บทที่ 222 เสด็จอาเก้า เขามาได้อย่างไร!
ตี๋ตงหมิง!
เฟิ่งชิงเฉินยิ้ม ช่างดูสง่างามเสียจริง ลูกนี้ยิงได้แม่นมาก
ตี๋ตงหมิงเดินเข้ามาอย่างสง่า “มือสังหาร? องค์หญิงตื่นตูมเกินไป แคว้นตงหลิงนั้นเป็นสันติ ไม่มีทางมีมือสังหารอย่างแน่นอน แม้ว่ามีมือสังหาร พวกเขาก็ไม่ลงมือกับองค์หญิงอย่างแน่นอน เพราะสังหารองค์หญิงไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด มือสังหารที่มีสมองจะเสียเวลาเสียกำลังไปสังหารองค์หญิงหรอก”
เขาหยุดอยู่ข้างเฟิ่งชิงเฉิน และยกคันธนูในมือขึ้น เพื่อแสดงว่าคนที่ยิงเมื่อสักครู่นี้คือตน
“ซู่ซื่อจื่อ? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ซีหลิงเหยาหวาอยากจะหัวเราะแต่ทำไม่ได้
ความหมายของคำพูดตี๋ตงหมิงมันชัดเจนเกินไป นั่นก็คือนางเป็นองค์หญิงที่ไม่มีประโยชน์อะไร ฆ่าไปก็เปล่าประโยชน์
“หมายความแบบที่กล่าว ไม่ว่าองค์หญิงจะเข้าใจหรือไม่ก็ไม่เป็นกระไร ถึงอย่างไรแล้วองค์หญิงแห่งซีหลิงรังแกคนของข้าในพื้นที่ตงหลิงของข้า เรื่องเช่นนี้มิใช่ใครที่ไหนก็ทำออกมาได้” หากเฟิ่งชิงเฉินยังกังวลเรื่องความแตกต่างของสถานะ เช่นนั้นตี๋ตงหมิงถือว่าไม่แยแสเลย
องค์หญิง ไม่ว่าจะเป็นที่โปรดปรานสักเพียงใดนางก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง และคุณค่าของสตรีในราชวงศ์ถูกใช้เพื่อประจบข้าราชบริพารหรือแต่งงานเพื่อความสัมพันธ์ ซีหลิงเหยาหวาจะฉลาดเพียงใด ก็ไม่สามารถหนีพ้นโชคชะตานี้ได้ ครั้งนี้ก็มีเรื่องการแต่งงานระหว่างตงหลิงและซีหลิงเข้ามาเกี่ยวข้อง
องค์หญิงเหยาหวาจะได้แต่งงานมาที่ตงหลิงอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าแต่งกับใครนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ถึงเวลานั้น แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงที่มีเกียรติที่สุดในซีหลิง เมื่อมาถึงตงหลิงก็ต้องปฏิบัติตามกฎของตงหลิง
“ซื่อจื่อ นี่เป็นวิธีการต้อนรับแขกของตงหลิงหรือ? เอ่ยวาจาหยาบคายต่อองค์หญิงของแคว้นเพื่อนบ้าน เจ้ามีเจตนาอย่างไร?” ยิ่งสตรีมีเกียรติมากเท่าใด นางก็ยิ่งหยิ่งยโสมากเท่านั้น ตี๋ตงหมิงกล่าวเพียงไม่กี่ประโยค ก็เหมือนต่อว่านางว่าโง่เขลา นี่ทำให้ซีหลิงเหยาหวาโกรธเคืองอย่างมาก สีหน้าของนางก็แย่ลงเล็กน้อย
“แล้วองค์หญิงเอาดาบเล่มใหญ่มาแนบที่คอคนของข้าในตงหลิงนั้นมีเจตนาอย่างไร?” ตี๋ตงหมิงชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิง ซึ่งถูกทหารจับตัวไว้ด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของซีหลิงเหยาหวาเป็นประกายและนางก็ยิ้มทันที “เป็นความเข้าใจผิด ข้าจะไปที่บ้านไม้จวนเฟิ่งพร้อมชิงเฉิน เพื่อได้เห็นทักษะทางการรักษาที่ไม่ธรรมดาของชิงเฉิน”
ซีหลิงเหยาหวาโบกมือให้องครักษ์ปล่อยทั้งสอง พวกเขาไม่บาดเจ็บก็ไม่เป็นกระไรแล้ว ก็แค่ชาวบ้านธรรมดา
“องค์หญิง เจ้าล้อข้าเล่นหรือ? ชิงเฉินบอกเมื่อใดว่าอนุญาตให้เจ้าไปดูทักษะการรักษาของข้า? มีข้อบังคับของอาจารย์ คนที่สามารถดูการรักษาของข้าได้มีเพียงศิษย์ของข้าเท่านั้น หรือว่าองค์หญิงกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์แล้ว? แต่ข้ามิได้รับการกราบไหว้ของเจ้า?” เมื่อมีคนมาหนุนหลังมันแตกต่างจากตอนไม่มีอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินดึงซุนซือสิงเดินไปอยู่ข้างๆ ตี๋ตงหมิง
เอาล่ะ นางพบว่าความชั่วร้ายของตี๋ตงหมิงก็ยังมีความน่ารักอยู่บ้าง
“องค์หญิง คุณหนูซู พวกเจ้าอยากเป็นวิชาเปิดช่องท้อง มิใช่ว่าไม่ได้ แต่มีเงื่อนไขคือพวกเจ้าต้องเป็นศิษย์ข้า ข้ามิได้มีเงื่อนไขสูงกระไรนัก ขอแค่เพียงคุกเข่าแล้วกราบสามครั้ง ทำทั้งหมดสามรอบ เป็นการทำพิธีไหว้อาจารย์ เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว”
“กราบไหว้เจ้าเป็นอาจารย์หรือ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นตัวอะไร?” องค์หญิงเหยาหวารู้จักเฟิ่งชิงเฉินดี จึงมิได้กล่าวกระไร แต่ซูหว่านดูถูกเฟิ่งชิงเฉินอย่างมาก นางโกรธเคืองและด่าทอในทันที
“ชิงเฉินเป็นคน หรือว่าคุณหนูซูไม่ใช่คน? แล้วคุณหนูซูเป็นตัวกระไร? ลองบอกมาให้เราได้เบิกเนตรสักหน่อย”
ฮ่าๆๆๆ ……
ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวจบ ตี๋ตงหมิงก็หัวเราะออกมาทันที ซุนซือสิงเห็นตี๋ตงหมิงหัวเราะ เขาก็ทนไม่ไหวจึงกล่าวพร้อมหัวเราะว่า ” อาจารย์ คุณหนูซูเป็นคนได้อย่างไร นางเป็นตัวกระไรก็มิทราบ”
“ศิษย์ที่ดี เจ้าเป็นผู้รู้ความจริง คุณหนูซูเป็นตัวกระไรมิทราบ” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเช่นกัน คลายบรรยากาศที่กดดันเมื่อสักครู่ไป
อย่างไรก็ตาม นางรู้ดีว่าคู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่ซูหว่าน แต่เป็นซีหลิงเหยาหวา ผู้หญิงที่ชั่วร้าย
“เฟิ่งชิงเฉิน!” ซูหว่านทำหน้าเหมือนเดิม แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแข็งทื่อ และปิ่นปักผมของนางสั่นเบาๆ
เป็นสิ่งที่หญิงสาวตระกูลผู้ดีได้ฝึกกันมาแต่เด็ก ไม่ว่าเจอสถานการณ์อะไร ก็ต้องยิ้มเอาไว้ ยิ้มอย่างใจเย็น ยิ้มให้อีกฝ่ายเดาใจไม่ออก ยิ้มให้อีกฝ่ายรู้สึกกังวล น่าเสียดาย……
ใส่เครื่องประดับมามากเกินไปไม่ดี จะเผลอเผยความในใจของนางออกมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณหนูซูไม่จำเป็นต้องเตือนชิงเฉิน ชิงเฉินรู้ชื่อของตนดี หากไม่มีเรื่องอื่น ชิงเฉินขอลาทั้งสอง” ครั้งนี้นางส่งแขกจริงๆ เฟิ่งชิงเฉินดึงซุนซือสิงไปทันทีโดยไม่ลังเล
แม้ว่าตี๋ตงหมิงจะเป็นคนที่ไม่ใจดีเท่าไหร่นัก แต่เขาไม่มีทาปล่อยให้ผู้หญิงสองคนนี้รังแกคนตงหลิงอย่างแน่นอน
“หยุดนางเอาไว้” ซีหลิงเหยาหวาออกคำสั่ง
“เจ้ากล้าหรือ?” ตี๋ตงหมิงยกคันธนูในมือขึ้นมา
เขาไม่ใช่องค์หญิงเหยาหวา เขาจึงไม่สามารถนำทหารติดตัวไปไหนมาไหน
“เหตุใดข้าจึงไม่กล้า? ข้ามีพระราชโองการของฮ่องเต้ตงหลิง ซู่ซื่อจื่อจะขัดขืนพระราชโองการหรือ?” ซีหลิงเหยาหวาวางมือไว้ที่แขนของสาวใช้ที่อยู่ข้างหลัง และต่อต้านตี๋ตงหมิงอย่างแข็งแกร่ง
องครักษ์ของซีหลิงล้อมรอบเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ แต่ไม่กล้าขยับเข้าไป
พวกเขาไม่ใช่องค์หญิง หากตี๋ตงหมิงจะฆ่าพวกเขา พวกเขาทำได้แค่ยอม
“พระราชโองการของฝ่าบาทหรือ? อยู่ที่ไหน?” ดวงตาของตี๋ตงหมิงมืดลง
“พระราชโองการไร้สาร ข้าและซูหว่านได้รับพระราชโองการไร้สารของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เราทั้งสองได้เห็นวิชารักษาของเฟิ่งชิงเฉิน ซู่ซื่อจื่อ เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะเอาเรื่องนี้มาเล่นตลกหรอกใช่หรือไม่?”
รู้หรือไม่ว่าอะไรคือการมีคนหนุนหลังจึงไม่กลัวใคร คนที่เป็นเช่นนี้นั่นแหละ
มีคนหนุนหลังทำกระไรก็ง่าย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตี๋ตงหมิงลังเล จักรพรรดิกำลังพยายามเอาผิดจวนซู่ชินอ๋อง หากเป็นเช่นนี้จริง แล้ววันนี้เขาปกป้องเฟิ่งชิงเฉินต่อต้านซีหลิงเหยาหวา เท่ากับว่าเขาขัดต่อพระราชโองการ หากว่าฮ่องเต้เอาเรื่องนี้มาจับผิดเขา เช่นนั้นท่านปู่คงต้องสละอำนาจในมือเพื่อปกป้องตน
ตี๋ตงหมิงเป็นกังวลอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจที่จักรพรรดิสั่งให้เขารับผิดชอบความปลอดภัยภายในเมืองในช่วงเวลานี้ และเขาไม่สามารถออกจากเมืองโดยปราศจากพระราชกฤษฎีกา ที่แท้ท่านได้วางกับดักเอาไว้แล้วนี่เอง
“ซู่ซื่อจื่อ หากเจ้าไม่มีเรื่องอื่นจะกล่าว ข้าจะพาชิงเฉินไปแล้ว” ได้ดีแล้วยังจะเยาะเย้ยเขาอีก องค์หญิงเหยาหวาทำให้ตี๋ตงหมิงโกรธเคืองอย่างมาก
ตี๋ตงหมิงไม่เคยเสียเปรียบเท่านี้มาก่อน เขาโกรธเคืองอย่างมาก เขาขวางหน้าซีหลิงเหยาหวาเอาไว้ แต่ก็เริ่มสูญเสียความมั่นใจ และในขณะที่เขากำลังจะหลีกทาง…..
“องค์หญิงเหยาหวาเดี๋ยวก่อน ซู่ซื่อจื่อไม่มีกระไรจะกล่าว แต่ข้ามี”
เสียงที่บริสุทธิ์และเย็นชาเล็กน้อยดังขึ้น ทำลายบรรยากาศของจวนเฟิ่ง ทุกคนมองไปทางต้นเสียงพร้อมกัน พวกเขาเห็นเสด็จอาเก้าเดินฝ่ากลุ่มองครักษ์เข้ามาด้านใน
กลิ่นอายที่น่าเกรงขามและความสง่านั้น เหมือนดั่งการเสด็จของราชา
“เสด็จอาเก้า!”
ในกลุ่มคนเหล่านี้ คนที่ตกใจที่สุดคือเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเบิกกว้าง แววตามองจ้องไปที่เสด็จอาเก้า มองอยู่นานไม่อาจละสายตาได้
เขามาได้ยังไง!
ตี๋ตงหมิงกลับดูตื่นเต้นอย่างมาก เขาเร่งหันไปคำนับตงหลิงจิ่ว ตงหลิงจิ่วมองเขาอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ยืนขึ้นเถิด”
“เสด็จอาเก้า” ซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านก็ก้าวเข้าไป นางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่หลังพวกนางเห็นเช่นนี้ก็เร่งถวายบังคม
มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้นที่ยืนตรง ดูสะดุดตาอย่างมาก แต่เสด็จอาเก้ากล่าวราวกับว่าเขาไม่เห็น “ยืนขึ้น” จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปและนั่งลงบนที่นั่งหลัก
ทุกคนจำต้องตามเขาไป ซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านนั่งอยู่ล่างเขาทั้งซ้ายและขวา ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ยืนอยู่