สีหน้าของฮูหยินรองพลันแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวไปในทันที เมื่อมองไปเห็นสีหน้าที่นิ่งเฉยของเฟิ่งชิงเฉิน แต่เหตุใด นางถึงรู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังทำท่าทางเยาะเย้ยนางกัน
เมื่อคิดว่า ตนเองต้องมาญาติดีกับเด็กกำพร้าเช่นนาง แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ตนเองอับอายเสียเอง ยิ่งคิดฮูหยินรองก็ยิ่งแค้น พลางชี้ไปทางประตูใหญ่ พร้อมตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเจ้า ส่งแขก!”
เฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจอันใดไม่ พลันหยิบปิ่นปักผมบนหัวของตนออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วจึงหยิบกล่องยาเดินออกไปด้านนอก อย่างไรนางก็มิคิดจะญาติกับคนในจวนกั๋วกงอยู่แล้ว ที่ฮูหยินรองต้องโมโหเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่สมควร
หากคนของเจิ้นกั๋วกงต้องการจะจัดซุ้มประตู ก็ต้องดูว่านางยินยอมหรือไม่
เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินก้าวเท้าไปด้านหน้า เท้าหลังเป็นของฮูหยินผู้เฒ่าที่เดิมมา เมื่อรู้ว่าฮูหยินรองไม่สามารถตกลงกับเฟิ่งชิงเฉินได้นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นลมด้วยความโมโหในทันที “เหตุใดฮูหยินรองตระกูลข้า ถึงได้โง่งมเช่นนี้ ความฉลาดหาได้มีไม่ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจักไม่พอใจอันใด ก็ควรจักรอให้คลื่นลมมันผ่านไปก่อน แล้วค่อยพูดมิใช่หรือ!”
เมื่อหันกลับไปมองดูป้ายประตูจวนของเจิ้นกั๋วกงทั้งสี่คำนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
คนของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นช่างยืดได้หดได้เสียจริง ฮูหยินผู้เฒ่าผู้ที่เป็นเสาหลักของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้น ไม่ง่ายเลยที่นางจะยอมลดตัวมาคุยกับคนรุ่นหลานของนางเช่นนี้ ทว่า คนของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้น ท่าทางมีแต่คนที่เล่ห์เหลี่ยมมากมายนัก เกรงว่า ภายในจวนคงมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมายกระมัง
เฟิ่งชิงเฉินทำลายชื่อเสียงขององค์หญิงอู่อัน ทำลายเจ้าสาวที่มีค่าของจวนเจิ้นกั๋วกงไป คนของเจิ้นกั๋วกงย่อมไม่อาจปล่อยนางไปได้แน่ การแสดงความอ่อนแอออกมาในครานี้ คงเป็นทางเลือกสุดท้ายกระมัง หากคนของจวนเจิ้นกั๋วกงหาโอกาสเอาคืนนางได้เมื่อใด พวกเค้าคงเลือกเหยียบนางจมดินอย่างไม่ลังเลเป็นแน่
ศัตรูเพียงแค่วันเดียว ย่อมหมายถึงเป็นศัตรูตลอดไป นางไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรอยู่แล้ว
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังเตรียมตัวขึ้นรถม้านั้น ก็พลันเห็นหวังชีชักม้าเข้ามาหาด้วยความร้อนรน พร้อมทั้งรีบร้อนเดินเข้ามาหานาง “เฟิ่งชิงเฉิน”
คนคนนี้ช่างเป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจจริง ๆ เฟิ่งชิงเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพื่อรอการมาของหวังชี
เมื่อหวังชีพลิกตัวลงจากรถม้านั้น ทั่วใบหน้าพลันเต็มไปด้วยเหงื่อไคล หาได้มีท่าทีเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์เหมือนเช่นเคยไม่
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวถามด้วยความกังวล
“คำนี้ ต้องเป็นข้าที่ถามเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? คนของจวนเจิ้นกั๋วกงมีผู้ใดรังแกเจ้าหรือไม่” สีหน้าของหวังชีพลันเต็มไปด้วยความไม่พอใจยิ่งนัก เสมือนว่า หากเฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเพียงแค่ครั้งเดียว เขาจักกระโจนเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงในทันที
“จะมีเรื่องอันใดเกิดกับข้าได้กัน” เฟิ่งชิงเฉินพลันควักผ้าเช็ดหน้ายื่นให้กับหวังชี
“ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว ข้าได้ยินมาจากโจวสิงว่า เจ้ามาที่จวนเจิ้นกั๋วกง เจ้าทำให้ข้าตกอกตกใจเสียได้” หวังชีพลันเช็ดเหงื่อที่ไหลอยู่บนหน้าผาก พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“ข้ามารักษาคนไข้ที่จวนเจื้นกั๋วกงเอง เหตุใด พวกเจ้าต้องเอะอะไปกันเองเช่นนี้ด้วย” หากจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการลงมือกับนางจริง ๆ ย่อมต้องแอบลงมือไปแล้ว หากนางตายอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง เช่นนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงมิถึงคราวซวยหรอกหรือ
“อะไรคือเอะอะกัน เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่รู้อะไรเลย นางเสือชราของจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นั้น มีฝีมือมากเพียงใด นางเป็นพวกฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือดเสียด้วยซ้ำ” หวังชียังไม่ลืมแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาอีกด้วย เหมือนกับสิ่งที่นางคิดไว้ไม่มีมีผิด
“เจ้าหมายถึง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงนะหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพลันตั้งใจฟังขึ้นมาในทันที
แต่ก่อนนางเอาแต่สนใจบุรุษที่อยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง สตรีในจวนนางหาได้รู้จักสักคนไม่ หลังจากผ่านเรื่องจวนจิ้งหยางโหวมาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินถึงได้เข้าใจว่า สตรีพวกนี้เก่งกาจยิ่งนัก นางไม่ควรประมาทพวกนางไปเป็นอันขาด
“ฮูหยินผู้เฒ่าอะไรกัน ก็แค่สนมที่ยกตัวเองขึ้นมาก็แค่นั้น ทั้งยังทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงวุ่นวายไปกันใหญ่ ในเมื่อนำนางฮูหยินรองขึ้นมาเป็นมารดาประจำจวนเช่นนี้ ช่างน่าอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก” หวังชีกล่าวออกมาด้วยความรังเกียจ
วิธีการของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้น ในสายตาของตระกูลชนชั้นสูง รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างมาก
บุรุษสามารถทำตนให้ดูดีได้ สามารถแต่งสตรีเข้าจวนมากมายได้ แต่ไม่ควรจักทำผิดกฎของตระกูลเพียงเพราะสตรีผู้เดียว
ยกฮูหยินรองขึ้นมาเป็นเอก เรื่องเช่นนี้ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ฮูหยินรองอย่างไรก็คือฮูหยินรอง ไม่อาจยกตนขึ้นมาเชิดชูอันใดได้
“มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพลันนึกไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าในทันที ภายในใจพลันขบคิดกับตนเอง มือที่สามที่แย่งที่นั่งฮูหยินเอกมาได้นั้น นางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
อย่าได้คิดดูถูกพวกมือที่สาม ที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาแทนที่ฮูหยินเอกได้เชียว สตรีที่มักเป็นมือที่สามของโลกยุคโบราณ หาได้มีผู้ใดขึ้นมาเป็นบุคคลแถวหน้าของต้นตระกูลได้ ไม่ว่าพวกนางจักได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด เพียงแค่ได้แต่งเป็นฮูหยินรอง ก็จักถูกกดให้เป็นสตรีที่อยู่แต่หลังบ้าน ทุก ๆ วันยังต้องไปเคารพฮูหยินเอกที่หน้าประตูจวน อยากจะขึ้นมาแทนที่ฮูหยินเอกนะหรือ? คงต้องเกิดขึ้นมาใหม่ในชาติหน้าถึงจะได้
“พวกเราไปคุยบนรถม้ากันเถอะ” หวังชีรีบลากเฟิ่งชิงเฉินขึ้นไปบนรถม้าในทันที การนินทาเรื่องผู้อื่นอยู่ที่หน้าประตูจวน ถือว่าใจกล้าเป็นอย่างมาก
เมื่อขึ้นมาบนรถม้านั้น มิรอให้เฟิ่งชิงเฉินกล่าวถาม หวังชีก็พูดออกมาราวกับน้ำไหลไฟดับในทันที “ฮูหยินชราของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้น เป็นดั่งสัตว์เดรัชฉาน ในยามนั้นนางยังเป็นเพียงสตรีในหอนางโลมอยู่ เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ส่งนางมาให้เจิ้นกั๋วกงเพื่อตอบแทนบุญคุณ
ผู้เฒ่าจวนกั๋วกงโปรดปรานนางอยู่ช่วงหนึ่ง เพียงไม่นาน เขาก็ลืมนางแล้ว ก็เหมือนกับสตรีนางอื่นทั่วไป ที่ได้เชยชมก็หมดราคา แต่ทว่า สตรีนางนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ นางใช้อุบายเล่ห์กลเก่งยิ่งนัก ในยามที่ท่านผู้เฒ่ากั๋วกงกำลังลืมนางไปนั้น นางก็ใช้มารยามากมายดึงดันให้ท่านผู้เฒ่าชราอยู่กับนาง
ไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ขึ้น พร้อมทั้งคลอดเป็นบุตรชายออกมา แต่อย่างไรก็เป็นแค่บุตรสายรอง ย่อมไม่มีผู้ใดสนใจเขามากนัก ทว่า จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นในจวนเจิ้นกั๋วกง ไม่รู้ว่าเหตุใด ทั้งคุณหนูและคุณชายในจวน ค่อย ๆ ทยอยล้มตายลงอย่างน่าประหลาด บุตรชายของนาง ก็ได้ตายจากไปเช่นกัน
ภายในระยะเวลาห้าปี มีเด็กตายภายในจวนกั๋วกงถึงหกคน ในปีที่หก คุณชายที่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นทายาทสืบสกุลคนต่อไปก็ได้ล้มตายลงเช่นกัน ท่านผู้เฒ่ากั๋วกงเอง แต่เดิมก็ป่วยหนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผู้เฒ่าชราจะสืบค้นหาสาเหตุเช่นไรย่อมไม่อาจค้นพบได้
เมื่อไม่ทางเลือกอื่นแล้ว จึงได้ไปเชิญพระภิกษุมาจัดการทำพิธีให้ พระภิกษุจึงเอ่ยทักท้วงขึ้นมาว่า ดวงจวนแปดอักษรมิใคร่มงคลนัก ดวงของสตรีในจวนจักบดบังอำนาจของบุรุษและบุตรชายตนเอง จักต้องหาสตรีที่มีชะตาหนุนนำสามีและบุตรชายขึ้นมา ถึงจะเป็นสิริมงคลกว่า
ดูอย่างไร เรื่องนี้ก็มีคนยื่นมือยื่นเท้าเข้าไปมิใช่หรือ แต่ท่านผู้เฒ่ากั๋วกงโง่เง่ายิ่งนัก เพียงได้ยินเช่นนี้ ก็ส่งฮูหยินเอกไปอยู่ที่อารามในทันที พร้อมทั้งยกฮูหยินรองขึ้นมาแทนที่ แต่เรื่องหาได้จบเพียงเท่านี้ไม่ ช่วงเวลาที่ฮูหยินเอกออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อไปที่อารามนั้น ฮูหยินรองใช้เวลาเพียงหกปีก็คลอดบุตรชายออกมาถึงสี่คน ช่างเป็นสตรีหนุนนำตระกูลเสียจริง ”
“คลื่นใต้น้ำในจวนเจิ้นกั๋วกงช่างรุนแรงยิ่งนัก” เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนั้น พลันรู้สึกขนหัวลุกไปในทันที
สตรีที่จับมือนางพร้อมทั้งแย้มยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน ที่แท้ แม้แต่บุตรชายขอวนาง นางก็ยังกล้าลงมือได้ลงคอ หากคิดตามที่หวังชีเอ่ยออกมานั้น อย่างไรมันก็คิดได้หลายแบบ
เมื่อหวังชีเห็นหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูหวาดผวาเช่นนั้น ก็พลันเอ่ยวาจาหยอกเย้าออกมา “เรื่องหาได้มีเพียงแค่นี้ไม่ เรื่องต่อจากนี้น่าสนใจกว่าเยอะเลย มีคนกล่าวว่า ยามที่ฮูหยินเอกคนก่อนถูกส่งไปยังอารามนั้น นางได้เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา และคลอดบุตรชายออกมาคนหนึ่ง
แต่ฮูหยินกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายบุตรชายของนาง จึงได้อดทนรอ รอจนบุตรชายของนางอายุถึงห้าขวบ จึงได้ส่งข่าวมาหาที่จวน ไม่คิดว่า ยามที่ข่าวถูกส่งมานั้น ท่านผู้เฒ่าชรายินดีเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งขึ้นเขาไปหาฮูหยินเอกโดยไว ทว่า กลับไปเจอว่าฮูหยินของตนลอบคบชู้สู่ชาย”
“อะไรนะ?คบชู้? นี่มิใช่เป็นการหาหนทางตายให้กับฮูหยินเอกและบุตรชายของนางหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก วิธีนี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แผนการที่ทำให้นางเปรอะเปื้อนวันงานสมรสของตน อย่างน้อยก็ทำลายได้แต่ชื่อเสียงนางเท่านั้น หาได้เอาถึงชีวิตตนเองไม่ มิเช่นนั้น นางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกแล้ว
“เจ้าเอะอะอันใดกัน เรื่องเช่นนี้มีให้เห็นในวังหลังมากมายนัก เรื่องในจวนจิ้งหยางโหว ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ สตรีพวกนั้น ขอเพียงแค่ให้ตนได้ขึ้นไปสูงกว่าผู้อื่น ย่อมไม่เลือกวิธีการ” เมื่อกำลังคิดว่า เฟิ่งชิงเฉินผ่านโลกมาน้อยนัก จู่ ๆ รถม้าก็พลันหยุดชะงักไปในทันที
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินกับหวังชีรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในคราเดียวกัน
ทุกครั้งที่พวกเขาขึ้นมานั่งบนรถม้า มักจะเกิดเรื่องขึ้นมาทุกทีเลย
เมื่อแง้มผ้าม่านบนรถม้าออกไปดูนั้น ก็พลันเห็นถนนสายหลักฝั่งตรงข้าม มีขบวนทัพอันทรงเกียรติกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังราชวังอยู่ บนธงที่กำลังปลิวไสวอยู่เขียนไว้ว่า “ซู”
เฟิ่งชิงเฉินพลันอ้าปากป็นรูปตัวโอไปในทันที
ซู?
ซูหว่าน?