องค์หญิงอันผิงเพียงคนเดียวจะทำให้ความโกรธของเสด็จอาเก้าสงบลงได้อย่างไรกัน? แค้นนี้ต้องชำระ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด เขาจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
“บอกหมอหลวงซุน ข้าต้องการให้อาการบาดเจ็บของซีหลิงเทียนเหล่ยสาหัสมากกว่าเดิม ถ้าหากสามารถทำให้บาดแผลของเขาเปิดออกได้ ถือว่าดีที่สุด”
ผู้ที่มีฝีมือเย็บแผลดีที่สุดในตงหลิงคือเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บจากแผนการของซีหลิงเหยาหวา คาดว่าซีหลิงเทียนเหล่ยคงจะได้เกลียดซีหลิงเหยาหวาแล้วล่ะ
“ขอรับ”
“เปิดเผยข่าวเรื่องที่ตระกูลซูต้องการช่วยให้ข้าได้ขึ้นครองราชย์ ให้ฝ่าบาทได้รับรู้”
คิดอย่างจะแต่งงานกับตงหลิงจิ่ว ก็ต้องมองว่าเจ้ามีความสามารถในเรื่องนั้นหรือไม่ ตระกูลซู? ยังไม่อยู่ในสายตาเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องการขุ่นเคืองไม่ได้หมายความว่าเขาจะขุ่นเคืองไม่ได้
ซูหว่าน เจ้าชอบทะเลาะกับคนอื่นนักใช่หรือไม่? ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนาเอง ให้เจ้าเข้ามาอยู่ในวัง ทะเลาะกับองค์ฮองเฮาเสียให้พอ
“ขอรับ”
“ไปบอกกับตระกูลเซี่ย เซี่ยกุ้ยเฟยถูกฮองเฮาวางยาแท้งบุตร ให้ตระกูลเซี่ยไปหมู่บ้านแรกในแผ่นดินเพื่อหาซื้อยาแก้พิษ”
ฮองเฮาไม่ต้องการให้เซี่ยกุ้ยเฟยคลอดบุตรออกมา เพราะกลัวว่าหลังจากที่เซี่ยกุ้ยเฟยให้กำเนิดองค์ชายออกมา จะคุกคามถึงตำแหน่งของตงหลิงจื่อลั่ว
ยิ่งฮองเฮาไม่ต้องการมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งส่งคนไปให้มากขึ้นเท่านั้น
ผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่พอที่จะให้กำเนิดองค์ชายที่สูงศักดิ์
“ขอรับ”
“หาวิธีเปิดเผยเงื่อนงำการตายของพ่อแม่ตี๋ตงหมิงให้เขาได้รับรู้” ในครั้งนี้จักรพรรดิทำให้เขารำคาญจริงๆ ดังนั้นคนพวกนี้อย่าคิดว่าจะมีชีวิตอย่างสุขสบายได้แม้แต่คนเดียว
“ขอรับ”
หลังจากออกคำสั่งเสร็จเรียบร้อย ตงหลิงจิ่วโบกมือให้กับชายชุดดำ “ออกไป”
“ขอรับ”
“ช้าก่อน” ชายชุดดำที่หันกลับจะออกไป ตงหลิงจิ่วก็หยุดอีกฝ่ายไว้อีกครั้ง เขาลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปเรื่องหนึ่ง
“ช่วยฮองเฮาแนะนำซีหลิงเหยาหวาให้กับตงหลิงจื่อชุน”
ต้องการจะแต่งกับตงหลิงจื่อลั่ว ซีหลิงเหยาหวาฝันไปแล้วหรือ ยิ่งนางต้องการมากเท่าไหร่ ตงหลิงจิ่วก็ยิ่งไม่ยอมให้นางสมปรารถนาได้
มาถึงที่ตงหลิง ก็ต้องทำตามกฎของตงหลิง
“ขอรับ”
ถ้าหากทำให้จักรพรรดิโกรธ ศพจะถูกซ่อนในสถานที่ห่างไกลหลายพันไมล์ แต่ถ้าหากทำให้เสด็จอาเก้าโกรธ ความอาฆาตแค้นจะปะทุขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจพบเจอความสงบ
หลังจากที่ชายชุดดำออกไป เสด็จอาเก้าก็หายไปจากห้องหนังสือเช่นกัน
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนตัดสินใจ
จวนเฟิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่ตงหลิงจิ่วมาโดยไม่ได้บอกกล่าว การตรวจการณ์ในเวลากลางคืนที่จวนเฟิ่ง หลังจากที่จัดการกับองครักษ์ที่เฝ้ายามกลางคืนและสาวใช้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ผลักประตูเข้ามา
ภายใต้ผ้าห่มผืนสีแดงที่เด่นชัด สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินซีดลงอย่างมาก และอาการอ่อนเพลียจากการแบบเจ็บแบบนั้น ทำให้เขาที่ได้เห็นรู้สึกเศร้าใจ
ตงหลิงจิ่วนั่งอยู่ที่ข้างเตียง แล้วค่อยๆนำผมที่แตกออกมาไปทัดไว้ที่หลังหูของนาง “บาดเจ็บจนเป็นแบบนี้ ข้าไม่รู้จริงๆว่าเจ้าฉลาดหรือโง่กันแน่ ”
“ทำไมเจ้าถึงดื้อดึงแบบนี้? ในระหว่างวันเจ้าไม่สามารถอ่อนโยนกับสิ่งต่างๆได้เลยหรือ?” ถ้าหากว่าเฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธ เขาจะต้องยืนหยัดเพื่อเฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน
“เจ้าทำไมถึงไม่เชื่อในตัวข้านัก ข้าไม่ได้มอบจี้หยกให้กับเจ้าไว้หรือ? ในเมื่อข้าให้ไปแล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันสิ ข้าไม่กลัวความวุ่นวายอะไรทั้งนั้น เจ้ามัวกลัวอะไร?”
ปีนี้ ตงหลิงจิ่วพูดได้มากกว่าที่เคย
“เห็นๆกันอยู่ว่าบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ยังทำเป็นเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไร ฝึกม้าต่อไปแบบนั้นอีก เจ้านี่ช่างแกล้งทำเก่งจริงๆ” ตงหลิงจิ่วดึงผ้าห่มไปห่มให้เฟิ่งชิงเฉิน
“ยังแกล้งทำเป็นหลับอยู่อีก เจ้าไม่อยากเจอข้าขนาดนี้เลยหรือ?” ตงหลิงจิ่วเอนกายเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเฟิ่งชิงเฉิน
ลมหายใจที่อุ่นๆวนเวียนอยู่ที่รอบคอ กลิ่นหอมของใบไผ่แทรกซึมเข้าไปในจมูก ในตอนที่เสด็จอาเก้าเอนตัวเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันมากมายที่กดลงมา การหายใจของนางก็วุ่นวายในทันที เฟิ่งชิงเฉินเม้มริมฝีปากและหลับตาทั้งสองข้างลง
ในวินาทีที่ตงหลิงจิ่วเข้ามา นางก็รู้แล้ว
ไม่ใช่เพราะนางตื่นตัวเพราะความระมัดระวัง แต่เพราะร่างกายของนางเจ็บปวด เจ็บจนนางไม่สามารถหลับได้
น้ำมันดอกบัวหิมะร้อยกลีบ สามารถทำให้แผลของนางไม่เจ็บปวดได้ แต่เป็นเพราะหัวใจและปอดของนางได้รับความเสียหาย และในตอนที่ตกลงมาจากหลังม้า กระดูกของนางก็หักด้วย ถึงแม้ว่าจะเชื่อมต่อกันแล้วแต่นางก็ยังเจ็บมากจนแทบทนไม่ไหว
นางไม่อยากทำให้ซุนซือสิงเป็นกังวล จึงแกล้งทำเป็นหลับไป
“ในเมื่อรู้สึกตัวแล้ว ก็ลืมตาขึ้นมา” ตงหลิงจิ่วนั่งตัวตรงแล้วแต่มือของเขายังคงจับผ้าห่มของเฟิ่งชิงเฉินอยู่
ความรู้สึกกดดันหายไป เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก ในใจนั้นบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร ทำได้เพียงเพิกเฉยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการมาถึงของเสด็จอาเก้า นางจึงไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้
เมื่อลืมตาขึ้น นางพูดอย่างสงบและห่างเหินขึ้นมา “เสด็จอาเก้า”
“อะไร? จะกล่าวโทษข้าหรือ?” คิ้วของตงหลิงจิ่วขมวดจนแทบจะผูกเป็นปม เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยใช้สายตาที่ห่างเหินและไม่แยแสเช่นนี้กับเขามาก่อน
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า นางไม่เคยคาดหวังมาก่อน จะเอาอะไรมากล่าวโทษเขาได้
“เจ้าโกหก” เขามองไปที่แก้มสีซีดที่ไม่มีเลือดของเฟิ่งชิงเฉิน ตงหลิงจิ่วไม่พอใจอย่างมาก เอื้อมมือไปบีบที่หน้าของเฟิ่งชิงเฉิน
“เจ็บ” การลงมือของเสด็จอาเก้านั้นไม่รู้จักความหนักเบา ถึงแม้แก้มของเฟิ่งชิงเฉินถูกบีบจนแดงแล้ว แต่ก็ยังทิ้งรอยนิ้วเอาไว้สองนิ้วด้วย
อะฮื้ม…… เสด็จอาเก้าไออย่างเก้อเขิน “แบบนี้ดูดีขึ้นเยอะนะ”
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีแรงที่จะโต้เถียงกับตงหลิงจิ่ว และไม่ต้องการปล่อยให้ความคลุมเครือที่อธิบายไม่ได้นี้ดำเนินต่อไป ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเรื่องและพูดขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าเสด็จอาเก้ามาที่นี่ในตอนกลางคืนมีเรื่องอะไร?”
ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็คงไม่มาหาถึงที่ นั้นคงหมายถึงตงหลิงจิ่วแล้วล่ะ
“ม้าสองตัวนั้น เจ้าจะจัดการมันอย่างไร?” นี่เป็นของของเฟิ่งชิงเฉิน ต้องให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนตัดสิน ความเป็นความตาย และชะตากรรมของพวกมัน
“ม้า?” เฟิ่งชิงเฉินมองที่เสด็จอาเก้าด้วยความสงสัย เสด็จอาเก้ามาถึงห้องส่วนตัวของนางในตอนดึกดื่น เพื่อที่จะถามถึงเรื่องม้าทั้งสองตัวนั้น “จัดการ? ไม่ใช่ว่าข้าได้ยกให้องค์จักรพรรดิไปแล้วหรือ”
สิ่งที่องค์จักรพรรดิต้องการไม่ใช่ม้าตัวนั้นหรือ นางให้ไปแล้ว แล้วยังต้องการอะไรอีก
“เจ้าให้อย่างไม่เต็มใจ”
“ฮะ……” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกมา “ไม่เต็มใจ มีเรื่องตั้งมากมายที่ข้าไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องทำตรงกันข้าม จะเต็มใจหรือไม่แล้วอย่างไรล่ะ ถึงอย่างไรผลลัพธ์ก็ออกมาแล้วนี่”
ตงหลิงจิ่วส่ายหน้า “ขอเพียงแค่เจ้ายินยอม ผลลัพธ์จะเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ”
“อย่างนั้นหรือ? ข้าต้องการม้าสองตัวนั้นก็ทำได้?” เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงของนางดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการที่ตงหลิงจิ่วสนับสนุนนาง หรือเป็นเพราะนางกำลังโกรธ
ความคับข้องใจเมื่อตอนกลางวันไม่น้อยไปกว่าในวันงานวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาที่ว่องไวของนาง นางคงได้เปลือยกายอยู่ต่อหน้าทุกคน ถ้าหากเป็นเช่นนั้น นางจะมีที่ยืนในเมืองหลวงนี่ได้อย่างไร จะเผชิญหน้ากับผู้คนได้อย่างไร
ในตอนนี้ เมื่อมองไปที่เสด็จอาเก้า นางก็นึกถึงเรื่องต่างๆในตอนกลางวัน ชายคนนี้นั่งเฉยอยู่บนแท่นสูง เฝ้ามองดูนางขายหน้าและได้รับบาดเจ็บด้วยสายตาที่เย็นชา
ในเมื่อตอนกลางวันสามารถมองดูด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นได้ แล้วในตอนนี้จะมาทำอะไรอีก
“ทำได้” ตงหลิงจิ่วตอบโดยไม่ลังเล ราวกับว่าเขาเองเป็นองค์จักรพรรดิ คำพูดของเขาก็คือคำสั่ง
“เช่นนั้นข้าต้องการให้พวกมันมาปรากฏตัวที่จวนเฟิ่งในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ ข้าต้องการเป็นเจ้าของพวกมันทั้งวาจาและการกระทำ” เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาโดยตั้งใจให้ทำได้โดยยากลำบาก
“ตกลง”
“ทำไม?” เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
“ทำไมอะไร?” ตงหลิงจิ่วไม่เข้าใจ เฟิ่งชิงเฉินเป็นอะไรไป เขาจะทำตามคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินทุกอย่าง มันไม่ดีหรือ?
เขาไม่รู้วิธีเอาใจผู้หญิง และเฟิ่งชิงเฉินเองก็เป็นคนแรก
อะฮื้ม……ตงหลิงจิ่วคิดว่าเขากำลังพยายามทำให้เฟิ่งชิงเฉินพอใจ ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนั้นเลย
“ทำไมจู่ๆถึงได้ดีกับข้าขนาดนี้?” ดีมาก เขาเกือบจะไปขอม้าสองตัวนั้นคืนจากพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิแล้ว
“ไม่มีทำไม? ข้ามีความสุข” ตงหลิงจิ่วเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย และมีท่าทางที่ค่อนข้างตั้งตัวไม่ถูก
เอาล่ะ ที่จริงแล้วคือเขาเริ่มเขินอายแล้ว
แต่ที่เขามีความสุข ไม่ได้หมายความว่าเฟิ่งชิงเฉินก็มีความสุขเหมือนกัน คำพูดของเสด็จอาเก้าทำให้นางมีความอาฆาตแค้น
มีความสุข?
เจ้ามีความสุขก็เลยทำดีกับข้า ไม่มีความสุขก็เตะข้าออกไป
ในสายตาของท่านข้าเป็นอะไรกันแน่? เห็นข้าเฟิ่งชิงเฉินคนนี้เป็นอะไรกันแน่? ของเล่นชิ้นหนึ่งหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินกัดริมฝีปาก ไม่ให้ตนเองร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
คนตรงหน้าคือเสด็จอาเก้า ในตงหลิงนี้เขาอยู่ภายใต้คนเพียงคนเดียว และเป็นเสด็จอาเก้าของผู้คนนับหมื่น อยู่ในตำแหน่งที่เหนือขึ้นไป สูงส่งและพิเศษ ไม่ใช่คนที่นางสามารถตะโกนร้องด้วยความโมโหใส่อีกฝ่ายได้……