บาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินสาหัสยิ่งนัก โดยเฉพาะขาทั้งสองข้าง แทบจะไม่เหลือชิ้นดีเลย แม้แต่น้อย หมอหลวงยังไม่อยากจะเชื่อว่า เฟิ่งชิงเฉินจักสามารถยืนหยัดด้วยขาสองข้างที่เป็นเช่นนี้ได้อยู่นานสองนาน ทั้งยังสามารถนั่งคุกเข่าต่อหน้าองค์จักรพรรดิได้อีก
นางจะมีความอดทนอะไรได้ขนาดนี้!
แม้ว่าพวกเขาจะมีความเห็นอกเห็นใจ แต่อย่างไรก็ทำได้แค่นั้น พวกเขาย่อมไม่กล้าทำสิ่งใดมากไปกว่านี้ หาใช่เพราะว่า ความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉิน จักทำให้พวกเขาทำดีต่อนางด้วย เมื่อเห็นบาดแผลทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงเฉินนั้น หาได้มีหมอหลวงคนใด กล้าเข้าไปทำแผลให้นางไม่
อีกทั้ง บาดแผลที่ต้นขาด้านใน ทำให้พวกเขาไม่กล้าทำแผลให้เช่นกัน ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินจะย่ำแย่เพียงใด อย่างไรนางก็ยังเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนอยู่ดี พวกเขาหมอหลวงทั้งหมดจะไปกล้าทำได้อย่างไร
หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยปกติแล้วจะมีหมอหลวงที่เป็นสตรีมาจัดการให้ ทว่า บาดแผลของเฟิ่งชิงเฉินนั้น มีขนาดใหญ่จนเกินไป อีกทั้ง บาดแผลของนางยังเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นมากมาย และยังมีเนื้อตายอีก อย่างไรก็ต้องทำความสะอาดแผลให้ดี มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดบาดแผลติดเชื้อได้
การทำความสะอาดบาดแผลให้สะอาดนั้น ความสามารถพวกนี้ หมอหลวงที่เป็นสตรีไม่อาจทำได้ หากทำความสะอาดบาดแผลให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ดีแล้วไซร้ เกรงว่าขาของเฟิ่งชิงเฉินย่อมไม่อาจใช้การได้อีก
“หมอหลวงหลิน ท่านเห็นเป็นเช่นไร?” องค์จักรพรรดิสั่งให้หมอหลวงทั้งสามนายมาดูอาการให้เฟิ่งชิงเฉิน หนึ่งในนั้นมีหมอหมอหลวงอายุห้าสิบปลาย ๆ นามว่าหมอหลวงหลิน และยังมีหมอหลวงโจวถึงเพิ่งจับชีพจรให้นางเสร็จ พลางหันมากล่าวถาม ความคิดเห็นของเขา
“มองมาที่ข้าทำไมกัน หมอหลวงหวังท่านเก่งกาจเรื่องการรักษาบาดแผลภายนอกมิใช่หรือ ความสัมพันธ์ของพวกท่านและเฟิ่งชิงเฉินก็ดี เจ้าก็ช่วยเฟิ่งชิงเฉินทำความสะอาดบาดแผลเสีย ข้าคิดว่า ยามที่นางฟื้นขึ้นมา นางต้องรู้สึกซาบซึ้งเจ้าอย่างแน่นอน” หมอหลวงหลินพลันชี้ไปยังหมอหลวงอายุน้อยผู้หนึ่ง
“หมอหลวงหลิน ข้าเป็นเพียงตระกูลหวังสายรองเท่านั้น ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเฟิ่งชิงเฉินคือคุณชายใหญ่ต่างหาก” หมอหลวงหวังพลันถอยหลังไปสามก้าว เชิงจะสื่อว่ เขาไม่อยากทำแผลให้เฟิ่งชิงเฉิน
น่าขำนัก เขาที่อายุน้อยเช่นนี้สามารถไต่เต้าเข้ามาทำงานในสำนักหมอหลวงขององค์จักรพรรดิได้ หากว่าเฟิ่งชิงเฉินใช่เหุตผลนี้ ทำให้เขาต้องสู่ขอนางเล่า เขาจักทำเช่นไร หมอหลวงหวังพลันกล่าวข้อเสนอของตนเองออกมาว่า
“หมอหลวงหลิน ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินเชี่ยวชาญการรักษาบาดแผลพวกลูกศรและคมมีดนัก เช่นนั้นไม่รอให้นางฟื้นขึ้นมา และทำการจัดการบาดแผลด้วยตนเองเล่า”
ตี๋ตงหมิงที่ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ จากปากของหมอหลวงก็พลันโมโหยิ่งนัก พร้อมกับสะบัดแขนซุนซือสิงที่ห้ามเขาอยู่ และกระโจนเข้าไปในห้องในทันที “อะไรคือการให้เฟิ่งชิงเฉินทำแผลด้วยตนเอง พวกเจ้าไม่เห็นรึ เฟิ่งชิงเฉินนางบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ยังต้องให้นางลงมือทำแผลด้วยตนเองอีก พวกเจ้ามีหัวใจบ้างหรือไม่?
ฝ่าบาทต้องการให้พวกเจ้ารักษาเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้งั้นหรือ? ฝ่าบาทให้พวกเจ้ากระทำตัวเช่นนี้ต่อวีรบุรุษงั้นหรือ? หมอหลวงโจว หมอหลวงหลิน เฟิ่งชิงเฉินนางอายุน้อยกว่าบุตรีของพวกท่านนัก แต่ดูสิ ว่าบุตรีของพวกท่านทำอันใดบ้าง?และเฟิ่งชิงเฉินนางทำสิ่งใดบ้าง? หลังจากที่นางแข่งขันต่อสู้เพื่อแว่นแคว้นเช่นนี้ พวกเจ้ากล้าพูดออกมาเช่นนั้นได้อย่างไร?”
แต่เดิมเพราะเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินก็ทำให้ตี๋ตงหมิงไม่พอใจในการกระทำขององค์จักรพรรดิแล้ว ทว่า เมื่อเห็นจักรพรรดิสั่งให้หมอหลวงมารักษาเฟิ่งชิงเฉินเช่นนี้ พวกเขาหาได้สนใจบาดแผลและชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินไม่ ตี๋ตงหมิงยิ่งทวีคูณความโมโหเข้าไปอีก
ถ้าหากว่า แม่ทัพเฟิ่งยังอยู่ เขาย่อมไม่สนใจเฟิ่งชิงเฉินด้วยซ้ำ แม้นว่าบุตรีของตนเองจะกระทำผิด ถึงอย่างไร แม่ทัพเฟิ่งก็จักต้องมายืนอยู่เบื้องหน้าเพื่อปกป้องบุตรีของตนเป็นแน่
ไม่ใช่ หากแม่ทัพเฟิ่งยังอยู่นั้น ซูหว่านและซีหลิงหยาหวา ย่อมมิกล้ารังแกเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน พวกนางมิใช่จ้องจะรังแกเพียงคนเดียวคือเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ
“องค์ชาย กระหม่อมหาได้หมายความเช่นนั้นไม่พะยะค่ะ แต่บาดแผลของแม่นางเฟิ่ง กระหม่อมมิอาจจัดการได้” หมอหลวงหลินพลันบ่นอยู่ภายในใจ
พระเจ้า รังสีฆ่าฟันเช่นนี้มิใช่ว่าองค์ชายกลับจวนไปแล้วรึ เหตุใดเขายังอยู่ที่นี่อีก
ระยะทางจากพระราชวังมาถึงจวนเฟิ่งนั้น ตี๋ตงหมิงเร่งเร้ามาตคลอดทาง อีกทั้งอารมณ์ของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นเช่นกัน ทำเอาพวกหมอหลวงแทบจะตกใจตาย กลัวว่าองค์ชายผู้นี้จักไม่พอใจและนำดาบออกมาฟันคอพวกเขาได้
“หากไม่สามารถจัดการได้ พวกเจ้าก้ไม่คิดจักสนใจงั้นหรือ? ถ้าหากวันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคือองค์หญิงอันผิง พวกเจ้าจักรอให้องค์หญิงอันผิงตื่นมาทำแผลเองหรือไม่ จะให้นางใส่ยาบนแผลตนเองหรือไม่?” ในความคิดของตี๋ตงหมิงในยามนี้ ชะตากรรมที่เฟิ่งชิงเฉินได้รับในวันนี้ มิใช่ว่านางต้องมารับเคราะห์กรรมแทนองค์หญิงอันผิงงั้นหรือ
องค์หญิงอันผิงผู้ไร้ประโยชน์นางนั้น ในคราแรกยังกล้ารับปากจะเข้าไปร่วมการแข่งขันด้วย ทว่า เมื่อเห็นอันตรายอยู่ตรงหน้าก็พลันหลีกหนีเสียแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง ตี๋ตงหมิงเกลียดที่สุดคือ คนที่วิ่งหนีปัญหา หากมิใช่ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นองค์หญิงละก็ เขาคงพุ่งเข้าไปสั่งสอนนางแล้ว
ทั่วใบหน้าของหมอหลวงหลินพลันเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมา ทั้งยังไม่กล้ายกมือขึ้นเช็ดอีกต่างหาก “องค์ชายพะยะค่ะ กระหม่อมจะทำการล้างแผลให้แม่นางเฟิ่งเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
พร้อมทั้งส่งสายตาไปทางหมอหลวงหวัง ถึงแม้ว่าหมอหลวงหวังจะไม่อยากทำ แต่ก็ได้แต่ก้มหน้าเดินเข้าไปแทน
“ไม่ต้องแล้ว บาดแผลของอาจารย์ของข้า ไม่ลำบากให้พวกท่านลงมือหรอก” ซุนซือสิงพลันหิ้วกระเป๋ายามา พร้อมกับหอบหายใจอยู่หน้าประตู
เขาบังเอิญกลับไปที่จวนตระกูลซุน ทว่า ตี๋ตงหมิงก็ไปลากเขาจากตระกูลซุนให้วิ่งมากที่นี่ อีกนิดเดียวเขาแทบจะขาดใจตายแล้ว มิน่าเล่า ท่านอาจารย์ถึงกล่าวว่า คนเป็นหมอ ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง
พวกเขาทั้งสองคนนั้น ซื่อบื้อยิ่งนัก ด้วยความที่ใจร้อน จนหลงลืมไปว่า พวกเขาสามารถขี่ม้ามาได้
“ซือสิงมาแล้ว บังเอิญยิ่งนัก เช่นนั้น บาดแผลของอาจารย์ของเจ้า เจ้าก็เป็นคนจัดการเสีย” หมอหลวงหลินและหมอหลวงซุน ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน ทว่า เมื่อได้ยินว่าซุนซือสิงกราบเฟิ่งชิงเฉินเป็นอาจารย์นั้น พวกเขาพลันหัวเราะเยาะซุนซือสิงไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้ว่าซุนซือสิงจักเคยทำงานอยู่ในสำนักหมอหลวงมาก่อน ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ที่เขาจะเคยเห็นการไร้ความรับผิดชอบของหมอหลวงเหล่านี้มานักต่อนัก ที่เขาออกมากจากสำนักหมอหลวง นั่นเป็นเพราะว่า เขาไม่ใคร่พอใจกับความขี้ขลาดตาขาวของหมอหลวงเหล่านี้
หมอหลวงส่วนใหญ่หาใช่รักษาแต่เชื้อพระวงศ์ไม่ หากมีคนไข้ที่พิเศษเข้ามา ความกล้าของเหล่าหมอหลวงพวกนี้ก็จักหายไปในทันที ดังนั้น การรักษาของหมอหลวงส่วนใหญ่ จักใช้การรักษาแบบครอบคลุมอาการตลอด
หากรักษาไม่ดีย่อมไม่เป็นอันใด ขอเพียงแค่ไม่ทำให้คนไข้ตกตายไปก็พอ หากจะใช้เวลาทำการรักษานาน ๆ ย่อมไม่เป็นไร ขอเพีงแค่เห็นผลลัพธ์เท่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจโทษหมอหลวงได้อีก เนื่องจากว่าหมอหลวงเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน สถานที่เช่นสำนักหมอหลวงเช่นนั้น หากกระทำการไม่ระวังตน ย่อมอาจถูกตัดหัวได้ง่าย พวกเขาจึงไม่กล้าที่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายนัก
ซุนซือสิงเอง หาได้ทำให้เหล่าหมอหลวงลำบากใจไม่ พลันเอ่ยส่งแขกด้วยท่าทางนอบน้อม “หมอหลวงทั้งสามท่านเดินทางปลอดภัยขอรับ ซือสิงขอไม่ส่งพวกท่าน”
“มิเป็นไร ช่วยคนสำคัญกว่า” หมอหลวงหลินหาได้อยากอยู่ที่นี่ต่อไม่ พลันยกกล่องยาขึ้นและจากไปในทันที
“องค์ชายพะยะค่ะ ท่านช่วยอุ้มท่านอาจารย์ไปที่ห้องพักได้หรือไม่” หลังจากที่ซือสิงเห็นสภาพของเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก พร้อมทั้งถอนหายใจออกมา
หาได้สาหัสเฉกเช่นที่หมอหลวงเหล่านั้นพูดไม่ แต่ทว่า พวกเขากลัวจักโดนลงโทษมากกว่า บาดแผลพวกนี้ เพียงแค่อาจารย์รักษาตัวดี ๆ ก็หายแล้ว หมอหลวงส่วนใหญ่มักจะชอบพูดเกินจริงเสมอ นั่นเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่า พวกเขาลงแรงไปมากเพียงใด
หากเปรียบกับหมอหลวงแล้ว ตี๋ตงหมิงเชื่อใจซุนซือสิงมากกว่าหมอหลวงพวกนั้นอีก ซุนซือสิงเป็นศิษย์ที่ซุนเจิ้งเต้าสั่งสอนออกมาเชียว ความสามารถของซุนซือสิงย่อมมีมากกว่าหมอหลวงพวกนั้นอยู่แล้ว
ตี๋ตงหมิงที่เข้ามาเหยียบห้องพักของเฟิ่งชิงเฉินเป็นครั้งแรกนั้น เขาหาได้มีโอกาสสำรวจอันใดไม่ ซุนซือสิงเองก็มิได้กีดกันตี๋ตงหมิงเช่นกัน เมื่อสวมใส่อาภรณ์ชุดขาวเสร็จ ก็พลันหยิบถุงมือของหมอมาใส่ พลางหยิบน้ำยาฆ่าเชื้ออกมาจากตู้ พร้อมด้วยยาใส่แผลและผ้าพันแผล
ตี๋ตงหมิงถือได้ว่าเป็นคนที่ใจเย็นยิ่งนัก เมื่อเห็นซุนซือสิงนำสิ่งของแปลก ๆ ออกมานั้น เขาหาได้ถามอันใดไม่ เนื่องจากรู้ว่า การช่วยชีวิตคนในยามนี้สำคัญกว่ามากนัก
“ท่านอาจารย์ บาดแผลของท่านใหญ่มาก หากจักต้องทำความสะอาดแผล ท่านย่อมต้องเจ็บปวดมากแน่ ข้าจักทายาชาเฉพาะที่ให้ท่านแทน”
“ป็อก” ซุนซือสิงพลันดึงจุกของขวดแก้วออกมา พร้อมทั้งใช้กระบอกฉีดยาจุ่มเข้าไป เพื่อที่จะดึงของเหลวออกมา
“ไม่ต้อง ซือสิง ไม่ต้องเอายาชา ข้าทนได้” เฟิ่งชิงเฉินหาได้ไร้สติไม่ นางเพียงแค่ไม่มีเรี่ยวแรงจะลืมตาขึ้นมาเท่านั้น เมื่อได้ยินซือซิงเอ่ยออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาในทันที
บาดแผลของนางใหญ่มากนัก ไม่อาจทำการเย็บแผลได้ เพียงแค่ทำความสะอาดบาดแผลและใส่ยาก็พอแล้ว แม้ว่าการใช้ยาชามันจะมิทำให้เจ็บปวด แต่มันอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูบาดแผลได้ อีกทั้ง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเกลียดผลกระทบหลังจากที่ได้รับยาชาอีกด้วย
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพอจะได้สติขึ้นมาบ้าง ทว่า ทั่วร่างมิอาจขยับได้อย่างใจอยาก ในยามนี้ นางคล้ายจะเป็นหนูตัวเล็ก ๆ ที่ถูกมัดอยู่ในห้องผ่าตัดยิ่งนัก ไม่มีกำลังที่จะต่อสู้ เพียงรอวันที่จะถูกชำแหละ
นางไม่ชอบเช่นนั้น นางไม่ชอบความรู้สึกที่ตนเองทำสิ่งใดไม่ได้ และต้องงอมืองอเท้าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น