือนของอวี่เหวินหยวนฮั่วนั้น ตระกูลเซี่ยในยามนี้ จึงปิดตัวไม่ออกจากจวนไปที่ใด
ถึงแม้ว่าพายุนองเลือดจะมิได้เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่ทว่า ในยามนี้เฟิ่งชิงเฉินเองก็เลือกที่จะปิดประตูจวนไม่ออกไปที่ใดเช่นกัน นางหาใช่อวี่เหวินหยวนฮั่วไม่ ที่จะได้กระทำตัวหยิ่งยโสถึงเพียงนั้นได้
ในสายตาขององค์จักรพรรดินั้น นางเพียงแค่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องเดียวเท่านั้น คือการเชิญซู่ชินอ๋องมาออกหน้า แต่ก็หาได้มีความเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งมากนัก
เมื่อต้องขังตัวอยู่ในจวนเฟิ่งนั้น นางกับโจวสิง จึงได้มีเวลาหารือเกี่ยวกับการจัดการปรับปรุงจวนเฟิ่ง พร้อมกับการทำห้องพักฟื้นของผู้ป่วย
เมื่อวางแผนเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เตรียมการที่จะออกไปซื้อวัสดุที่ต้องใช้ในทันที ยังมิทันจักได้ย่างก้าวออกจากประตูจวน ก็พลันเห็นแม่ทัพเว่ยที่มาขอร้องให้รักษาอาการป่วยของฮูหยินตนเองนั้นเข้ามา พร้อมกับทหารม้ากลุ่มหนึ่ง เพื่อมาส่งวัสดุให้นาง