“จิ่นหลิง หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เรื่องในวันนี้น่าจะพุ่งเป้าหมายมาที่ข้า แต่การที่ไปหาเจ้านั้นเพียงเพราะว่าพวกเราค่อนข้างสนิทกัน ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าต้องมาพบกับเรื่องที่ไม่สมควรเหล่านี้” นอกเหนือจากคนที่ทำระเบิดประตูเมืองแล้ว ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องราวของระเบิด สิ่งที่นางคิดได้แน่นอนว่าหวังจิ่นหลิงก็คิดได้เช่นกัน องค์จักรพรรดิและคนอื่นๆ ก็ด้วย เพียงแต่ทุกคนนิ่งเงียบไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“เจ้าพูดอะไรกัน ข้าดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือไร?” หวังจิ่นหลิงเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ยังคงดูอ่อนโยนและสง่างามดังเดิม แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แม้เขาจะยังคงดูอ่อนโยนและสง่างามแต่ก็ดูห่างเหินเล็กน้อย ส่วนหวังจิ่นหลิงที่อยู่ตรงหน้านางนี้จึงจะเปิดใจกว้างเพื่อให้นางเข้าไปสำรวจได้ แต่เป็นนางที่ไม่กล้าก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
ภายในรถม้าเงียบสงัด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายหรืออย่างไร ในทางกลับกันรู้สึกถึงความสงบยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินก็เหนื่อยล้ามาแล้วทั้งวัน เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังจิ่นหลิงนางจึงไม่จำเป็นต้องระวังตัว ดังนั้นได้พิงไปที่รถม้าและหลับตาลง
จนกระทั่งรถม้าหยุดลงที่หน้าจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินจึงได้ลืมตาขึ้นตั้งใจจะก้าวขาลงจากรถ แต่กลับถูกหวังจิ่นหลิงคว้ามือเอาไว้ “เฟิ่งชิงเฉิน กระเป๋าเงินของข้าเล่า? เจ้าอย่าเอาไปทิ้งเลยเอาให้ข้าเสียดีกว่า ข้าจะเก็บรักษามันไว้ให้ดี ไม่ทำให้เสียหายอย่างแน่นอน” คิ้วโค้งตาสีดำสว่างเป็นประกายดุจดั่งเทพ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของมนุษย์……
เฟิ่งชิงเฉินนอนอยู่บนเตียง นางนอนไม่หลับเป็นเวลานานและกำลังคิดถึงเรื่องที่หวังจิ่นหลิงหลอกล่อเกลี้ยกล่อมเอากระเป๋าเงินของนางไป ยิ่งคิดเฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ
การที่นางปากระเป๋าเงินไปทางหวังจิ่นหลิงเช่นเดียวกับสตรีนางอื่นในเมืองหลวงนั่นเป็นเพราะความสนุกสนาน อย่างมากกระเป๋าเงินนั้นก็ตกหล่นลงไปที่พื้นถนน และคาดว่าหวังจิ่นหลิงคงจะไม่แม้แต่ชายตามอง แต่การที่นำกระเป๋าเงินให้แก่ชายหนุ่มโดยตรงนั้นความหมายก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนจะให้ความรู้สึกยอมรับถึงบางอย่าง
ตอนนั้นนางเองกำลังตกอยู่ในความตกตะลึง นั่นเป็นเพราะรอยยิ้มของหวังจิ่นหลิงราวกับบัวหิมะกำลังเบ่งบาน เป็นเพราะประโยคนั้นที่หวังจิ่นหลิงกล่าวว่า “ชิงเฉิน ข้าจะไม่บังคับเจ้า ไม่มีวันทำให้เจ้าต้องรู้สึกอึดอัดใจ”
จากนั้นนางก็ปล่อยให้หวังจิ่นหลิงหยิบกระเป๋าเงินจากแขนเสื้อของตนไป เมื่อนางได้สติกลับคืนมาก็พบว่าหวังจิ่นหลิงนำกระเป๋าเงินของนางเก็บไปแล้ว การที่นางจะเอากลับคืนมาดูเหมือนเป็นไปไม่ได้
“อ๊าก!!!” นางคิดมาตลอดว่าหวังจิ่นหลิงเป็นสุภาพบุรุษ แต่วันนี้นางจึงได้พบว่าแท้จริงแล้วหวังจิ่นหลิงสวมชุดคุณชายอยู่ในคราบของโจรต่างหาก ไม่ว่าภายนอกของเขาจะดูอ่อนโยนสักเพียงไร แต่ในกระดูกลึกๆ แล้วก็เต็มไปด้วยความดุดัน
ในวันนี้นางได้รู้จักกับหวังจิ่นหลิงตัวจริง ชายหนุ่มผู้นี้หากกล่าวถึงเรื่องความบ้าอำนาจและหยิ่งผยองไม่น้อยไปกว่าเสด็จอาเก้าเลย เพียงแต่เขาเสแสร้งแกล้งทำได้ดีกว่าเสด็จอาเก้าก็เท่านั้น บรรดาสมาชิกในตระกูลใหญ่และชายผู้มีอำนาจเหล่านี้ ผู้ใดบ้างที่จะเปิดเผยตัวตนอันแท้จริงต่อหน้าสาธารณชน
ดูเหมือนตงหลิงจื่อลั่วก็ไม่ได้ชอบซีหลิงเหยาหวาดังที่เขาแสดงออกมานักหรอก หากว่าซีหลิงเหยาหวาไม่ได้เป็นองค์หญิงล่ะก็ ต่อให้ตงหลิงจื่อลั่วชื่นชอบเพียงใดก็คงมีขอบเขต อย่างมากก็คงจะให้ตำแหน่งสนม
และยังมีองค์รัชทายาท แม้ว่านางจะไม่ค่อยได้สนิทสนมกับองค์รัชทายาทเท่าไหร่นัก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจว่าองค์รัชทายาทเป็นคนที่ค่อนข้างหนักแน่น หากไม่ใช่เพราะร่างกายมีปัญหาล่ะก็ องค์จักรพรรดิของตงหลิงเป็นใครก็ยากที่จะบอก เพราะการที่ดึงเสด็จพ่อลงจากบัลลังก์ก็เป็นเรื่องที่เห็นกันทั่วไป
เมื่อคิดได้ดังนี้ ในใจของเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นจนนอนไม่หลับและต้องลุกนั่ง นึกถึงสิ่งที่หวังจิ่นหลิงกล่าวก่อนที่จะจากไป
เขาบอกให้นางข้อระวังจวนเจิ้นกั๋วกงเอาไว้ ให้ระวังชายที่นามว่าหลี่เซี่ยง หลี่เซี่ยงก็คือคนที่สร้างระเบิดขึ้นมา เป็นผู้ที่ชื่นชอบคุณหนูสิบหรง
หลี่เซี่ยงหรือ? ถ้ามีโอกาสคงจะต้องไปเจอหน้าสักหน่อย คนคนนี้จะเป็นอย่างที่นางคิดไว้หรือเปล่า เป็นคนที่ย้อนเวลามาเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนั้นนางจะต้องดูว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
หากว่าต้องการจะครอบครองโลกนี้อย่างไรสมอง เพื่อความปลอดภัยของตัวนางเอง นางจะฆ่าอีกฝ่ายก่อน เพราะบุคคลอันตรายเช่นนี้ควรจะไสหัวกลับไปที่เก่าดีกว่า
หลังจากครุ่นคิดไปมาอยู่เนิ่นนาน เฟิ่งชิงเฉินก็ได้เหลือบมองไปยังชุดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ เห็นว่าบัดนี้เป็นเวลาตีสอง นางจึงหาวขึ้นและเตรียมตัวนอน ทว่าทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใคร?” เฟิ่งชิงเฉินหาได้กลัวไม่ เพราะหากว่าเป็นคนร้ายจะเคาะประตูหรือ อีกอย่างจวนเฟิ่งไม่ได้เป็นเช่นเมื่อก่อน ตี๋ตงหมิงจัดเวรยามไว้ที่นี่มากมายคอยคุ้มกัน จวนเฟิ่ง อ้อไม่ใช่สิ ควรจะเรียกว่าจวนขุนนางผู้ภักดี และจวนนี้ปลอดภัยกว่าเมื่อก่อนมากนัก
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าเอง” น้ำเสียงของชายหนุ่มอันคุ้นเคย แต่จู่ๆ กลับจำไม่ได้ขึ้นมา
“เจ้าเป็นใคร?”
“หลานจิ่วชิง!”
“หลานจิ่วชิง? เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?” มองดูแล้วคนที่ตี๋ตงหมิงจัดการให้ดูแลที่นี่คงจะเลี้ยงเสียข้าวสุก เหตุใดมีคนแอบเข้ามาเช่นนี้กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติไป ช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน
“เงียบๆ หน่อย รีบเปิดประตูให้ข้าเข้าไปเร็ว” น้ำเสียงของหลานจิ่วชิงดูอ่อนลง หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เขาจะเคาะประตูหรือ? เขาคงจะบุกเข้าไปด้านในตั้งนานแล้ว
หากเป็นคนอื่นเฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่สนใจ แต่หลานจิ่วชิงไม่ใช่คนอื่น หลานจิ่วชิงเคยช่วยนางมาหลายครั้งหลายครา นางจึงเดินไปเปิดประตู กลิ่นเลือดคละคลุ้งลอยเข้ามาปะทะจมูก จากนั้นหลานจิ่วชิงก้าวไปข้างหน้าปิดประตูล้มลงทับร่างของนาง
“ระวัง!” เฟิ่งชิงเฉินรีบเข้าไปกอดเขาเอาไว้ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่นางก็เป็นเพียงสตรีผู้อ่อนแอเท่านั้น ชายผู้นี้ร่างกายใหญ่โต การที่จะอุ้มร่างของเขาไว้ได้ต้องใช้แรงมากทีเดียว การที่จู่ๆ หลานจิ่วชิงทิ้งตัวลงมาดังนี้ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหนักขึ้นกะทันหัน แทบจะล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับหลานจิ่วชิง
“นี่ ตื่นเร็วเข้า การที่เจ้าเป็นเช่นนี้อาจจะทำให้เราตายกันหมด!”
หลานจิ่วชิงตอบรับเบาๆ แล้วพยายามฝืนร่างกายกล่าวว่า “ที่ด้านนอกนั้นจงให้คนจัดการคราบเลือดให้ดี อย่าให้ใครรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” เมื่อกล่าวจบดูเหมือนเขาจะล้มลงอีกครั้ง เฟิ่งชิงเฉินรีบเข้าไปพยุง แล้วพาร่างของเขาลากขึ้นไปที่เตียง นางเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดทุกครั้งที่พบเจ้าจึงมีสภาพใกล้ตายเช่นนี้?” หลังจากการเคลื่อนไหวร่างของเฟิ่งชิงเฉินก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ต้องยอมรับว่าร่างกายของนางนี้ยิ่งวันยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ
นางเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าแล้วลุกขึ้นยืน แม้อากาศจะร้อนเช่นนี้ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ห่มผ้าห่มให้หลานจิ่วชิงอย่างแน่นหนา และนำมุ้งคลุมเอาไว้ จากนั้น……
นางหยิบตะเกียงออกมา แล้วพยายามจัดการกับคราบเลือดตามที่หลานจิ่วชิงสั่งเอาไว้
คนคนนี้ชอบใช้คนอื่นเป็นนิสัย เนื่องจากการเดินทางมาถึงของหลานจิ่วชิงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอย่างรุนแรง ทำให้เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“รอยเลือดข้างนอกจัดการจนสะอาดแล้ว แต่ภายในห้องเล่า? กลิ่นเลือดแรงขนาดนี้จะให้ข้าปิดบังไว้ได้อย่างไร จะให้ข้าทำให้ตนมีบาดแผลไปทั้งตัวหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินแขวนโคมไฟไว้ที่บนเตียง แล้วเปิดกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะเพื่อตรวจสอบบาดแผลของหลานจิ่วชิง
“หา? บาดเจ็บด้วยระเบิด เจ้ามาจากที่ใด?” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพบบาดแผลบนร่างกายของหลานจิ่วชิง ก็รู้สึกได้ว่ามันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
นี่คือบาดแผลที่เหมือนกับคนซึ่งได้รับบาดเจ็บเมื่อตอนกลางวันที่ประตูเมือง เพียงแต่บาดแผลนี้ค่อนข้างสด น่าจะเพิ่งได้รับบาดเจ็บไม่นาน
“เจ้าบุกเข้าไปในพระราชวังตอนกลางคืนหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้คาดหวังให้หลานจิ่วชิงตอบกลับมา
จู่ๆ นางก็พบว่าตัวตนของหลานจิ่วชิงไม่ธรรมดา ดูเหมือนจะพบว่ามีความลับมากมายที่ไม่ควรถูกเปิดเผย
จอมยุทธแห่งยุทธจักร? แต่หากเขาเป็นจอมยุทธแห่งยุทธจักรจริง ไม่น่าจะพบเรื่องระเบิดได้รวดเร็วเพียงนี้ ไม่น่าจะพบตัวหลี่เซี่ยงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ การที่สามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วมีเพียงคนในพระราชวังตงหลิงเท่านั้น อีกทั้งหนานหลิง เป่ยหลิงและซีหลิง
หลานจิ่วชิง เจ้าเป็นตนในราชวงศ์ใดกันแน่?
เมื่อมองไปเห็นหน้ากากที่สวมอยู่บนใบหน้าของหลานจิ่วชิง ในตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินตั้งใจจะถอดมันออก แต่หลังจากนั้นนางก็อดทนอดกลั้นเอาไว้
องค์ชายของหนานหลิง องค์รัชทายาทของซีหลิงข้าล้วนเคยช่วยเหลือมาก่อน นับประสาอะไรกับเจ้า ข้าไม่ต้องการจะรู้ว่าเจ้าเป็นใคร และไม่ต้องการจะทำให้เรื่องของเจ้าถูกเปิดโปง นิ้วมือของเฟิ่งชิงเฉินสัมผัสไปที่หน้ากากอันเยือกเย็นนั้นและรีบหดกลับมาอย่างรวดเร็ว