นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 219 บุรุษ ซูหว่านเหยาหวามาหาถึงจวน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ภายในห้อง หลานจิ่วชิงกำลังใช้วิธีป้อนยาแบบปากต่อปากให้เฟิ่งชิงเฉินกลืนยาเข้าไป แม้ว่ามันจะเป็นการเอาเปรียบนางเล็กน้อย แต่หลานจิ่วชิงก็ทำเพื่อป้องกันไม่ให้ยาหกเลอะเทอะ

ด้านนอกห้อง ปู้จิงหยุนนั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูด้วยท่าทีเศร้าสร้อย พร้อมทั้งหยิบกิ่งไม้มาวาดรูปกลม ๆ ไปมา

บางที เขาอาจจะต้องคิดเรื่องของจวนกั๋วกงบ้างแล้ว เขาไม่อาจให้ฮูหยินผู้เฒ่านางนั้นตายได้อย่างสบายใจ ก่อนตาย เขาจักต้องบดขยี้นางให้กลายเป็นผุยผงให้ได้ เพื่อล้างบาปให้แก่ท่านยายของเขา อีกทั้ง จักได้พาท่านพ่อกลับสู่ตระกูลเดิมเสียที แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินจักใช่คนนั้นหรือไม่?

ยามที่เกิดเรื่องราวขึ้นในปีนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทว่า พวกเขาไม่อาจหาหลักฐานมาพิสูจน์ตนเองได้ บรรดาผู้ที่มีส่วนรู้เห็นในการจัดฉากใส่ร้ายป้ายสีท่านยายของเขาก็ถูกสั่งเก็บไปจนหมด อาจารย์ของจิ่นชิวก็ได้ช่วยจัดการไปส่วนหนึ่งแล้วเช่นกัน หากแต่ เรื่องนี้ไม่อาจจัดการได้ง่ายนัก นอกจากจะว่าเจอกับคนที่เข้ามาช่วยพลิกชีวิตได้จริง ๆ

ผู้ที่เข้ามาพลิกชีวิตให้ เขาคิดมาโดยตลดว่า คนผู้นั้นคือหลานจิ่วชิง เนื่องจากว่าจิ่วชิงเคยรับปากเขาไว้ว่าจะช่วยล้างมลทินให้ท่านยายของเขา ทว่า อาจารย์ของจิ่วชิงกลับกล่าวขึ้นมาว่า ความช่วยเหลือของจิ่วชิงมีขอบเขต เขาไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมากได้

ปู้จิงหยุนพลันเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟากฟ้า ภายในใจพลันได้แอบครุ่นคิดเงียบ ๆ เป็นเวลานานกว่าสามสิบปี ที่ท่านยายต้องทนเก็บกดความเกลียดชังเขากับท่านพ่อเอาไว้ เนื่องจากว่า พวกเขาไม่อาจทำความฝันให้ท่านยายเป็นจริงได้ ไม่อาจพาท่านยายกลับไปสู่จวนเจิ้นกั๋วกงได้อีก

วันรุ่งขึ้น เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้นมานั้น ก็พลันพบว่าตนเองนอนอยู่ภายในจวนเฟิ่ง อีกทั้ง ทั่วร่างของนางหาได้มีที่ใดรู้สึกไม่สบายตัวไม่ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นปกติเช่นเดิม

เฟิ่งชิงเฉินพลันกอดผ้าห่มเอาไว้ แล้วจึงลุกขึ้นนั่งเหม่ออยู่บนเตียง หรือว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งกัน?

เหตุใดมันดูเสมือนจริงยิ่งนัก

ใช่แล้ว ปืนเล่า

เฟิ่งชิงเฉินพลันพลิกเตียงหากี่รอบ ก็ไม่อาจหาปืนของตนเองพบ ทั้งยังพลิกดูกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะหาอีกเป็นครึ่งวัน ก็ไม่อาจหาได้พบ ยามที่จะลุกออกจากเตียงนั้น หยกที่ถูกวางไว้บนคอก็พลันหล่นลงมา

เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้ว่า หยกนี้หาใช่ของนางไม่ เนื่องจากว่านางไม่เคยพกเครื่องประดับติดตัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อลูบคลำหยกนี้ไปๆมาๆนั้น ก็พลนสัมผัสได้ถึงไออุ่นออกมาจากหยกในทันที เฟิ่งชิงเฉินพลันพึมพำกับตนเองเบา ๆ

“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? หรือว่าจะมีคนช่วยข้าออกมากัน แต่ทว่า ปืนของข้าเล่า?”

