บทที่ 199 ทุกฝ่ายเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงกัน
หากคืนนี้ทั้งคืนเฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมกลับมา ต่อให้ฮ่องเต้จะทรงเห็นชอบ แต่คนอื่นๆในตระกูลไม่มีทางยินยอมให้แต่งตั้งนางเป็นชายารองแน่
การแต่งตั้งชายารองก็ต้องมีหน้ามีตา นางถือเป็นนายหญิงอีกคนของจวนอ๋อง เมื่อเจอชายาเอกก็ไม่ต้องคุกเข่าเพื่อทำความเคารพ และหากเขาได้ขึ้นครองราชย์ นางก็จะกลายเป็นสนมตำแหน่งสูงในทันที
ตี๋ตงหมิงเงยหน้าด้วยอาการตกใจ แล้วรีบก้มหน้าลงไปอย่างรวดเร็ว เขาให้คำตอบว่า “ลั่วอ๋องวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เฟิ่งชิงเฉินนางต้องไม่เป็นอะไร ตงหมิงกำลังจะไปรับนางอยู่พอดี”
เป็นไปตามที่ท่านปู่เคยพูดไว้ ก่อนหน้านี้คนจากจวนเจิ้นกั๋วกงหาเรื่องมาให้เฟิ่งชิงเฉิน แต่เรื่องนี้มันเล็กเกินไป คนเหล่านี้ลงมือไม่สะดวก
แต่ท่านปู่ไม่ได้บอกเขาว่าความสัมพันธ์ระหว่างลั่วอ๋องและเฟิ่งชิงเฉินนั้นจะดีถึงเพียงนี้ ลั่วอ๋องถึงกับฝืนสังขารเพื่อไปตามหานาง เรื่องนี้ดูเหมือนไม่น่าเชื่อ
ก่อนหน้านี้ลั่วอ๋องและเฟิ่งชิงเฉินทะเลาะกันจนเกือบตาย แม้ข่าวลือพวกนั้นจะเกินจริง แต่ย่อมมีบางส่วนที่เป็นเรื่องจริงบ้าง ที่ผ่านมา ลั่วอ๋องก็เคยเกลียดชังเฟิ่งชิงเฉินจนอยากจะฆ่านาง
แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หากจะบอกว่าลั่วอ๋องไม่ใส่ใจเฟิ่งชิงเฉิน ให้ตายตี๋ตงหมิงก็ไม่เชื่อ
“อืม เช่นนั้นข้าจะไปพร้อมกับเจ้า” ตงหลิงจื่อลั่วกลับไปนั่งตามเดิม แล้วส่งสัญญาณให้องครักษ์เริ่มเดินทางออกนอกเมือง
ดีที่เขาคือตี๋ตงหมิง พระนัดดาของซู่ชินอ๋อง หากเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ คงจะโดนตงหลิงจื่อลั่วเตะกระเด็นไปนานแล้ว โทษฐานบังอาจมารังแกผู้หญิงที่เขาหมายตา รนหาที่ตายแท้ๆเลย
ถ้อยคำเชิงตำหนิจากตงหลิงจื่อลั่ว มีหรือที่เขาจะไม่รู้ ตอนนี้คงต้องทำมึนไปก่อน และในตอนที่ตี๋ตงหมิงเตรียมจะออกเดินทาง ก็ได้ยินเสียงหวังชีดังมาจากด้านหลัง
“ท่านซื่อจื่อ รอก่อน”
ตี๋ตงหมิงไม่อยากจะใส่ใจ แต่ตงหลิงจื่อลั่วกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “ช้าก่อน ดูซิว่าเขามีเรื่องอะไร”
“ท่านซื่อจื่อ แล้วเฟิ่งชิงเฉินล่ะ?” เนื่องจากหวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงสนิทกัน หวังชีจึงพลอยสนิทกับตี๋ตงหมิงไปด้วย เขาเป็นคุณชายเจ็ดตระกูลหวัง สถานะไม่ได้ต่ำต้อยเลย ด้วยเหตุนี้หวังชีจึงไม่ค่อยเกรงใจตี๋ตงหมิงเท่าใดนัก
“อยู่นอกเมือง” ตี๋ตงหมิงกัดฟันตอบเขาไป ทั้งๆที่รู้ว่าหวังชีจงใจจะจี้จุด
เขาเองก็ไม่ได้อยากจะปิดบังผู้ใด แต่จะเข้ามาในเมืองหรือออกไปนอกเมืองจำเป็นต้องรายงานคนอื่นๆด้วยหรือนี่ แย่จริงๆเลย
“เหอะๆ…” หวังชีหัวเราะเบาๆ เขาเป็นคุณชายที่เย่อหยิ่งอยู่พอตัวเสียงหัวเราะเช่นนี้ ทำให้คนฟังยิ่งรู้สึกห่างเหิน
“ท่านซื่อจื่อมีจิตใจที่เข้มแข็งยิ่งนัก ปล่อยให้ผู้หญิงที่บอบบางอยู่นอกเมืองตามลำพัง เรื่องแบบนี้เห็นทีคงมีแต่ท่านซื่อจื่อเท่านั้นที่ทำได้”
“หวังจิ่นหาน อย่ามายั่วโมโหข้า อย่าคิดว่ามีตระกูลหวังหนุนหลังแล้วข้าจะกลัวเจ้า” ตี๋ตงหมิงกำลังรู้สึกผิดอยู่ เจ้าหวังชีก็ยังราดน้ำมันลงกองไฟอยู่นั่นแหละ
“ท่านซื่อจื่อก็ลองดูสิ อย่าคิดว่ามีจวนซู่ชินอ๋องหนุนหลังแล้วข้าจะกลัวท่าน” หวังชีไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉิน ตระกูลหวังผู้ยิ่งใหญ่ไม่เกรงกลัวซู่ชินอ๋องอยู่แล้ว ต่อให้กลัวก็ไม่มีทางแสดงออกให้เห็น นี่คือความทระนงของตระกูลชนชั้นสูง พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูล
ตี๋ตงหมิงขมวดคิ้วพลางจ้องตาเขม็ง เขากำหมัดแน่น โดยข่มใจตัวเองอยู่ตลอดว่าไม่ให้ตนเสยหมัดออกไป
หากเขาต่อยหวังชีในวันนี้ ท่านปู่ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน แถมหวังชียังมองหน้าท้าทายอย่างไม่กลัวตายเสียด้วย
แม้ตงหลิงจื่อลั่วจะไม่ได้ชายตามอง แต่เพียงนั่งฟังก็เข้าใจทุกอย่าง เขาจำเป็นต้องออกมาสยบศึก “เอาล่ะ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ต้องรีบไปตามหาคนนะ เหมือนจะยังมีพวกจูเซียงหลงเหลืออยู่ที่นอกเมือง หากไปช้ากว่านี้ แล้วเฟิ่งชิงเฉินไปพบกับพวกจูเซียงเข้าจะต้องแย่แน่ๆ”
“ข้าไม่อยากเสียเวลามามีเรื่องกับเจ้า” ตี๋ตงหมิงได้ทีก็รีบสวนกลับอย่างทันควัน
“ท่านไม่อยากเสียเวลามามีเรื่องกับข้า ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลามาเสวนากับท่าน ท่านซื่อจื่อ รอให้พบเฟิ่งชิงเฉินเสียก่อนแล้วเราค่อยว่ากัน หากนางไม่เป็นไรก็ดีไป แต่ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับนาง ข้าจะคอยดูว่าท่านยังจะมีหน้าไปพูดคุยกับพี่ชายข้าอีกหรือไม่” หวังชีชักสีหน้าแล้วเมินใส่ตี๋ตงหมิง เขาเดินกลับไปขี่ม้าแล้วรีบออกเดินทาง จังหวะที่ผ่านหน้ารถม้าของตงหลิงจื่อลั่วไปนั้น เขาก็เอ่ยออกมาว่า “ลั่วอ๋อง กระหม่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉิน จะขอล่วงหน้าไปก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านหลังของเขามีคนคุ้มกันจากจวนหวังจำนวน 20 คน ครั้งก่อนที่เขาเจออันตรายในป่าทำให้ตระกูลหวังใจหาย การออกไปนอกเมืองของหวังชีจึงต้องมีคนคุ้มกันตามไปด้วย
คนคุ้มกันจากตระกูลหวัง บวกกับองครักษ์ของลั่วอ๋องและผู้ติดตามของตี๋ตงหมิง การที่กองกำลังจำนวนมากเช่นนี้มุ่งหน้าออกนอกเมือง จะไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตาได้อย่างไร
เมื่อเสด็จอาเก้าทราบข่าวแล้วก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดไม่จา ทำให้ขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆแปลกใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงทราบข่าวก็รีบส่งคนไปเกาะติดสถานการณ์อย่างรวดเร็ว โดยห้ามทำอะไรเฟิ่งชิงเฉิน หากลงมือกับเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้คงไม่เป็นการดีแน่ จะลงมืออย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ แต่ถ้าหากลงมืออย่างลับๆก็คงพอได้อยู่ ดังนั้น การเชิญเฟิ่งชิงเฉินมารักษาคนไข้ที่จวนจึงต้องรีบหาทางดำเนินการ
หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงทราบข่าว ก็ได้แต่ทอดพระเนตรคำว่า “ลั่ว” อยู่เป็นนานสองนาน
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นลั่วอ๋อง?”
“กระหม่อมแน่ใจว่าเป็นลั่วอ๋องแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” หน่วยสอดแนมคุกเข่ากล่าวรายงาน
“ออกไปได้แล้ว” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรรายงานลับอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะทรงเก็บเอาไว้ในกล่องไม้
การกระทำของตงหลิงจื่อลั่วเกินความคาดหมายของเขามาก แต่ในขณะเดียวกัน เสด็จอาเก้าก็ทำเรื่องที่เกินความคาดหมายของเขาเช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะไม่กระวนกระวาย สถานการณ์นอกเมืองในตอนนี้ พวกเขารู้ดีว่าคนพวกนั้นน่ากลัวกว่าพวกจูเซียงเสียอีก
ความจริงแล้ว คนพวกนั้นเป็นหน่วยสอดแนมของหนานหลิงที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นตงหลิง มีองค์ชายสามแห่งหนานหลิงเป็นผู้นำสูงสุด
คนพวกนี้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังหาทางปราบปรามไม่สำเร็จ หากเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่นอกเมืองไปเจอกับคนพวกนี้เข้า บอกได้เลยว่าโอกาสรอดของนางแทบจะไม่หลงเหลือ
หลังจากนั้นไม่นานนัก ฮองเฮาก็ทรงทราบเรื่องนี้ นางมิได้พระทัยเย็นเหมือนฮ่องเต้ แต่กลับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนแทบจะเป็นลม
ลูกชายของนาง ลูกชายที่น่าภาคภูมิใจของนาง ลากสังขารที่กำลังบาดเจ็บออกนอกเมืองไปช่วยนางปิศาจ
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าน่าจะตายๆอยู่นอกเมืองไปซะ มิฉะนั้นข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่นอน ข้าจะไม่ยอม ไม่ยอมให้ลูกชายของข้าไปพัวพันกับเจ้าอย่างเด็ดขาด”
ฮองเฮาทรงหักปลอกหุ้มเล็บอย่างขุ่นเคือง
นางจะไม่ยอม ไม่ยอมให้ลูกชายของนางได้แต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉิน อย่าว่าแต่ตำแหน่งชายารองเลย แม้แต่นางเล็กๆที่ไม่มีหน้ามีตาก็ไม่ได้เป็นอันขาด……
“ฮองเฮาพระทัยเย็นไว้เพคะ ลั่วอ๋องทรงปราดเปรื่อง ไม่โดนนางปิศาจล่อลวงง่ายๆหรอกเพคะ ลั่วอ๋องคงจะทรงมีธุระเรื่องอื่นหรือไม่ก็มีเหตุผลบางอย่างนะเพคะ” มามาเฒ่ารีบเข้ามาปลอบโยน ดวงตาที่หรี่เล็กอยู่ตลอดของมามา ดูไม่ออกเลยว่านางคิดอะไรอยู่
“เหตุผลหรือ? เขายังจะมีเหตุผลอะไรอีก ลูกชายข้า ข้าย่อมรู้ดีคงจะหลงใหลคนนั้นคนนี้น่ะสิ ซีหลิงเหยาหวา องค์หญิงที่แสนจะชาญฉลาดแห่งซีหลิง ผู้หญิงเช่นนี้เขาดันไปหลงใหล”
“จะชอบก็ชอบเถอะ ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่นึกว่าเขาอยากจะขอนางมาเป็นพระชายา เหอะๆ เขาช่างใสซื่อจริงๆเลย คิดหรือว่าผู้หญิงอย่างซีหลิงเหยาหวาจะชอบเขาจากใจจริง?”
“องค์หญิงเหยาหวาไม่เหมือนกับอันผิง องค์หญิงเหยาหวานางทั้งรอบรู้และกล้าหาญ ผู้หญิงเช่นนี้จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมได้อย่างไรหากไม่ใช่เพราะลั่วอ๋องมีโอกาสขึ้นครองราชย์แล้วล่ะก็ ซีหลิงเหยาหวามีหรือจะชอบเขา”
“ความชอบ? การชอบพอกันของคนในราชวงศ์มักมีเหตุผลอยู่เสมอ ซีหลิงเหยาหวาหมายจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาแห่งตงหลิง แต่นางไม่คิดบ้างหรือว่า ตงหลิงเราจะยอมให้องค์หญิงจากราชวงศ์ซีหลิงได้ขึ้นเป็นฮองเฮาหรือเปล่าน่ะ?”
“มามา หากข้าไม่คอยห้ามเขาไว้ ป่านนี้เขาคงบุกไปซีหลิงเพื่อคุยเรื่องแต่งงานแล้ว ทำไมเขาไม่เข้าใจเลยนะ คนเป็นฮ่องเต้จะมีผู้หญิงกี่คนก็ย่อมได้ ไม่ได้ต้องมีเพียงคนเดียวเสียเมื่อไร สำหรับฮ่องเต้แล้ว พวกผู้หญิงก็เป็นเพียงหมากบนกระดานหรือของเล่นเท่านั้นเอง”
“ฮ่องเต้ทรงชอบพอหญิงงามได้ แต่จะหลงใหลจนหัวปักหัวปำไม่ได้เป็นอันขาด แต่เจ้าลูกชายสมองทึบของข้าดันไปหลงใหลองค์หญิงแคว้นศัตรู เขาจะรู้หรือไม่ว่า หากเขาได้แต่งงานกับซีหลิงเหยาหวาแล้ว เขาจะหมดโอกาสในการก้าวไปสู่ตำแหน่งนั้น จะว่าไปตอนนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ที่เขาพักเรื่องซีหลิงเอาไว้ก่อน แล้วหันมาสนใจเรื่องเฟิ่งชิงเฉินแทน……”