บทที่ 198 ถูกทิ้งไว้นอกเมือง ครั้งที่สาม
ลมหายใจที่ร้อนผ่าวทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดได้ เฟิ่งชิงเฉินรีบผลักเขาออกโดยไม่ต้องคิด “พูดกันดีๆก็ได้นี่ จะเข้ามาใกล้ข้าทำไม”
คนเราย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณ
“เจ้าคิดว่าคำพูดเมื่อครู่นี้จะพูดเสียงดังได้งั้นหรือ?” ตี๋ตงหมิงเหลือกตามองบน “เอาเถอะ อย่ามามากความเลย เรื่องจวนจิ้นหยางโหวข้าขอมอบหมายให้เจ้าไปจัดการ ข้าหวังว่าเรื่องนี้จะไม่แพร่สะพัดนะ”
จวนจิ้นหยางโหวใช่ว่าจะเล่นงานได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จวนจิ้นหยางโหวจะเป็นฝ่ายผิด แต่ถ้าหากเรื่องนี้แพร่สะพัด สองตระกูลก็เสียหายพอๆกัน จะให้คนอื่นมามองว่าทั้งสองตระกูลต้องมาแตกหักกันเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวไม่ได้
“ตี๋ตงหมิงมันจะมากเกินไปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ ข้าเป็นแค่หมอนะ” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าตัวเองนั้นตาบอดที่หลงมองว่าชายคนนี้ใจกว้าง
ความใจกว้างก็เป็นเพียงเปลือกที่ห่อหุ้มเขาไว้ ในความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนคิดการอย่างแยบยล
“เจ้าเป็นคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมด หากเจ้าไม่จัดการเรื่องนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อปิดปาก” คิดจะคุยกันด้วยเหตุผลงั้นหรือ? อย่าหวังเลยว่าจะทำเช่นนั้นกับคนของราชวงศ์ได้
เมื่อเขาพูดจบก็ขึ้นไปบนหลังม้า
“เฟิ่งชิงเฉิน เร็วๆด้วยล่ะ ถ้าชักช้าแล้วญาติผู้น้องข้าเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้านะ” เมื่อสิ้นเสียงแล้ว เขาก็ฟาดแส้ลงไปบนหลังม้าแล้วมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงในทันที
“เฮ้……ตี๋ตงหมิง มาพาข้ากลับเมืองหลวงด้วยสิ” เฟิ่งชิงเฉินเห็นตี๋ตงหมิงควบม้าหนีอย่างรวดเร็วก็ตะโกนเรียกด้วยความโมโห
เขาใจร้ายจริงๆที่กล้าปล่อยนางไว้นอกเมืองตามลำพัง นี่มันนอกเมืองนะ อาศัยขาเพียง 2 ข้าง แล้วนางต้องเดินอีกนานแค่ไหนนี่
“ตี๋ตงหมิง คนใจร้าย จำเอาไว้เลยนะ ให้ข้าไปจัดการใช่ไหม? ได้ หากข้าทำให้เรื่องในจวนจิ้นหยางโหวฉาวโฉ่ขึ้นมาไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าเฟิ่งชิงเฉินเลย” เฟิ่งชิงเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
เชอะ……
เฟิ่งชิงเฉินด่าทอเขาด้วยความคับแค้นใจ เรื่องในจวนจิ้นหยางโหวขนาดตี๋ตงหมิงยังไม่อยากออกหน้า แล้วอย่างนางจะไปทำอะไรได้ นางไม่มีอำนาจแม้แต่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินหัวเสียเป็นอย่างมาก แต่ต่อให้จะหัวเสียอย่างไรก็ต้องหาทางกลับเมืองหลวงให้ได้ ดวงอาทิตย์ก็ตรงศีรษะพอดี ตั้งแต่ออกมานอกจวนยังไม่ได้พักเลย นางทั้งหิวทั้งเหนื่อย แต่ต่อให้จะเหนื่อยหรือว่าหิวแค่ไหนก็ต้องกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ มิฉะนั้นแล้ว นางคงต้องค้างแรมนอกเมืองแน่
ครั้งแรกนางกลับมาจากนอกเมืองในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในเมืองหลวงอยู่นาน ครั้งที่สองชื่อเสียงนางก็ป่นปี้ หากมีครั้งที่สามอีกล่ะก็……
เฟิ่งชิงเฉินตัวสั่นเทาเล็กน้อย นางไม่อยากจินตนาการถึงครั้งที่สามเลยว่า หากเกิดเรื่องขายหน้าขึ้นมาอีก นางยังจะมีหน้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงต่อไปอีกหรือไม่?
อุตส่าห์กอบกู้ชื่อเสียงคืนมาจากการรักษาดวงตาหวังจิ่นหลิง นี่ทุกอย่างต้องเละเทะอีกหรือนี่
ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย หาทางกลับเมืองหลวงก่อนเถอะ
เฟิ่งชิงเฉินเดินกลับเมืองหลวงตามรอยเท้าของม้าที่ตี๋ตงหมิงขี่ นางหวังว่าจะกลับถึงเมืองหลวงได้ทัน ก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลง
ณ จวนอ๋องเก้า
“ตี๋ตงหมิง เขาทำเพื่อหวังจิ่นหลิงเยอะจริงๆ เหอะ……ชื่อเสียงเฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นนั้นแล้วยังจะแต่งงานกับสมาชิกราชวงศ์ได้อีกหรือ แล้วเขายังจะกังวลอะไรอีก” ตงหลิงจิ่วนั่งเอามือเท้าคาง
“ส่งคนตามไปจับตาดู อย่าให้นางเป็นอะไรไปเด็ดขาด” ถึงเวลาแล้วที่เฟิ่งชิงเฉินจะได้รับบทเรียน นางจะได้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มันไม่ได้สวยงามไปเสียหมด แล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดมุ่งเอาชีวิตนาง
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
ณ จวนลั่วอ๋อง
“ไปเตรียมรถม้า ข้าจะออกไปนอกเมือง” ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวในขณะที่ให้สาวใช้มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้
เขารู้ดีว่า หากเฟิ่งชิงเฉินกลับมายังเมืองหลวงตอนดึกดื่นเที่ยงคืน หรือกลับมาเมื่อฟ้าสาง ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินมาเป็นชายารองของเขาแน่
ณ จวนซู่ชินอ๋อง
“เจ้าโง่เอ๊ย ทำไมข้ามีหลานที่โง่อย่างนี้นะ เจ้า ข้าจะพูดอย่างไรกับเจ้าดี” ซู่ชินอ๋องโกรธจัดหลังจากที่ได้ฟังตี๋ตงหมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
“ท่านปู่ ตอนนั้นข้าหัวเสียไปหน่อย แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีไม่ใช่หรือ อย่างน้อยๆเฟิ่งชิงเฉินก็ตรวจพบความผิดปกติของร่างกายน้องหญิง” ตี๋ตงหมิงดูสลดลงเล็กน้อย
การที่เขาแอบสืบเรื่องว่าที่ภรรยาของตัวเองก็เป็นความผิดด้วยหรือนี่ แย่ชะมัดเลย
หลังจากที่องค์หญิงอู่อันมีเรื่องมีราวขึ้นมา คนที่อยากแต่งงานในเมืองหลวงมีใครบ้างที่จะไม่ขยาด ใครต่อใครต่างก็กลัวว่าจะได้สะใภ้ที่ไม่ดีเข้าบ้าน หากแต่งงานกันไปมีหวังต้องโดนสวมเขาแน่ๆเลย
ภรรยาเอกไม่ได้เหมือนนางเล็กๆ นางเล็กๆก็เป็นเหมือนของเล่น หยิบผิดหยิบถูกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ภรรยาเอกไม่เหมือนกัน หากเลือกผิด จะปลดนางตามอำเภอใจก็ไม่ได้ และเมื่อใดที่ปลดนาง ก็เท่ากับเป็นการสร้างศัตรูกับตระกูลของฝ่ายหญิง
“เจ้า เจ้า เจ้า ช่างน่าโมโหจริงๆเลย” ซู่ชินอ๋องโมโหเขาสุดฤทธิ์
เรื่องที่ทำให้เขาต้องโมโห ก็คือเรื่องที่ตี๋ตงหมิงทิ้งเฟิ่งชิงเฉินไว้นอกเมืองคนเดียว
“เจ้าทึ่มเอ๊ย เร็วเข้าสิ รีบออกไปรับเฟิ่งชิงเฉินเดี๋ยวนี้ แล้วต่อไปห้ามรังแกนางอีก” ซู่ชินอ๋องออกคำสั่งอย่างอารมณ์เสีย
“อ้าว? ทำไมล่ะขอรับ?” ตี๋ตงหมิงไม่เข้าใจ ก็แค่เฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียว หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร
“ทำไมน่ะหรือ? เจ้ายังจะมาถามข้าว่าทำไมอยู่อีก แหกตาดูบ้างไม่ได้หรืออย่างไร? ข้าให้เจ้าไปผูกมิตรกับหวังจิ่นหลิง แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ผูกมิตรกับนางอีกคนเล่า?”
“เจ้าคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินยังเป็นเฟิ่งชิงเฉินคนเดิมอย่างนั้นหรือ คิดเหมือนพวกจวนเจิ้นกั๋วกงที่ไร้สมองไม่มีผิด พออวี่เหวินหยวนฮั่วไม่อยู่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีคนหนุนหลังแล้วสินะ”
“ช่วยใช้สมองของเจ้าคิดดูเสียหน่อยเถิดว่าทำไมอวี่เหวินหยวนฮั่วถึงได้ยอมหนุนหลังเฟิ่งชิงเฉิน ทำไมเขาถึงยอมออกหน้าช่วยเหลือเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตลอด เจ้าคิดว่าเขาโง่มากหรืออย่างไร? เรื่องที่ไม่มีผลประโยชน์ให้ เขาจะรีบคว้ามาทำอย่างนั้นหรือ”
“ตงหมิง เรื่องของจูเซียงไม่มีใครเข้าใจ เจ้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันหรือ? เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันอยู่เหนือการควบคุมของฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของอวี่เหวินหยวนฮั่วหรืออย่างไร?” ซู่ชินอ๋องรู้สึกผิดหวังในตัวตี๋ตงหมิงยิ่งนัก
ท่านซื่อจื่อแห่งจวนซู่ชินอ๋อง อยากจะทำตัวเคร่งครัด หรือทำตัวสบายๆ หรือจะบุ่มบ่ามในบางครั้งก็ย่อมได้ แต่สมองนั้นจะต้องมีการไตร่ตรองอยู่เสมอ
“เป็นฝีมือเฟิ่งชิงเฉินหรือขอรับ? เป็นไปไม่ได้หรอก หากเป็นเช่นนั้นจริง ฮ่องเต้จะทรงปล่อยนางได้อย่างไร” ตี๋ตงหมิงส่ายหน้าโดยที่ไม่ต้องคิด เรื่องนี้เขาไม่อาจจะรับได้
ก็แค่ผู้หญิงเพียงคนเดียว จะมีฤทธิ์เดชถึงเพียงนั้นได้อย่างไร
แต่คำพูดของท่านปู่……
ไม่ว่าตี๋ตงหมิงจะเชื่อที่ซู่ชินอ๋องพูดหรือไม่ เขาก็ต้องไปตามหาเฟิ่งชิงเฉิน เพราะเป็นคำสั่งเด็ดขาดจากท่านปู่ หากก่อนฟ้ามืดยังหานางไม่พบก็ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า
ตี๋ตงหมิงไม่เต็มใจที่จะทำ แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของปู่ได้ จนในที่สุดเขาก็เคี่ยวเข็ญตัวเองจนมาถึงประตูเมือง
“ท่านซื่อจื่อ” ทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองคำนับเขา
“ลุกขึ้นเถอะ” ตี๋ตงหมิงกล่าว
“ท่านซื่อจื่อหรือ? ท่านซื่อจื่อไหน?” รถม้าที่เพิ่งเคลื่อนตัวออกนอกประตูไป เมื่อได้ยินคำว่าท่านซื่อจื่อก็หยุดรถเพื่อถามในทันที
“ตี๋ตงหมิง ซื่อจื่อของซู่ชินอ๋อง ในรถม้าของจวนลั่วอ๋องมีผู้ใดนั่งอยู่หรือ” ตี๋ตงหมิงเห็นสัญลักษณ์บนรถม้าแล้วก็ลงจากหลังม้าเพื่อไปดู
แต่ว่าลั่วอ๋องยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บเลยนี่นา ตี๋ตงหมิงรู้สึกแปลกใจมาก
“ข้าน้อยอู่เฉิน คารวะท่านซื่อจื่อ ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคือลั่วอ๋องขอรับ” อู่เฉิน หนึ่งในองครักษ์ของตงหลิงจื่อลั่ว
“ลั่วอ๋อง? แต่ว่าลั่วอ๋องยังบาดเจ็บอยู่เลยมิใช่หรือ? ทำไมจึงออกไปนอกเมืองล่ะ” ตี๋ตงหมิงเดินไปที่รถม้า โดยมีอู่เฉินคอยเดินตาม
“อาการบาดเจ็บของลั่วอ๋องดีขึ้นมากแล้ว หมอหลวงบอกว่าห้ามออกแรงมากก็ใช้ได้แล้วขอรับ” หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ มีหรือลั่วอ๋องจะเลือกนั่งบนรถม้า
ตี๋ตงหมิงพยักหน้า เขาคำนับตงหลิงจื่อลั่วอยู่ข้างๆรถม้า เขาเป็นซื่อจื่อหรือว่าพระนัดดา ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเพื่อคำนับลั่วอ๋อง
“ตงหมิง แล้วเฟิ่งชิงเฉินล่ะ?” ตงหลิงจื่อลั่วเปิดประตูรถม้าแล้วเอ่ยถาม
คำถามนี้ ทำให้เขาดูร้อนรนกว่าใครๆ