“พี่สาวของข้าพักผ่อนแล้ว ในตอนนี้นางไม่สะดวกที่พบแขก พรุ่งนี้ท่านค่อยมาใหม่เถอะ” โจวสิงรู้สึกกลัดกลุ้มจนแทบทนไม่ไหว และหวังชีผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะทนเซ้าซี้ได้ง่ายๆ
“ข้าไม่ใช่แขก”หวังซีหงุดหงิดมาก เขากลายมาเป็นแขกของจวนเฟิ่งแห่งนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไม่ใช่แขกก็ไม่ได้เช่นกัน พี่สาวของข้าตอนนี้ไม่สะดวกที่จะออกมาพบเจอผู้อื่นจริงๆ นางบาดเจ็บมากและตื่นตระหนก ร่างกายต้องการพักผ่อน” โจวสิงยืนยันออกมา องค์ชายเจ็ดของตระกูลหวังเป็นเหมือนคนไร้เหตุผลไปแล้ว
“โจวสิง เลิกโกหกข้าได้แล้ว เจ้านำคำพูดแบบนี้มาหลอกตี๋ตงหมิง แต่ใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก เจ้าคิดว่าข้ารู้จักเฟิ่งชิงเฉินเป็นครั้งแรกเหรอ
บาดเจ็บ? ทุกวันนี้คนที่จะทำร้ายนางได้มีเพียงไม่กี่คน เรื่องที่ถูกทำให้ตกใจกลัวนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ นางเป็นคนประเภทที่ถูกทำให้ตกใจกลัวเพียงเล็กน้อยก็ไม่กล้าออกมาข้างนอกแบบนั้นที่ไหนกัน เจ้าให้ข้าได้พบกับนางเถอะ ข้ากังวลจริงๆ” หวังชีอยากที่จะพุ่งเข้าไป แต่ถูกโจวสิงหยุดไว้
“ข้าไม่ได้โกหกท่านจริงๆ พี่สาวของข้านางนอนหลับไปแล้วจริงๆ ตอนที่นางกลับมาดูลำบากมาก ข้อร้องท่านอย่าไปรบกวนนางเลย” โจวสิงปวดหัวมาก แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่มีเพียงตี๋ตงหมิงกับหวังชีที่มานี่
ถ้าหากลั่วอ๋องกับองค์ชายชุนหยูมาด้วย เขาคงห้ามเอาไว้ไม่ได้ แน่นอนว่าคนที่ยึดมั่นตัวเองอย่างสองคนนั้นคงไม่มาที่นี่ง่ายๆ
หวังชีไม่เชื่อโจวสิง เขาเหลือบมองไปเห็นซุนซือสิงเดินมาทางนี้พอดี และรีบถามว่า “ซือสิง อาจารย์ของเจ้าล่ะ?”
“อาจารย์ของข้าอยู่ที่จวน?” ซุนซือสิงตกใจถอยกลับและตอบอย่างงุนงง
หวังชีมองไปที่ซุนซือสิงที่หลบเลี่ยงเขาอย่างใจดำและหยุดชะงัก คนผู้นี้โง่เกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินพอใจอะไรในตัวของเจ้า
หวังชีถามต่อไปอย่างอดทน “ข้ารู้แล้วว่าอาจารย์ของเจ้ากลับมาแล้ว ข้าหมายถึงว่าอาจารย์ของเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไร สบายดีใช่ไหม? ออกมาพบข้าได้หรือไม่?”
โจวสิงรีบขยิบตาให้ซุนซือสิง แต่น่าเสียดายที่ซุนซือสิงไม่เห็นมันเลย ทำให้โจวสิงรู้สึกหนักใจมาก แต่ไม่คาดคิดว่าคนโง่ผู้นี้จะพูดออกมาว่า
“หากองค์ชายเจ็ดอยากพบอาจารย์ของข้าคงจะต้องเป็นวันอื่น ตอนนี้อาจารย์ของข้าไม่สะดวกที่จะพบใคร นางต้องการพักผ่อน”
เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดของอาจารย์ คงจะบาดเจ็บหนัก ซุนซือสิงรู้สึกกังวลเล็กน้อย และเขายิ่งรู้สึกว่าโจวสิงและหวังชีนั้นมีอะไรแปลกๆ เขาจึงยิ่งไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับสองคนนี้ เมื่อได้บอกกับหวังชีไปแล้วก็รีบวิ่งออกไปโดยเร็ว
“นี่ เจ้าจะไปไหน?” หวังชีกลัดกลุ้มอย่างมาก ทำไมแต่ละคนถึงได้เป็นแบบนี้
“อาจารย์บาดเจ็บข้าจะไปตามหมอมารักษานาง” ซุนซือสิงไม่ได้มีอะไรปิดบัง วิ่งไปหันกลับมาตอบไป เพราะเขาไม่ได้มองทางจึงสะดุดหินแล้วล้มลง
ใบหน้าของโจวสิงเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่สนใจว่าการหกล้มจะเจ็บหรือไม่ เขามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วและพบว่าไม่มีใครเห็น จึงวิ่งต่อไป..
อะไรนะ?เฟิ่งชิงเฉินบาดเจ็บจริงๆเหรอ
หวังชีถามโจวสิง โจวสิงพยักหน้าแต่ก็ไม่รู้ว่าอาการหนักแค่ไหนถึงกับต้องการหมอ
ชายทั้งสองสบตากัน แทบจะวิ่งออกไปยังกระท่อมไม้พร้อมๆกัน แต่กลับเห็นเฟิ่งชิงเฉินฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วแม้ในขณะที่หลับอยู่ หวังชีและโจวสิงก็รู้สึกลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง
นี่ต้องเหนื่อยมากขนาดไหนถึงกับฟุบหลับบนโต๊ะได้ และต้องเป็นทุกข์มากขนาดไหนถึงกับขมวดคิ้วค้างไว้
“อุ้มเธอไปนอนที่เตียงเถอะ แบบนี้คงเหนื่อยมาก” หวังชีก้าวออกไปข้างหน้าแต่ถูกโจวสิงห้ามเอาไว้ “อย่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า นางรู้สึกตัวตื่นง่าย เจ้าก้าวเข้าไปนางก็รู้สึกตัวตื่นแล้ว วันนี้นางคงต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นนางคงจะตื่นตั้งแต่เราก้าวเข้ามาแล้ว”
โจวสิงเป็นกังวลมากเมื่อเห็นที่ผมของเฟิ่งชิงเฉินยังมีน้ำหยดลงมา และไม่รู้ว่านางจะเป็นหวัดเพราะเหตุนี้หรือไม่ เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็เป็นหมอแต่กลับไม่ดูแลตนเอง จะทำให้คนอื่นๆสบายใจได้อย่างไร
ช่างเถอะ ออกไปกันก่อนดีกว่า รอให้หมอมาคงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ
หวังชีมองอย่างลึกซึ้งพยักหน้าแล้วเดินออกไป
เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขารู้ว่าเมื่อคืนวานเฟิ่งชิงเฉินจะต้องเจอเรื่องไม่ดีมาแน่ อย่าต้องพูดถึงที่หลับอยู่เลย แค่ไม่ได้รับความทุกข์ทรมานในตอนนี้ก็ถือว่าดีแล้ว
องค์ชายสามแห่งหนานหลิงนั่นเป็นคนวิปริต ชอบทรมานผู้คน แล้วยังมีผู้หญิงคนนั้นในตอนเช้าอีก หวังชีนึกขึ้นมาได้ เตรียมตัวกลับไปนำคนผู้นั้นมาตรวจสอบให้ละเอียดว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงได้ใส่ร้ายป้ายสีเฟิ่งชิงเฉินแบบนั้น
หวังชีรอหมอให้ยาเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่จวนเฟิ่ง เมื่อรู้ว่าอาการไม่หนักมากจึงได้จากไป อาการบาดเจ็บของเฟิ่งชิงเฉินดูแล้วน่ากลัว แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ร้ายแรง แต่ด้วยการร้องขออย่างหนักแน่นของซุนซือสิง เฟิ่งชิงเฉินจึงพักรักษาตัวอยู่แต่ในบ้าน ช่วงเวลานี้จวนเฟิ่ง ไม่ได้เปิดประตูต้อนรับผู้ใด
ไม่รู้ว่าเป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกงละมือไปแล้ว หรือเป็นเพราะมีใครออกมาพูดอะไร ในภายหลังเรื่องที่จวนเฟิ่งถูกรังแกจึงไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย ทุกอย่างเรียบร้อยเหมือนทะเลที่คลื่นลมสงบ และเฟิ่งชิงเฉินก็ได้ฟื้นตัวอย่างสงบเช่นกัน
ในช่วงเวลาดังกล่าวตี๋ตงหมิงได้มาเยี่ยมอยู่ครั้งหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพ ไม่ทำตัวสนิทสนมหรือเหินห่างเกินไป ทำให้ตี๋ตงหมิงลำบากใจแทบแย่ ท่านซื่อจื่อที่สง่างามมาถึงที่จวนเฟิ่งที่ผุพังแห่งนี้ จะไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจที่ได้รับการยกยอชื่นชมได้อย่างไร
แต่จะว่าเป็นความผิดของเฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้ เพราะเมื่อคนในบ้านต่างปฏิบัติต่อเขาที่เป็นแขกอย่างเกรงใจ แล้วจะทำอย่างไรได้
เนื่องจากตงหลิงจื่อลั่วไม่ได้มาเยี่ยมเยียน เพียงแค่ส่งพ่อบ้านขอบจวนมาหาอยู่ครั้งหนึ่ง พร้อมกับเครื่องปรุงยาอันล้ำค่า เฟิ่งชิงเฉินมีท่าทางที่ตกใจ รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากแต่ว่าของแบบนั้นก็ไม่ได้ถูกรับไว้
ตงหลิงจื่อชุนก็ส่งคนมาพร้อมกับมอบยาเป็นของขวัญเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ถูกรับไว้ หลังจากนั้นตงหลิงจื่อชุนก็ได้มาเยี่ยมด้วยตนเองครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พบเจอนาง เพราะในวันนั้นเฟิ่งชิงเฉิน “ป่วยหนักพอดี” ไม่สามารถออกมาเจอใครได้
หลังจากนั้นตงหลิงจื่อชุนก็ให้นางสนมในจวนมาเยี่ยม เมื่อมาก็ได้พบนางแต่ก็เป็นการทักทายกันเพียงผิวเผินเท่านั้น
นางสนมฝ่ายนั้นรู้ว่าตงหลิงจื่อชุนมีความประทับใจต่อเฟิ่งชิงเฉิน และคำพูดก็จริงใจและตั้งใจที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แต่ยิ่งทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกรังเกียจมากจนนางแอบตัดสินใจว่าต่อจากนี้เธอจะอยู่ห่างจากตงหลิงจื่อชุน ไม่สนใจความขัดแย้งภายในที่จะตามมา
การเข้าสังคมกับคนเหล่านี้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกปวดหัว สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือการหาตัวคนบงการให้ป้านั้นมาด่าว่าเฟิ่งชิงเฉินที่ประตูเมือง
และสิ่งที่ทำให้คาดไม่ถึงก็คือ คนผู้นั้นคือองค์หญิงอู่อันแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง แน่นอนว่าตอนนี้นางไม่ได้ถูกเรียกว่าองค์หญิงอู่อัน ในตอนนี้นางเป็นเพียงคุณหนูสิบแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ชื่อว่าหรงชิงชิว
ด้วยเหตุนี้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ว่า หรงชิงชิวที่เสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะคำพูดจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วยังส่งผลกระทบต่อคุณหนูคนอื่นของจวนเจิ้นกั๋วกง จึงบงการให้มีคนออกมาด่าว่าเฟิ่งชิงเฉินและทำลายชื่อชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉิน
การกระทำแบบนี้ของหรงชิงชิว เป็นการกระทำประเภทที่ ถ้าข้าต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ข้าไม่ได้แต่งงาน เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ช่วงเวลาที่สุขสบาย อย่าคิดว่าจะได้แต่งงาน แต่ไม่ได้คิดว่านางและเฟิ่งชิงเฉินนั้นแตกต่างกัน เพราะนางมีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาครอบครัวและชื่อเสียง ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง
เมื่อรู้ว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังคือหรงชิงชิว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แค่หรงชิงชิวคนเดียวยังไม่เท่าไหร่ ที่เธอกลัวที่สุดคือคนอย่างฮองเฮาหรือองค์หญิงแบบนั้น
หากคนพวกนี้ลงมือ แน่นอนว่าตามมาด้วยการสังหาร แต่ในช่วงเวลานี้ฮองเฮากับองค์หญิงอันผิงก็อยู่อย่างสงบสุขมาก โดยพื้นฐานแล้วที่ทั้งสองคนไม่สร้างปัญหาให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้เธอสับสนเล็กน้อย แต่ในเมื่อไม่ได้สร้างปัญหาให้เธอ เธอเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงเตรียมตัวรับมืออย่างระมัดระวัง
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินพักรักษาร่างกายอยู่ ก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นนั่นก็คือฮูหยินจิ้นหยางโหวเชิญชวนฮูหยินคนอื่นๆที่มีชื่อเสียงไปรับชมการแสดง แต่กลับมีคนพบว่าจิ้นหยางโหวกับคุณหนูเจียงหยู่ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของเขาลักลอบเป็นชู้กัน ฮูหยินจิ้นหยางโหวโกรธจนสลบไป……