“คงมิใช่ว่าหายอยู่ในป่าไผ่หรอกกระมังหรือว่าจะมีคนเก็บไปได้”

อ๊าก เฟิ่งชิงเฉินได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง

ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร นางก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

ฮือ ปืนนั้นเป็นเครื่องป้องกันตัวของนางเชียว หากไม่มีปืนแล้ว ยามที่นางพบกับพวกยอดฝีมือนางจะทำเช่นไรเล่า ด้วยการต่อสู้ที่มีน้อยนิดของนาง หากไปพบเจอคนเช่นหลานจิ่วชิงขึ้นมา คงมิอาจได้เข้าใกล้คนพวกนั้นได้เลยกระมัง

“ข้าว่าข้าต้องเป็นศัตรูตลอดกาลของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วกระมัง เผชิญหน้ากับพวกเขาที่ไร ข้าถึงคราวซวยทุกที ปืนของข้าเล่า ปืนของข้า!”

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่โอดครวญออกมา นางอยากจะให้ปืนของนางตกอย่ในป่าไผ่ยังจะดีเสียกว่า แต่นางก็มิกล้าเข้าไปในป่าไผ่อีกเช่นกัน ป่าไผ่นั่น น่ากลัวเกินไปแล้ว เมื่อคิดถึงสิ่งที่นาง “มองเห็นเมื่อวาน” เฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาอีกครั้ง

หากมิใช่เมื่อวาน นางก็คงไม่รู้ว่า นางหวาดกลัวสิ่งนี้มากเพียงใด นางคิดว่าตนเองได้หลงลืมเรื่องนี้ไปนานแล้วเสียอีก

ฮู่ เฟิ่งชิงเฉินพลันถอนหายใจออกมา พร้อมกับตบหน้าตนเองเบา ๆ “พอแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้ว บางทีเรื่องร้ายอาจกลายเป็นดีก็เป็นได้ ปืนหายก็ปล่อยหายไป ถึงอย่างไร หากกระสุนหมดไป ก็ไม่อาจจะใช้การได้อีก”

เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ปลอบใจตนเอง เพื่อมิให้กลับไปคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกครั้ง วันนี้ นางยังมีอีกการผ่าตัดที่รั้งรออยู่ นางไม่อาจคิดฟุ้งซ่านไปได้อีก หากนางสติหลุดเพียงครั้งเดียว ย่อมอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้

ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดที่เล็กหรือใหญ่เพียงใด หากว่าศัลยแพทย์ผ่าตัดอยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ก็อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นในระหว่าผ่าตัดได้ อีกทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไข้ได้

แต่ก่อนเฟิ่งชิงเฉินได้ยินมาว่า ยามที่ทำการผ่าตัดนั้น หากศัยแพทย์ผ่าตัดมีจิตใจไม่มั่นคง หรือเกิดอาการตื่นเต้นนั้น บางคนอาจทิ้งคีมห้ามเลือด กรรไกร หรือผ้าก็อซเอาไว้ในร่างกายผู้ป่วยได้

สำหรับศัลยแพทย์ที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพนั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงดูถูกพวกเขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่า คนพวกนี้ทำให้ชื่อเสียงของหมอต้องแปดเปื้อน พวกเขาหาได้มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นหมอไม่

เฟิ่งชิงเฉินได้เตรียมตัวรออยู่ในห้องผ่าตัดก่อนแล้ว เพื่อเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการผ่าตัดให้เข้าที่ เมื่อตระเตรียมเสร็จ เพื่อมิให้ซุนซือสิงสงสัย เฟิ่งชิงเฉินหาได้ใช้การฉีดยาชาไม่ เปลี่ยนมาเป็นการใช้กัญชาเพื่อเป็นการดมยาสลบแทน

