“นี่กล่าวโทษชิงเฉินแล้วอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชิงเฉินก็คงไม่มีอะไรจะพูด” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้แก้ต่างอะไร
จะให้แก้ต่างอะไรล่ะ แบบนั้นมันเสียหน้าเกินไปแล้ว
วันนี้เซี่ยกุ้ยเฟยเป็นผู้ที่ขอความช่วยเหลือจากนาง ไม่ใช่นางที่เป็นคนขอความช่วยเหลือจากเซี่ยกุ้ยเฟย ถ้าหากจะพูดในทางที่ไม่ดี เฟิ่งชิงเฉินคนนี้ที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ และไม่มีพี่น้อง ในชีวิตนี้ความเป็นไปได้ที่จะขอความช่วยเหลือจากเซี่ยกุ้ยเฟยนั้นแทบจะเท่ากับศูนย์
หรือก็คือ ถ้าหากมีเรื่องเดือดร้อนนางก็คงไม่ขอความเห็นใจจากเซี่ยกุ้ยเฟย เป็นที่โปรดปรานแล้วอย่างไร นางสนมไม่สามารถยุ่งเรื่องการเมืองได้ เซี่ยกุ้ยเฟยจะมีสิทธิอะไรได้นอกเสียจากต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย นางไม่ได้กลัวตระกูลเซี่ยเลยด้วยซ้ำ แล้วจะกลัวอะไรกับแค่เซี่ยกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว
เหวินจูถูกเฟิ่งชิงเฉินตอบกลับจนเสียหน้า ในใจนั้นคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินแสดงท่าทีที่ไม่ธรรมดา ถ้าหากเป็นคนปกติก็คงจะพูดอธิบายสักสองสามประโยค บอกว่าสาวใช้ทั้งสองคนนี้รังแกนาง และถือโอกาสฟ้องกลับ แบบนี้นางจึงจะสามารถสั่งสอนเฟิ่งชิงเฉินต่อไปได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้พูดออกมาสักประโยคเดียว
เหวินจูถอนหายใจ กล่าวออกมาอย่างยิ้มไม่ออก “แม่นางเฟิ่งพูดเล่นอะไร อะไรหมายถึงไม่มีอะไรจะพูด ถ้าหากว่าสาวใช้ทั้งสองคนนี้ไม่ได้พูดความจริง ทำให้คุณหนูเฟิ่งขุ่นเคือง คุณหนูเฟิ่งก็พูดออกมา ข้าจะได้เฆี่ยนพวกนางให้ตายเพื่อระบายความโกรธให้กับคุณหนูเฟิ่ง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลงมือเสียเถอะ ข้าจะรอดู” เฟิ่งชิงเฉินตอบอย่างไม่เกรงใจ สะบัดมือแล้วไปยืนรออยู่ที่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าเหวินจูไม่ได้ลงมือสักที นางจึงกล่าวขึ้นมาอย่างช้าๆ “อะไรล่ะ ยังไม่ลงมืออีก”
“ท่านป้า ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยไม่ได้….ไม่ได้ทำให้คุณหนูเฟิ่งขุ่นเคือง เป็นคุณหนูเฟิ่งที่ส่งเสียงดังอยู่ภายในวังหลวง และไม่หยุดที่จะถามเมื่อได้เห็นสิ่งของต่างๆในวิหารจาวเยี่ยน ข้าน้อยเพียงแค่เตือนคุณหนูเฟิ่งเท่านั้น ท่านป้า ท่านป้า……” นางกำนัลทั้งสองไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินว่าถูกเฆี่ยน ก็เข้าใจไปว่าตนเองจะถูกเฆี่ยนจริงๆ ทั้งสองคนนั้นเข้าใจผิดไป จึงขอร้องอ้อนวอน และโทษว่าเป็นความผิดของเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ
เหวินจูไม่ได้ห้ามและปล่อยให้นางสนมทั้งสองพูดไป เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ
นางได้สัมผัสมาจากเสด็จอาเก้ามากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการที่เสด็จอาเก้าไม่พูดจา ใบหน้าที่เย็นชาและเงียบขรึม ท่าทางที่สูงส่งและสุขุม เฟิ่งชิงเฉินนั้นสามารถทำได้ทั้งหมด
หน้าตาของเฟิ่งชิงเฉินที่แต่เดิมดูสดใส ในตอนนี้แสดงออกมาอย่างเย็นชาและเฉยเมย ทำให้ดูเหมือนผู้ที่สูงส่งขึ้นมาทันที เมื่อมองดูไกลๆ นั้นแทบจะเหมือนท่าทางของเสด็จอาเก้า
เมื่อถูกมองมาด้วยสายตาของเฟิ่งชิงเฉินที่ไร้ความรู้สึก ก็ทำให้รู้สึกเหน็บหนาวทั้งร่างกาย
ในตอนนี้เหวินจูมีความรู้สึกแบบนั้น ความมั่นใจข้างในใจของนางค่อยๆหายไป รอจนนางกำนัลทั้งสองชี้แจงจนเสร็จ เหวินจูก็หันมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าที่ลำบากใจ “คุณหนูเฟิ่ง จะว่าเรื่องนี้อย่างไร?”
นั่นหมายความว่า คนที่ผิดก็คือเจ้าอย่างชัดเจน คงจะไม่ให้ข้าทำโทษนางกำนัลเหล่านี้หรอกนะ แบบนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเกินไป
“ความเป็นจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไร คิดว่าเจ้าก็คงจะเข้าใจดีกว่าข้า ข้าจะไม่ขออะไรมาก เจ้าแค่อธิบายมาให้ข้าก็พอ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างใจเย็น ปัดฝุ่นที่ไม่ได้มีอยู่บนแขนเสื้อและหันไปมองทางอื่น
เสด็จอาเก้าเคยพูดว่า ในตอนนี้นางคือคุณหนูคนโตของจวนขุนนางผู้ภักดี นางประพฤติตัวแตกต่างและพูดจาในแบบของตัวเอง ในอนาคตนางไม่จำเป็นต้องปกปิดนิสัยของตนเองต่อหน้าบุคคลที่ไม่สำคัญ
ต่อหน้าของจักรพรรดิ องค์รัชทายาท ลั่วอ๋อง ซู่อ๋องและคนอื่นๆ นางไม่สามารถจองหองได้ แต่กับบุคคลที่ไม่ได้มีสถานะเทียบเท่านาง ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ
ยิ่งสามารถทำตามอำเภอใจได้เท่าไหร่ก็จะยิ่งดี ไม่จำเป็นต้องกลัวการแก้แค้นหรือการเอาคืนใดๆ เพราะในบางครั้งทัศนคติหรือวิธีการที่แข็งกระด้างก็สามารถทำให้ทุกคนเข้าใจได้ว่า เฟิ่งชิงเฉินนั้นเป็นคนที่ไม่ควรไปยั่วโมโห และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร……
เดิมทีนางไม่เคยได้ใช้ฐานะคุณหนูคนโตของจวนขุนนางผู้ภักดีมาก่อน ในวันนี้เซี่ยกุ้ยเฟยถือว่าโชคไม่ดี ที่ต้องมาพบเจอปัญหาเช่นนี้ ดังนั้นอย่าได้โทษเฟิ่งชิงเฉินที่นางจะโหดร้าย
ถ้าหากเป็นคนที่ทำผิดอย่างไรก็ต้องมีความรู้สึกผิด เหวินจูที่ได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดเช่นนั้นก็คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นรู้อยู่แล้ว ว่ากุ้ยเฟยจงใจที่จะกลั่นแกล้งเฟิ่งชิงเฉิน และจะสั่งสอนเฟิ่งชิงเฉิน ตอนนี้นางจึงลังเลว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
เหวินจูเข้าใจดี เฟิ่งชิงเฉินนั้นเปลี่ยนไปมาก และไม่ใช่ลูกพลับอ่อนๆ ที่ใครๆก็รับมือได้ ถ้าหากในวันนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คำตอบที่พอใจ ก็คงจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยง่าย แต่การที่จะลงโทษนางกำนัลทั้งสองคนนี้ คงจะทำให้เหล่าผู้หญิงท้ายวังทั้งหลายเข้าใจว่าเซี่ยกุ้ยเฟยได้พ่ายแพ้ต่อนาง
ในใจของเหวินจูเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ใครจะคิดถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินคนที่คุกเข่าอยู่นอกวังด้วยความอับอายเมื่อครึ่งปีที่แล้ว จะมีอำนาจมากมายขนาดนี้ในชั่วข้ามคืน เพียงคำพูดของนางก็สามารถตัดสินชะตาชีวิตของนางกำนัลคนหนึ่งได้
ในขณะที่เหวินจูกำลังลังเล ก็มีขันทีที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องนอนของเซี่ยกุ้ยเฟย และเดินไปกระซิบที่ข้างหูของเหวินจูอยู่ครู่หนึ่ง
ขันทีคนนั้นพูดกับเหวินจูว่าอะไร เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่รู้และไม่ต้องการจะรู้ด้วย
ในตอนแรกเหวินจูดูตกใจและมีท่าทางที่ไม่เชื่อ จากนั้นนางก็พยักหน้าอย่างแรง การแสดงออกบนใบหน้าของนางเปลี่ยนไปตลอดเวลา ถ้าหากว่าเฟิ่งชิงเฉินได้เห็นเข้า ก็คงจะพูดว่านางกำนัลคนนี้เปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสือเสียอีก
เมื่อขันทีพูดจบก็ถอยหลังกลับไป โดยไม่ได้มีความตั้งใจที่จะมาแสดงความนับถือกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่สนใจรายละเอียดเล็กๆเหล่านี้ ถ้าหากผลลัพธ์เป็นที่พอใจของนางก็เพียงพอแล้ว
เหวินจูเปลี่ยนจากความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้และก้าวไปข้างหน้าด้วยความเคารพ “คุณหนูเฟิ่ง นางกำนัลทั้งสองคนนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวเอง ทำให้ท่านเกิดความขุ่นเคือง สาวใช้เหล่านี้ข้าจะนำไปลงโทษเอง”
เมื่อพูดจบก็สั่งให้ขันทีก้าวไปข้างหน้าและควบคุมตัวนางกำนัลทั้งสองไปยังม้านั่ง
“ท่านป้าไว้ชีวิตข้าด้วย ท่านป้าไว้ชีวิตข้าด้วย” ในตอนนี้นางกำนัลทั้งสองจึงได้รู้ว่าจะถูกเฆี่ยนให้ตายจริงๆ จึงพากันร้องโอดครวญขึ้นมา
เหวินจูทำท่าทีเหมือนไม่ได้ยิน แต่ขยิบตาให้ขันทีที่ควบคุมตัวพวกนางไป
“คุณหนูเฟิ่งไว้ชีวิตข้าด้วย คุณหนูเฟิ่ง ¬ข้าขอความเมตตาท่านไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถอะ ข้าน้อยจะไม่ทำอีกแล้ว คุณหนูเฟิ่ง ข้าขอร้องท่านล่ะ ท่านเป็นหมอที่มีจิตใจเมตตา ข้าน้อยขอร้องท่านล่ะ”
นางกำนัลทั้งสองหลุดออกมาจากการควบคุมของขันที คุกเข่าและก้มหน้าลงต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินอย่างสิ้นหวัง น้ำตานองเต็มใบหน้า และน่าอับอายเหมือนเฟิ่งชิงเฉินในอดีต
คงจะเป็นการโกหกหากบอกนางไม่ใช่คนใจอ่อน ถึงแม้ว่าในมือของนางจะเต็มไปด้วยเลือดแต่นางไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์มาก่อน แต่เป็นเพราะในตอนนี้คนของวิหารจาวเยี่ยนคิดร้ายกับนาง นางจึงไม่สามารถปล่อยไปได้
ขันทีในวังหลวงที่รับผิดชอบการควบคุมตัวไปประหารไม่สามารถจับนางกำนัลทั้งสองไว้ได้หรือ? ไม่สามารถอุดปากนางกำนัลทั้งสองไว้ได้หรือ?
ทำเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินนางเป็นคนโง่จริงๆ แบบนี้เป็นการบงการของเซี่ยกุ้ยเฟยอย่างนั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินดูสงบและผ่อนคลาย นางทำเป็นไม่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือนี้ ใจจดใจจ่ออยู่กับการมองไปที่อื่น
ไม่สมเหตุสมผลเกินไปสักหน่อยที่จะฆ่าใครเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่เฟิ่งชิงเฉินนั้นรู้ดีว่า ประเด็นสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่นางกำนัลทั้งสองคนนี้หรือคำพูดที่ที่ใช้ทิ่มแทงนาง แต่เป็นทัศนคติของเซี่ยกุ้ยเฟย
นางกำนัลทั้งสองคนนี้อาจจะไม่มีความผิด แต่พวกนางเป็นเบี้ยล่างให้กับวิหารจาวเยี่ยน เป็นหมากที่ถูกเซี่ยกุ้ยเฟยทอดทิ้ง และชะตากรรมของพวกนางก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเฟิ่งชิงเฉิน
ที่วังหลวงแห่งนี้ หลังจากที่ได้พบผ่านกับเทพแห่งความตายมาหลายครั้งแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ได้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การที่เจ้าไม่ได้ต้องการฆ่าอีกฝ่าย นั้นไม่ได้แปลว่าอีกฝ่ายจะต้องปล่อยเจ้าไป ถ้าหากเจ้าใจอ่อนศัตรูของเจ้าจะไม่ใจอ่อนแน่นอน
การเห็นอกเห็นใจศัตรูเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุด