บทที่ 226 ตกใจจนเป็นลม, ความกล้าไม่มากแต่ความโกรธมาก
ตี๋ตงหมิงและตงหลิงจิ่วยื่นมือออกมาพร้อมๆกัน เฟิ่งชิงเฉินนั้นปฏิกิริยาว่องไว ในตอนที่เขาล้มลงไปทางตี๋ตงหมิง ซึ่งทำให้ตี๋ตงหมิงเป็นวีรบุรุษที่ช่วยนางเอาไว้ได้อย่างงดงาม แต่ก็จงใจให้สิ่งของในถาดลอยไปกระแทกหน้าของซูหว่านพอดี
“อ้า……” ซูหว่านเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าและร้องออกมา
เฟิ่งชิงเฉินพิงอยู่ในอ้อมแขนของตี๋ตงหมิง และยิ้มออกมาอย่างเยาะเย้ยดูถูก แม้จะเหมือนการทำเกินกว่าเหตุ แต่ก็เป็นเหมือนกับการถูกคนรังแกทั่วไป ก็แค่ถุงน้ำดีอันหนึ่ง ใบหน้าของนางไม่ได้รับบาดเจ็บและไม่ได้เสียโฉม
“คุณหนูซูหว่านข้าขอโทษ ชิงเฉินเกิดพลั้งมือไป คุณหนูซูหว่านโปรดยกโทษให้ด้วย” ต่อหน้าของตงหลิงจิ่วก็ต้องแกล้งทำเป็นอ่อนโยน แกล้งทำเป็นเอาใจใส่ให้เต็มที่
เฟิ่งชิงเฉินกำลังพูดกับซูหว่านแต่สายตามองไปที่ซีหลิงเหยาหวา ทำให้ซีหลิงเหยาหวาตกใจกลัว คิดว่าวันนี้ตัวเองเจอกับความมืดมนแล้ว และก้าวไปข้างหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
นางผู้หญิงขี้ขลาด!
“เฟิ่งชิงเฉิน นี่มันอะไรกัน” สาวใช้ของซูหว่านก้าวมาข้างหน้าและเช็ดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าของนาง แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดความเขินอายของนางได้
คนสวย ไม่ว่าจะสวยสักแค่ไหน ใบหน้าที่ตากแดดทั้งวันและถูกทำให้เลอะสกปรก ก็คงไม่สวย
“นี่ก็คือสิ่งที่คุณหนูซูหว่านอยากเห็นในวันนี้ น้ำดีที่ชิงเฉินเอาออกมาจากร่างกายของซุนฮูหยิน แต่น่าเสียดายที่ถูกชิงเฉินทำตกลงไปแล้ว ไม่เช่นนั้นทั้งสองคนก็คงได้เห็นอย่างละเอียด แต่ก็ไม่เป็นไร ชิงเฉินเชื่อว่าภายหลังยังคงมีโอกาสได้เห็นแน่”
เฟิ่งชิงเฉินอธิบายออกมาอย่างใจดี ในขณะเดียวกันก็อธิบายอาการป่วยของซุนฮูหยินให้ฟังอย่างง่าย จุดสำคัญอยู่ที่น้ำดีของซุนฮูหยินนี่มีปัญหา ถ้าหากถุงน้ำดีนี้แตก น้ำดีจะไหลออกมาและไปทำร้ายหัวใจและปอด ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเทพองค์ไหนก็ไม่สามารถช่วยได้
ตุบ…… เมื่อซูหว่านได้ยินเช่นนั้นก็หมดสติไป
สีหน้าของซีหลิงเหยาหวาก็ดูไม่ได้เช่นกัน แต่ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ได้สังเกตเห็น นางก้มลงไปกับพื้นแล้วเก็บถุงน้ำดีที่แตกขึ้นมา แน่นอนว่ามือนางใส่ถุงมืออยู่
“องค์หญิงเหยาหวา ท่านอย่างจะมองดูอย่างละเอียดไหม” เฟิ่งชิงเฉินส่งถุงน้ำดีที่แตกนั้นให้ต่อหน้าซีหลิงเหยาหวา แล้วยังพลิกไปพลิกมาอย่างน่าขยะแขยง
ซีหลิงเหยาหวาพยายามรักษาท่าทีของตนเอง และยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “ขอบใจแม่นางเฟิ่งมาก วันนี้ข้าได้เห็นถึงทักษะทางการแพทย์ของหมอเฟิ่งแล้ว ท่านเสด็จอาเก้าข้าน้อยขอทูลลา”
เมื่อพูดเสร็จ ก็ไม่รอให้ตงหลิงจิ่วตอบรับ หันตัวเดินออกไปทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า…… ” เมื่อได้เห็นซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านที่ได้หนีไป เฟิ่งชิงเฉินก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ
ความกล้าแบบนี้ แม้แต่ซุนฮูหยินก็ยังไม่สามารถเทียบได้ แล้วยังจะอยากมาดูนางผ่าตัดอีก ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
ตงหลิงจิ่วไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เช่นนี้พอใจแล้วหรือยัง?”
เฟิ่งชิงเฉินรีบเก็บรอยยิ้มโดยเร็ว และคุกเข่าลงต่อหน้าตงหลิงจิ่ว “ผู้หญิงคนนี้ทำเกินไปแล้ว เสด็จอาเก้าโปรดลงโทษ”
ในวันนี้นางสามารถหยอกล้อซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านได้ นั้นก็เป็นเพราะว่าเสด็จอาเก้าอยู่ที่นี้ให้การสนับสนุนนาง แต่ก็รู้ดีว่า จะให้นางวางตัวกับเสด็จอาเก้าแบบเมื่อก่อน นางคงทำไม่ได้แล้ว
ยากที่จะทำใจ!
เมื่อนางตัดสินใจขีดเส้นระหว่างคนทั้งสอง ผู้ชายคนนี้ก็มาเอื้อเฟื้อกับนางอีกครั้ง นี่มันคืออะไรกัน
“ฮึ่ม” ตงหลิงจิ่วมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินแล้วเดินจากไป ไม่ต้องมองเฟิ่งชิงเฉินเองก็เข้าใจดีว่าเขาโกรธ แต่โกรธแล้วอย่างไร ล่ะนางก็ทำตามมารยาทแล้วไม่ใช่หรือ?
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างเก่งจริงๆ ข้ายอมรับเจ้า” ตี๋ตงหมิงทิ้งคำพูดเหล่านี้ไว้ แล้วรีบตามเสด็จอาเก้าไป
เฟิ่งชิงเฉินต้องการจะลุกขึ้น แต่เพราะลุกเร็วไปนางจึงล้มลงไป หัวเราะขึ้นมาแล้วจึงลุกขึ้นมาใหม่ เฟิ่งชิงเฉินจัดเก็บสิ่งของการผ่าตัดไปอย่างไม่เห็นฝุ่น แล้วเดินไปที่ห้องครัว…..
จวนเฟิ่งไม่มีใครอยู่ นางจึงต้องลงมือเอง
เฟิ่งชิงเฉินที่ผมเปียกชุ่มมองเห็นแป้งหมี่ในห้องครัว จากนั้นก็นำแป้งหมี่มาฝานให้เป็นเส้นบางๆทีละเส้น แล้วจึงนำไปลวกให้สุก
แน่นอนว่านางเป็นคนดี ตักต้มในหม้อมาไว้ข้างๆ เมื่อโจวสิงกลับมาถึงก็สามารถกินได้ทันที
เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการที่จะนั่งอยู่ในห้องอาหารเพียงลำพัง จึงนำกลับมากินที่ห้องของนาง แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อนางกลับมาที่ห้องพบว่าคนคนหนึ่งที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ นั่งอยู่ในห้องของนาง
“เสด็จอาเก้า?”
เฟิ่งชิงเฉินปล่อยมือ ชามร่วงลงมา ตงหลิงจิ่วยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อคว้าชามเอาไว้ น้ำซุปสักหยดก็ไม่หกออกมา
เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงกับการปรากฏตัวของตงหลิงจิ่วมากเสียจนนางไม่ได้มองการกระทำที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าของตงหลิงจิ่วนี้
“ข้าไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน เจ้าช่างมีน้ำใจ” ตงหลิงจิ่วรู้ว่าที่จวนเฟิ่งนี้ไม่มีใครอยู่ อาหารนี้คือเฟิ่งชิงเฉินทำด้วยตนเอง เขาหยิบตะเกียบในมือของเฟิ่งชิงเฉิน แล้วก็สนใจแต่การกินของตนเอง
นี่คือเสด็จอาเก้า?
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ไม่ได้ขยับไปไหน
เสด็จอาเก้าไม่ได้มีทีท่าไม่ชอบมัน เขากินเส้นหมี่นั่นของเฟิ่งชิงเฉินไปจนหมดเกลี้ยง
หลังจากที่กินและดื่มจนอิ่ม ความโกรธบนตัวของเสด็จอาเก้าก็ลดลงไปไม่น้อย เขาเดินหาเฟิ่งชิงเฉินและพูดออกมาช้าๆว่า “เรื่องที่ไม่ได้ใหญ่โต เมื่อมีความโกรธก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าที่ช่างสร้างเรื่องวุ่นวาย ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหนนี่คือตราประทับของข้า ครั้งหน้าถ้าหากใครรังแกเจ้าอีก ข้าจะทุบตีให้กลับไปอย่างไร้ปราณี”
ตงหลิงจิ่วนำแผ่นหยกวางเข้าไปในมือของเฟิ่งชิงเฉิน และเดินจากไป
หยกเหอเถียนที่ดีที่สุด ด้านหน้าสลักรูปมังกรบิน ด้านหลังเป็นเลขเก้าขนาดใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าตราประทับนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงตัวตนของเสด็จอาเก้า ในโลกใบนี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น มีความหมายเหมือนกับเสด็จอาเก้ามาด้วยตนเอง
เพียงแต่ว่าตราประทับชิ้นนี้……
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมา และซ่อนความรู้สึกข้างในดวงตาเอาไว้
ถ้าหากว่าให้นางเร็วกว่านี้ นางคงจะรู้สึกซาบซึ้งไปแล้ว แต่การที่มอบให้นางในตอนนี้ ทำให้นางรู้สึกหมดเรี่ยวแรงและน่าขันเท่านั้น
แน่นอน นางจะไม่ส่งตราประทับชิ้นนี้คืนอย่างไม่มีเหตุผล ในช่วงที่ซีหลิงเหยาหวาและซูหว่านอยู่ ตราประทับชิ้นนี้จะช่วยชีวิตนางได้ในเวลาสำคัญ
เฟิ่งชิงเฉินเก็บเหรียญนั้นไว้ มองไปที่ชามกระเบื้องที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ นางกัดริมฝีปากเบาๆ ก้าวออกไปข้างหน้าอย่างเงียบๆเพื่อเก็บกวาด
เป็นเวลากลางคืน นอกจากพื้นที่ที่ตระกูลซุนพักอยู่ จวนเฟิ่งก็เงียบผิดปกติ แม้แต่โจวสิงก็ยังไม่กลับมา
เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าการมาถึงของซูหว่านจะทำให้โจวสิงให้ความสำคัญ แต่นางก็ไม่คิดจะสนใจ และสนใจไม่ได้เพราะตัวตนของโจวสิงเป็นเขตหวงห้ามที่นางไม่สามารถสัมผัสได้
เมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงของกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ เฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจจะหาความชัดเจนของสมบัติที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ของตนเอง
หลังจากล็อกประตูและหน้าต่างทีละตัว เฟิ่งชิงเฉินนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง เปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะอีกครั้ง ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างในตามลำดับ จนกระทั่งถึงการใช้ระบบจรรยาแพทย์
เมื่อเปิดคะแนนจรรยาแพทย์ด้านบนออก เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่คำอธิบายอย่างละเอียด ยิ่งมองใบหน้าก็ยิ่งมีความสุข
คะแนนจรรยาแพทย์ใช้เพื่อการแลกเปลี่ยนเครื่องมือแพทย์และยารักษาโรค และใช้เติมยาที่ค่อยๆหมดไปของกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ ระดับและคะแนนจรรยาแพทย์ที่ไม่เหมือนกันจะสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของได้ไม่เหมือนกัน
จรรยาแพทย์หนึ่งพันคะแนนเป็นระดับที่หนึ่ง ในตอนนี้คะแนนจรรยาแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินมีอยู่สองคะแนนแม้แต่ระดับหนึ่งก็ไม่สามารถเป็นได้ เป็นได้เพียงระดับต้น
ในระดับต้น แลกเปลี่ยนได้เฉพาะ ยารักษาหวัดทั่วๆไป ยาปฏิชีวนะ ยาแก้อักเสบ ผ้าพันแผล และน้ำยาฆ่าเชื้อ และสองคะแนนสามารถแลกเปลี่ยนได้เพียงยารักษาหวัดสิบซองเท่านั้น
“ไม่ใช่สิ ระยะห่างนี้มันมากเกินไปแล้ว จรรยาแพทย์นี้ข้าจะเก็บสะสมมาได้อย่างไรกัน” เฟิ่งชิงเฉินมองยาที่ชื่นชอบเหล่านั้นต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งร้อยคะแนน น่าหดหู่จริงๆ
และในการสะสมคะแนนจรรยาแพทย์มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือการช่วยชีวิตผู้คน ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจสอบด้วยกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะจะตัดสินว่าระดับความยากของการรักษาอาการป่วยนั้นเพียงพอที่จะได้รับจรรยาแพทย์หรือไม่
ในการรักษาคนหนึ่งคน คะแนนต่ำสุดคือศูนย์คะแนน มากสุดคือสิบคะแนน แต่ถ้าหากเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยรักษาหรือรักษาผิดพลาดจนตาย จะถูกหักยี่สิบคะแนน
“ไม่ยุติธรรมเลย” หลังจากอ่านระบบจรรยาแพทย์เสร็จเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกโกรธ นี่มันบังคับขู่เข็ญกันชัดๆ……
เฟิ่งชิงเฉินม้วนตัวอยู่บนเตียงกลิ้งไปกลิ้งมา จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
นางเหนื่อยแล้ว!
เป็นเวลากลางคืน หลานจิ่วชิงมาถึงด้านนอกของห้องเฟิ่งชิงเฉิน มองไปที่ประตูและหน้าต่างที่ปิด ในดวงตาของเขาเป็นประกายของรอยยิ้ม เด็กผู้หญิงคนนี้ปิดกั้นใครกัน? ปิดกั้นเขาหรือ? ถ้าคิดว่าแบบนี้สามารถกั้นเขาได้แล้ว ก็คงจะดูถูกเขาเกินไปแล้ว
“ช่างเป็นผู้หญิงที่ใจแคบเสียจริง”