สิ่งของอื่น ๆ นั้น ซุนซือสิงเคยได้เห็นหมดแล้ว นางจึงมิต้องกังวลใจอันใดมากนัก เมื่อครุ่นคิดว่า ไม่มีปัญหาอะไรตามมา เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ทำการจุดไฟในห้องให้สว่างไสว พร้อมทั้งนำไข่มุกราตรี ที่เสด็จอาเก้าส่งมาให้นางวางเอาวไว้ เพื่อให้แสงไฟภายในห้องผ่าตัดสว่าง

“ข้าละไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าท่านส่งไข่มุกราตรีมาให้ข้าเพราะเหตุใด ข้าคิดว่าท่านพอจะมีใจให้ข้าบ้าง มิใช่ว่าเป็นข้าที่คิดไปเอง แต่ก็เป็นข้าอีก ที่คิดเข้าข้างตนเองมากไป”

การที่เสด็จอาเก้าใช้งานนางเช่นนี้ หากมิพูดว่านางเศร้าใจ คงจะเป็นการโกหก แต่เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่า ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความรู้สึกเหล่านั้นก็จักหาไปเอง

ความรู้สึกเป็นเรื่องที่สมควรจะต้องจัดการ หากนางไม่นึกถึง ความคิดพวกนั้นก็จะปลิวหายไปกับสายลมเอง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดไปบ้าง แต่อีกไม่นานนางก็จะชินชาไปเอง

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินล็อคห้องผ่าตัดแล้วนั้น ก็กำลังเตรียมตัวไปรอซุนซือสิงที่ห้องโถงในทันที มิคาดคิดว่า ซุนซือสิงยังไม่ได้มา แต่เป็นหนานหลิงซูหว่านกับองค์หญิงซีหลิงเหยาหวาที่ผนึกกำลังมาหานางในทันที

ซูหว่านเฟิ่งชิงเฉินย่อมต้องรู้จัก แต่องค์หญิงเหยาหวานั้น

หากนางมิได้จำผิดไปละก็ คืนนั้น คู่สองพี่น้องที่มาหานางเพื่อให้รักษาอาการให้ น้องสาวของคนผู้นั้น ย่อมต้องเป็นองค์หญิงเหยาหวา เช่นนั้น ผู้ที่นางช่วยชีวิตเอาไว้คงจะเป็นองค์รัชทายาทซีหลิงกระมัง

เฟิ่งชิงเฉินยังคงหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่า นางควรจักก้าวเดินต่อหรือว่าถอยหลังกลับไปดี

เหตุใดชีวิตของนางถึงได้เอาแต่เจอคนน่ารำคาญพวกนี้กัน นางเพียงแค่ต้องการเป็นหมอธรรมดาไม่ได้หรือ ขอเพียงแค่นี้มันยากไปงั้นหรือ?

เมื่อองค์หญิงเหยาหวาและซูหว่านเห็นถึงการมีอยู่ของนางแล้วนั้น ก็พลันหันกลับมามองเฟิ่งชิงเฉินโดยมิได้นัด พร้อมกับสายตาซื่อถึงความไม่เป็นมิตรในทันที

“เจ้าคือเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ? การพบกันครั้งแรก ช่างทำให้ข้าประหลาดใจนัก ” ซูหว่านเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป็นการประกาศกร้าวว่า นางไม่อยากจะมาหาเฟิ่งชิงเฉินเลยสักนิด

“เปิ่งกงชื่นชมท่านหมอเฟิ่งมานาน ไม่คิดว่า วันนี้จักได้พบท่านเสียที” องค์หญิงซีหลิงเปลี่ยนวิธีการพูดในทันที แต่ทว่า ภายในคำพูดยังแฝงเอาไว้ว่า ครั้งนี้นับว่าเป็นการพบหน้าครั้งแรกของนางกับเฟิ่งชิงเฉิน

สตรีหน้าซื่อใจคด

มิจำเป็นต้องใช้เหตุผลอันใด เฟิ่งชิงเฉินไม่ชอบสตรีที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองคน แม้ว่านางจักไม่ชอบก็ตาม แต่เบื้องหน้าก็ยังคงต้องทำทีเป็นเคารพพวกนางเช่นเดิม

เฟิ่งชิงเฉินจึงได้ก้าวเท้ายาว ๆ เข้ามาหา พลันพยักหน้าให้ทั้งสองคน เสมือนว่าเป็นการทักทายพวกนาง เมื่อกวาดสายตามองไปหาสตรีทั้งสองคนนั้น พวกนางหาได้มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังนั่งอยู่ภายในห้องโถงเสมือนว่าเป็นเจ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น

นี่ถือว่าเป็นการกระทำที่หยาบคายยิ่งนัก หาได้คิดว่าตนเองเป็นแขกไม่ เมื่อมองไปยังด้านหลัง ก็พลันเห็นองครักษ์และมีนางกำนัลรับใช้ เฟิ่งชิงเฉินจึงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย จากนั้นก็พลันเลือกที่นั่งเพื่อนั่งลง

ที่นั่งจะไปแสดงถึงตัวตนของคนได้อย่างไรกัน สตรีพวกนี้ก็เพียงต่อสู้กันเพื่อเรื่องราวในจิตนาการเท่านั้น

เมื่อก้นของเฟิ่งชิงเฉินแตะลงบนเก้าอี้แล้วนั้น นางกำนัลขององค์หญิงเหยาหวา ก็พลันเดินเข้ามาชี้นิ้วใส่เฟิ่งชิงเฉินว่า “หาญกล้า เบื้องหน้าขององค์หญิงมีที่ใดให้เจ้านั่งกัน ยังไม่รีบเข้ามาทำความเคารพองค์หญิงอีก หากองค์หญิงมิเอ่ยอนุญาตให้นั่งลง มีทางเดียวคือเจ้าต้องนั่งคุกเข่าเท่านั้น”

ความแข็งแก่งมากมายนัก แต่หาได้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหวาดกลัวไม่ อีกทั้งยังไม่สนใจไอสังหารของพวกนางกำนัลและองครักษ์ที่แผ่กระจายออกมาด้วย เฟิ่งชิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่เฉยเมย

“องค์หญิง? องค์หญิงที่ไหนกัน? ชิงเฉินหาได้ได้ยินเสียงราชโองการมาไม่ว่า มีองค์หญิงมาเยือนที่จวนเฟิ่ง”

“เฟิ่งชิงเฉิน เบิกตามองให้ดี องค์หญิงเหยาหวาอยู่ที่นี่ เจ้ากล้าทำตัวไร้มารยาทออกมางั้นหรือ หากเจ้าทำการดูหมิ่นองึ์หญิง ย่อมต้องโดนลงโทษตามกฏกฎมณเฑียรบาล” นางกำนัลผู้นี้โมโหยิ่งนัก ทว่า องค์หญิงเหยาหวาเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพื่อสื่อถึงความไม่พอใจ ซูหว่านเพียงแค่นั่งชมงิ้วด้วยความสบายใจอยู่ข้าง ๆ

ที่พวกนางมาในวันนี้ ก็เพื่อมาทักทายจักรพรรดิตงหลิงเท่านั้น ในเมื่อมีเหตุผลที่ดีเช่นนี้ หากเฟิ่งชิงเฉินทำการไร้มารยาทต่อหน้าพวกนาง นั่นเปรียบเสมือนการทำให้พันธมิตรทั้งสองแคว้นต้องเกิดการสั่นคลอน

บทลงโทษนี้จะเกิดขึ้นได้ หากพวกนางแสร้งทำเป็นโมโห อย่างไรแคว้นตงหลิงต้องเอาชีวิตเฟิ่งชิงเฉินแน่ เพื่อทำให้ความโกรธของพวกนางสงบลง และมิให้เกิดศึกขึ้นทั้งสองแคว้น

ในขณะเดียวกัน หากเฟิ่งชิงเฉินกระทำตัวสงบเสงี่ยม นางก็จักต้องโดนการกลั่นแกล้งมากมาย ทั้งซูหว่านและองค์หญิงเหยาหวาย่อมไม่อาจปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปโดยง่าย เนื่องจากกว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นศัตรูหัวใจของพวกนางทั้งสองคน

หึ เป็นแค่เด็กกำพร้าก็ยังหาญกล้ามาสู้กับพวกนางงั้นหรือ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท