“เหยาหวา คนผู้นั้นเจ้าเป็นคนจัดการหรือ?” ซีหลิงเทียนเหล่ยเข้าใจว่าสตรีนางนั้นออกมาด่าทอเพียงเพราะเป็นนิสัย คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วจะมีคนบงการ
แต่จะว่าไปแล้วก็ใช่ คนธรรมดาต่อให้จะตำหนิติเตียนออกมาสักสองสามประโยค ก็คงไม่กล้ากล่าวอย่างไม่น่าฟังเช่นนี้ ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็นับว่าเป็นบุตรสาวในตระกูลขุนนาง ตอนนี้แม้จะตกต่ำ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ชาวบ้านธรรมดาจะรังแกกันได้
“ไม่ใช่ข้า” แม้นางจะอยากทำเช่นนี้แต่ก็ไม่มีเวลาพอจะไปใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างวิธีการต่ำช้าแบบนี้ นางไม่สนใจจะใช้มัน
“แล้วใครกันที่เกลียดชังเฟิ่งชิงเฉินเพียงนี้ หยิบอ้างเอาพ่อแม่ของนางมาด่าทอ” ซีหลิงเทียนเหล่ยเชื่อว่าเหยาหวาไม่หลอกเขา
คนโบราณ ค่อนข้างจะงมงาย พวกเขาเชื่อว่าหากตายไปหากระดูกไม่เจอและไม่มีที่ฝังศพ คนเหล่านี้เป็นคนชั่ว และบังเอิญเหลือเกินที่บิดามารดาของเฟิ่งชิงเฉินตายอย่างไม่มีศพและไม่มีที่ฝัง ประโยคนี้ที่เมื่อด่าออกมาเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ปวดหัวใจมากที่สุด
โชคดีเหลือเกินที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เป็นคนดังนั้น ไม่ฉะนั้นเรื่องในวันนี้ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ผู้ที่สิ้นใจไปแล้วมีเกียรติที่สุด แม้แต่คนที่ตายไปแล้วยังถูกเอามากล่าวถึงเช่นนี้ ผู้ที่บงการเรื่องนี้อยู่ข้างหลังทำเกินไปแล้วจริงๆ
จะว่าไปแล้วผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจออกเรือนได้ไปทั้งชีวิตหรือ? ไม่อย่างนั้นเหตุใดจึงใดใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้
ซีหลิงเทียนเหล่ยส่ายหน้าไม่อยากจะไปสนใจเรื่องราวเล็กน้อยเหล่านี้อีก วันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิตงหลิงใกล้จะมาถึงแล้ว สิ่งสำคัญในบัดนี้ของเขาก็คือจะแทรกตัวเข้าไปจับปลาตัวนี้ได้อย่างไร ในสายตาของซีหลิงเทียนเหล่ย ราชวงศ์ตงหลิงเป็นเหมือนกับเนื้อก้อนโต
……
เฟิ่งชิงเฉินเดินไปถึงที่จวนเฟิ่ง มองเห็นประตูจวนที่เปลี่ยนเป็นบานใหม่ ในใจนางก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา นี่คือบ้านของนาง
เมื่อก้าวขาขึ้นไปที่บันได ตั้งใจจะเคาะไปที่ประตูแต่บังเอิญที่ประตูนั้นถูกเปิดออกเสียก่อน
ผู้ที่เปิดประตูนั่นคือโจวสิงเมื่อเห็นเขาโผล่ศีรษะออกมา อีกทั้งใต้ขอบตาดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนเมื่อพบว่าเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่เดินทางกลับมาเขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แล้วกล่าวด้วยความดีใจว่า “ท่านพี่ กลับมาแล้วหรือ! กลับมาคนเดียวหรือ? พบอันตรายหรือไม่ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
โจวสิงเข้าไปลากเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงแค่ปล่อยให้โจวสิงมองนางไปรอบๆ เมื่อเห็นใบหน้าของโจวสิง ในใจของนางก็รู้สึกอึดอัด
นานๆ นางจะเป็นคนใจดีสักที แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองจะสร้างปัญหาให้แก่ตนเองได้เสียอย่างนั้น เมื่อคิดไปก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่า จึงได้หันหน้าหนีไปทางอื่น เฟิ่งชิงเฉินไม่มองหน้าโจวสิง นางเดินตรงเข้าไปด้านใน
“โจวสิง ซุนซือสิงอยู่หรือไม่?” นางไม่ได้กลับมาทั้งคืน หากว่าลูกศิษย์ผู้นี้เดินทางกลับไปเสียแล้วก็คงจะใจจืดใจดำเหลือเกิน
“อยู่ ท่านพี่ต้องการพบเขาหรือ” โจวสิงรับรู้ได้ทันทีว่าท่าทางที่เฟิ่งชิงเฉินมีต่อเขาเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์เมื่อคืน
“จงไปสั่งให้เขารอข้าอยู่ที่กระท่อมไม้ ร่างกายข้ามีบาดแผล” การที่จะสลายก้อนเลือด วิธีรักษาแบบจีนเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด
“ท่านพี่ได้รับบาดเจ็บหรือ บาดเจ็บที่ใด? เหตุใดข้าจึงไม่เห็น” โจวสิงดูท่าทางเป็นกังวลอย่างไม่ได้เสแสร้ง ทำให้ในใจของเฟิ่งชิงเฉินผ่อนคลายลงไม่น้อย
เดิมทีนางก็รู้ว่าโจวสิงเป็นคนที่มีควาลับ และในตอนนั้นนางก็ได้บอกกับเขาไว้แล้วว่า เพียงแค่เขาไม่ทรยศต่อนางก็พอ แต่ถึงอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโจวสิงจะมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หนานหลิง
“อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบใด เพียงให้ซุนซือสิงมาดูอาการให้ข้าก็พอ แล้วให้สะใภ้เถี่ยนำน้ำมาให้ข้า ข้าต้องการชำระกาย” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดูผ่อนคลายลงไม่น้อย จึงทำให้โจ้ซิ่งมองไม่ออกถึงความผิดปกติไปของนางเลย
“อืม” โจวสิงรีบเรียกคนใช้ให้ไปจัดการ เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดแล้วเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “โจวสิง ถ้ามีคนมาหาข้า ให้บอกว่าข้าเหนื่อยล้า กำลังพักผ่อน ไม่ต้องการพบผู้ใด”
โจวสิงชะงักฝีเท้าลงชั่วครู่ เขารู้ดีว่าเรื่องเมื่อคืนนี้คงมีใครบางคนจัดการวางแผนแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้จะทำให้เฟิ่งชิงเฉินโกรธได้
“อืม” หากมีวันใดวันหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินรู้เข้าว่าตนวางแผนจัดการนางเช่นกัน แล้วนางจะเป็นเช่นวันนี้โกรธจนไม่ยอมพบหน้าเขาหรือไม่?
โจวสิงยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตนแล้วรีบเดินทางจากไป……
เรื่องบางเรื่องเมื่อเริ่มต้นแล้วก็ไม่อาจหยุดลงได้ อย่างน้อยการที่ทั้งสองได้พบกันก็ไม่ได้ตั้งใจวางแผนมาก่อน