นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 205 ได้รับความช่วยเหลือ ตงหลิงจิ่วให้ความสำคัญกับเจ้าพอสมควร

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 205 ได้รับความช่วยเหลือ ตงหลิงจิ่วให้ความสำคัญกับเจ้าพอสมควร

“มีข่าวลือว่าเฟิ่งชิงเฉินหลงรักเสด็จอาเก้า ข่าวลือก็เป็นจริงได้” หนานหลิงจิ่นฝานยิ้มอย่างได้ใจ “เฟิ่งชิงเฉิน? เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกอย่างไรเมื่อคนที่เจ้าชอบนั้นใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ?”

มันรู้สึกอย่างไร?

นางมิได้รู้สึกอะไร เพียงรู้สึกว่าร่างกายของตนเย็นชาและสิ้นหวังอย่างมาก หากว่าตงหลิงจิ่วอยู่ตรงหน้านาง นางจะถามอย่างแน่นอนว่า “เพราะเหตุใด?”

เพราะเหตุใดล่ะ? เพราะนางมีค่า นางเป็นใคร เสด็จอาเก้าไม่มีทางมาสนใจว่านางคิดเช่นไรหรอก และไม่มีทางสนใจว่านางจะเสียใจหรือไม่

นางหลงรักเสด็จอาเก้า มิใช่เสด็จอาเก้าหลงรักนาง เสด็จอาเก้าใช้นางเป็นเครื่องมือแล้วอย่างไร? นางทำตัวเองทั้งนั้น นางไปถึงที่ให้เขาดูหมิ่นเหยียดหยามเอง

เสด็จอาเก้า!

ทันทีที่ทหารตงหลิงยอมปล่อยให้หนานหลิงจิ่นฝานไป โดยไม่ลงมือ วินาทีนั้นนางรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังไม่ใช่ซู่ชินอ๋องหรือตงหลิงจื่อลั่ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นท่านอ๋องคนอื่น

ซู่ชินอ๋องและตงหลิงจื่อลั่วไม่สนใจความเป็นความตายของนาง ส่วนท่านอ๋องคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ตนไม่รู้จักพวกเขา แล้วพวกเขาจะสนทำไมว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

มีเพียงเสด็จลุงเก้าเท่านั้น ที่จะไว้ชีวิตนางหลังจากใช้นางเป็นเครื่องมือแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินกัดริมฝีปาก กลิ่นเลือดที่นางคุ้นเคยและเกลียดชังมากที่สุดกระจายไปทั่วปาก แต่นางไม่รู้สึกกระไรสักนิด

นางรู้สึกราวกับว่ามีเข็มทิ่มแทงหัวใจ ราวกับว่าถูกบีบคอ นางเจ็บจนหายใจไม่ออก

นางเอาแต่บอกตัวเองว่าเสด็จอาเก้าไม่ชอบนาง สำหรับเสด็จอาเก้าแล้ว นางเป็นเพียงหญิงสาวที่หลงรักเขา หญิงสาวที่หลงรักเสด็จอาเก้ามีเป็นร้อยเป็นพัน แล้วเขาจะมองตนเข้าตาได้อย่างไร

ควรรู้สึกโชคดีที่เขาไว้ชีวิตตน แต่ว่านางกลับเจ็บใจอย่างห้ามไม่ได้ น้ำไหลนางไหลออกมาไม่หยุด

หนานหลิงจิ่นฝานเห็นเฟิ่งชิงเฉินเศร้าโศก แววตาของนางได้ใจอย่างมาก นางจับบังเหียนด้วยมือทั้งสองข้างและมุ่งตรงไปข้างหน้า

คราวนี้ เขาไม่ต้องกังวลว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเล่นกลอีก

การข่มขู่และหยอกล้อไม่ได้ผลกับนาง ท่าทีของนางดูแข็งแกร่ง อยู่ด้วยตนเองได้ แต่เมื่อเอ่ยถึงตงหลิงจิ่ว นางก็แสดงท่าทีเศร้าโศกออกมา แสดงว่าตงหลิงจิ่วสำคัญต่อนางอย่างมาก

หนานหลิงจิ่นฝานเดินหมากได้เยี่ยมอย่างมาก ระยะทางต่อจากนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความคิดที่จะหลบหนีเลย ไม่ใช่ว่านางไม่อยากหนีแต่เพราะนางควบคุมตัวเองไม่ได้ ในหัวนางมีแต่เสด็จอาเก้าเท่านั้น……

หลังจากที่หนานหลิงจิ่นฝานลงจากเขาไป ตงหลิงจิ่วได้รับข่าวทันที นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาโกรธเคืองอย่างมาก

“ข้าต้องการให้พวกเจ้ารับประกันความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉิน แต่สุดท้ายเป็นอย่างไร? พวกเจ้าทำหน้าที่กันอย่างไรถึงปล่อยให้หนานหลิงจิ่นฝานจับตัวนางไป?”

“ท่านอ๋องโปรดใจเย็นขอรับ ข้าน้อยด้อยความสามารถเองขอรับ” ผู้รายงานตกใจจนหน้าขาวซีด เขาตัวสั่นไปทั้งตัว

ท่านอ๋องเป็นคนที่แม้เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงใด ก็นิ่งสงบเสมอ เขาไม่เคยเห็นท่านอ๋องโกรธเคืองเช่นนี้มาก่อน

“ใจเย็นรึ? พวกเจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร? ข้าไม่เก็บคนไร้ความสามารถเอาไว้ ส่งคำสั่งข้าออกไป ทุกคนที่ร่วมภารกิจวันนี้หลังจากกลับมาแล้วเฆี่ยนหนึ่งร้อยครั้ง นายพลเพิ่มหนึ่งเท่า”

“ขอรับ”

ตงหลิงจิ่วเดินไปที่ประตู

“ท่านอ๋อง?” ขันทีส่วนพระองค์ของตงหลิงจิ่วตกใจกับความโกรธเคืองของตงหลิงจิ่ว เขาก้าวไปข้างหน้า

“เตรียมม้า ข้าจะออกจากเมือง”

ตงหลิงจิ่วขี่ม้าของเขาออกจากเมือง แต่ไม่คาดคิดเมื่อถึงหน้าประตูเมือง ก็เจอมืองลอบสังหารลอบฆ่า แม้ว่าคนรอบกายตงหลิงจิ่วล้วนเป็นคนที่ฉลาดหลากแหลม แต่มีคนไม่มากนัก

แม้ว่ามือสังหารจะหนีไปเพราะทหารมาทันเวลา แต่ตงหลิงจิ่วได้รับบาดเจ็บ ด้วยความที่ทหารเกลี้ยกล่อม เขาจึงต้องยอมกลับจวนเสียก่อน

“น้องเก้าหมายความว่าอย่างไร?” ฮ่องเต้ไม่เข้าใจว่าตงหลิงจิ่วคิดจะทำการใดกันแน่

เป็นความบังเอิญหรือ?

หากจักรพรรดิเชื่อว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ เช่นนั้นก็คงไม่สมกับที่เป็นท่าน โลกนี้มีเรื่องบังเอิญมากมายเช่นนี้เชียวหรือ

คนที่รายงานยืนเงียบอยู่ด้านล่าง

จนตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่า เหตุใดจู่ๆ เสด็จอาเก้าจึงจะออกนอกเมือง

มีทหารที่เก่งกาจอยู่ถิ่นฐานของหนานหลิง มันไม่เป็นปัญหาใดๆ เลย สถานที่นั้นลับตาอย่างมาก แต่เป็นทางตัน หากเจอสถานที่นั้นไม่ถอยทัพ ยังไงก็สามารถบีบให้คนข้างในตายได้

เสด็จอาเก้าออกจากเมืองตอนนี้เพื่อการใด? เขาไม่รู้หรือหากว่าออกเมือง จะทำให้ฮ่องเต้จับตามอง?

“หรือว่าเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน?” ฮ่องเต้ส่ายหน้าปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ในทันที

ราชวงศ์เป็นตระกูลที่เลือดเย็นที่สุด แม้แต่ลูกชายตัวเองพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะเสี่ยง นับประสาอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่ง

อีกอย่างคนที่เอาเฟิ่งชิงเฉินไปเป็นตัวล่อก็ตงหลิงจิ่วเอง และด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดข่าวอื้อฉาวของจวนจิ้นหยางโหวมาด้วย

จักรพรรดิยังคงขมวดคิ้วต่อ และบรรดาผู้ที่มารายงานก็ไม่กล้าที่จะพูดกระไร พวกเขารอคำสั่งของจักรพรรดิ ผ่านไปอยู่นานจักรพรรดิก็ออกคำสั่งว่า “ส่งตัวหมอหลวงซุน หมอหลวงเย่ หมอหลวงโจวไปที่จวนอ๋องเก้า”

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งและถอยกลับ

ตงหลิงจิ่วถูกนำกลับร่างกายเต็มไปด้วยเลือด หมอหลวงก็มาถึง จวนอ๋องเก้ามีคนอยู่มากมาย คนรอบๆ จวนต่างก็ทราบว่าเสด็จอาเก้าได้รับบาดเจ็บ และบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย

………

นอกเมือง ตี๋ตงหมิงพวกเขาตามหาทั่ว แต่ก็ไม่พบเฟิ่งชิงเฉิน แต่พวกเขาพบสิ่งผิดปกติ จึงเร่งมุ่งไปที่ถิ่นฐานของหนานหลิง

“ตี๋ตงหมิง หากว่าเฟิ่งชิงเฉินถูกจูเซียงอวีเนี่ยจับตัวไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” องค์ชายชุนหยูโกรธเคืองอย่างมาก ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับกระต่าย

ยิ่งเฟิ่งชิงเฉินหายตัวไปนาน ตี๋ตงหมิงก็ยิ่งเป็นกังวล หลังจากได้ยินสิ่งที่ตงหลิงจื่อชุน จึงกัดฟันกกล่าวว่า “ไม่หรอก จูเซียงตั๋งอวี่จะจับเฟิ่งชิงเฉินไปเพื่อกระไร หากจะจับก็ควรจับพวกเรา เราคนใดคนหนึ่งมีค่ามากกว่าเฟิ่งชิงเฉิน”

“พวกเขาก็อยาก แต่พวกเขามีความสามารถนี้หรือไม่?” หวังชีกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์

ตุกๆ …

เสียงม้าวิ่งดังขึ้น ตี๋ตงหมิงพวกเขาเร่งหยุด “มีคนมา ใครกันจะมาเวลานี้?”

“ไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน” หวังชีพูดอย่างโกรธเคือง และส่งองครักษ์ไปสอบถาม

หวังชีคิดผิด เสียงกีบม้านี้เป็นเสียงม้าของหนานหลิงจิ่นฝานและเฟิ่งชิงเฉิน เสียงซุบซิบขององครักษ์ที่อยู่ในป่า อีกทั้งแสงไฟที่แวววับไปมา จะปิดบังหนานหลิงจิ่นฝานได้อย่างไร

“เฟิ่งชิงเฉิน ดูไม่ออกเลยนะว่าตงหลิงจิ่วจะเป็นห่วงเจ้าจริงๆ มีแต่คนของนางไปทุกหนทุกแห่ง”

หลังจากลงจากเขาแล้ว หนานหลิงจิ่นฝานพบผู้คนหลายกลุ่มระหว่างทาง หากเขาไม่ระวังมากพอ คงโดนกับดักไปนานแล้วหนานหลิงจิ่นฝานเร่งเปลี่ยนทิศทางโดยไม่ลังเล

เขาในคืนนี้เป็นเหมือนสุนัขหลงทาง ถูกไล่ตามไปทุกที่ และเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรระหว่างทาง ทางเลย นางมองหนานหลิงจิ่นฝานวนอยู่ในป่าด้วยสายตาที่เย็นชา ไม่กังวลเลยว่าหนานหลิงจิ่นฝานจะหลงทาง

เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ แม้ว่าจะได้ยินว่านี่เป็นแผนของเสด็จอาเก้า นางเจ็บใจอย่างมาก แต่เฟิ่งชิงเฉินมิได้เศร้าโศกอย่างเดียว

ราชวงศ์เป็นตระกูลที่เลือดเย็นมากที่สุด เสด็จอาเก้าเดิมก็เป็นคนที่เลือดเย็น นางจะคิดว่าเสด็จอามองนางสำคัญเพียงเพราะเสด็จอาชื่นชมนางมิได้

ภายในขอบเขตของหลักการแล้ว หากไม่เสียผลประโยชน์ของตน เสด็จอาเก้าช่วยนางนั้นเป็นบุญคุณที่ราชวงศ์มีต่อนาง แต่เมื่อมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตน เสด็จอาไม่มีทางช่วยนางอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางเป็น

นางเองก็จะไม่ทำอะไรที่เสียผลประโยชน์ของตน เพื่อช่วยคนแปลกหน้า นางมิใช่แม่พระ เสด็จอาเก้าก็มิใช่เทพเจ้า นางจะเรียกร้องสิ่งเหล่านี้จากเสด็จอาเก้าได้อย่างไร

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท