เพราะหากว่านางหลบหลีกสายตาคู่นั้น หลานจิ่วชิงก็จะพบได้ถึงความผิดปกติของนาง แม้ว่านางจะรู้ ถึงเรื่องใบหน้าของหลานจิ่วชิงเป็นเพียงหน้ากากผิวมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าตัวจริงของเขาคือใคร ถึงอย่างไรก็ตามดูจากท่าทางอันระมัดระวัง เกรงว่าจะไม่ปล่อยนางไปอย่างแน่
แม้ดวงตาทั้งคู่ของหลานจิ่วชิงจะว่องไว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ ประกอบกับความเชื่อถือไว้วางใจในตัวเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก “ข้าพบว่าเขาสวมชุดแปลกประหลาดเอาไว้ ก่อนที่ข้าจะเดินทางจากมา ได้ยินเขากล่าวขึ้นกับตนเองว่า ต้องการจะใช้โอกาสนี้ในการหลอกลวงเจ้า ดูสิว่ามาจากที่เดียวกันกับเขาหรือไม่”
แม้จะบอกว่าตัวเขาเองก็อยากจะรู้เหลือเกินว่าเฟิ่งชิงเฉินมาจากที่ใด แต่การที่คนรู้ตัวตนของเฟิ่งชิงเฉินอันแท้จริงยิ่งน้อยก็ยิ่งดี ชายนามว่าหลี่เซี่ยงนั้นจะต้องจัดการไป ไม่อย่างนั้นทั้งชีวิตคงไม่อาจอยู่ได้อย่างสงบสุข เขาไม่อยากจะให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นเดียวกับคนผู้นั้น กลายเป็นเพียงแค่เครื่องมือ
“แค่กๆ……” เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาอันลึกล้ำของหลานจิ่วชิงซึ่งดูเหมือนจะรู้ไปทุกสิ่ง เฟิ่งชิงเฉินจึงได้มองไปด้วยสายตาอันสับสนแล้วกล่าวขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้ากับเขาไม่เหมือนกัน ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป ข้าเพียงต้องการมีชีวิตอันแสนธรรมดา”
นอกเสียจากการป้องกันตัวแล้วนางไม่คิดจะทำลายความสมดุลของโลกนี้เลย นางเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น
แต่ปืนนั้นหากว่าคนในโลกนี้สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก
“ข้าเชื่อเจ้า หลังจากเข้าไปในวังแล้วระวังตัวให้ดี” หลานจิ่วชิงหลับตาลงเป็นความหมายว่าบทสนทนาจบลง
เฟิ่งชิงเฉินกัดริมฝีปากแล้วค่อยๆ ถอยออกไป
ชายที่นามว่าหลี่เซี่ยงช่างเป็นตัวซวยเหลือเกิน ทำเอาเสียตัวตนของนางแทบจะรักษาไว้ไม่ได้ โชคดีเหลือเกิน คนที่สงสัยในตัวนางมีเพียงหวังจิ่นหลิงและหลานจิ่วชิง ซึ่งบัดนี้ยังสามารถควบคุมได้ หากว่า……
ฝ่าบาท องค์รัชทายาทและคนอื่นๆ เกิดความสงสัยในเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะก็ นางคงจะแย่เลยทีเดียว
เฟิ่งชิงเฉินหยิบกระเป๋าแพทย์อัจฉริยะขึ้นมาแล้วสูดลมหายใจเข้า รัศมีแห่งความสงบแผ่ซ่านออกไป
หลี่เซี่ยง ชายคนนี้จะต้องตาย ในเมื่อต้องการจัดการกับนาง ถ้าอย่างนั้นก็รอรับผลกรรมที่ต้องสูญเสียเถอะ คิดว่าคนจากยุคปัจจุบันเดินทางมาที่ยุคโบราณเช่นนี้จะเก่งกาจมากนักหรือไร ไร้เดียงสาสิ้นดี
เฟิ่งชิงเฉินและตี๋ตงหมิงเดินทางไปถึงพระราชวังด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากตำหนักชิงเหยียนถูกระเบิด ดังนั้นหลี่เซี่ยงจึงถูกย้ายออกมาอยู่ในตำหนักที่ใกล้กับตำหนักชิงเหยียน ในตำหนักนั้นสว่างไสว ผู้มีความสามารถระดับสูงในพระราชวังล้อมเอาไว้เป็นรอบๆ สถานการณ์ดูตึงเครียดยิ่งนัก ใบหน้าของนางในแต่ละคนก็เคร่งขรึม
เหตุการณ์ที่ดูเร่งรีบและกดดันเช่นนี้ หากเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นใคร บางทีนางอาจคิดว่าคนที่กำลังจะตายเป็นองค์จักรพรรดิ……
“ถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินตรงเข้าไปพบเข้ากับองค์จักรพรรดิ ซึ่งมีองค์รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วนั่งขนาบซ้ายขวา
ความกังวลบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิไม่ได้เกิดขึ้นจากการเสแสร้ง ดูเป็นกังวลยิ่งกว่าวันที่ตงหลิงจื่อลั่วได้รับบาดเจ็บเสียอีก เฟิ่งชิงเฉินก้มศีรษะลงจึงไม่มีผู้ใดเห็นสายตาอันดูถูกเหยียดหยามของนาง
“ลุกขึ้นเถิด เฟิ่งชิงเฉินเจ้าจะต้องรักษาคุณชายหลี่ให้ได้ อย่ามีเรื่องใดผิดพลาดไป” คำกำชับของฝ่าบาทกระทัดรัด แต่เด็ดขาดและดูเหมือนไม่ได้คำนึงถึงชะตากรรมของหลี่เซี่ยง
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งรู้สึกว่าตงหลิงจื่อลั่วและคนอื่นๆ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกมั่นใจ ด้วยความสมเพชว่าหากผลประโยชน์ของลูกชายเขาเทียบเท่ากับเครื่องมือคนนี้ องค์จักรพรรดิคาดว่าคงจะเลือกรักษาชีวิตของเครื่องมือไว้ก่อน
ถึงอย่างไรเสีย เขาก็มีบุตรชายมากมาย แต่เครื่องมือเช่นหลี่เซี่ยงนี้ยากที่จะหา
“เพคะฝ่าบาท” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น นางไม่มีเจตนาจะหลบเลี่ยง ร่างกายที่สั่นเทาเผยให้เห็นความกังวลของนางเล็กน้อย
ตงหลิงจื่อลั่วสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อนึกถึงคราก่อนที่เฟิ่งชิงเฉินใช้การให้เลือดในการช่วยตน และกลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใช้วิธีดังกล่าวอีกครั้ง เขาจึงได้ก้าวออกมาร้องขอแทนนางว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ เฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงแค่สตรีคนหนึ่ง ต่อให้นางจะเก่งกาจเพียงใดแต่ความสามารถก็มีขีดจำกัด”
เอ๋? เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยความงงงวย
ลั่วอ๋องปฏิบัติดีต่อนางเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จู่ๆ กลับก้าวออกมาร้องขอความเมตตาแทนนาง การที่คราก่อนนางปฏิเสธ จะเป็นพระสนมรองของลั่วอ๋องไม่ได้เป็นการทำให้เขาต้องขุ่นเคืองหรือ?
“ทำไมกัน เจ้ากังวลว่าพ่อจะลงโทษนาง?” แท้จริงแล้วองค์จักรพรรดิค่อนข้างให้ความหวังต่อตงหลิงจื่อลั่วมาก เพียงแต่หลายเรื่องที่ผ่านมาช่วงนี้ทำให้องค์จักรพรรดิรู้สึกผิดหวังในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกชายคนนี้ของเขาดียิ่งนัก ค่อนข้างมีเมตตากับสตรีเสียจนเกินไป สตรีในสายตาขององค์จักรพรรดิเทียบไม่ได้แม้แต่เครื่องมือที่ใช้ในการสืบทอด สตรีในสายตาขององค์จักรพรรดิเป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้น และการที่จะมีความรู้สึกดีกับของเล่นเหล่านี้ช่างโง่เง่ายิ่งนัก
“ลูกเพียงไม่อยากให้เฟิ่งซิ่วตื่นตระหนกมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามดูเหมือนชีวิตของคุณชายหลี่จะตกอยู่ในความเป็นความตาย ลูกเพียงหวังว่าเฟิ่งซิ่วจะสามารถรักษาเขาได้ตามปกติ เช่นนี้จึงจะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น” ประโยคนี้ของตงหลิงจื่อลั่วดูเหมือนจะมีความเห็นส่วนตัว แต่เหตุผลนั้นก็กล่าวได้อย่างสมเหตุสมผล การที่หมอรู้สึกประมาทจนเกินไปอาจทำให้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงขึ้นในการวินิจฉัย
องค์จักรพรรดิพยักหน้า “อืมมีเหตุมีผล ชิงเฉิน เจ้าเพียงทำให้ดีที่สุดก็พอ”
“เพคะฝ่าบาท” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดูบางเบาลง ทำให้คนฟังรู้สึกว่าผ่อนคลายลงไม่น้อย แต่มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าความกังวลใจนี้ ยังคงอยู่ห่างจากนางมากเหลือเกิน
จะทำอย่างไรได้เล่า เพราะหลานจิ่วชิงได้เผยความจริงกับนางไว้แล้วล่วงหน้า ดังนั้นนางจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจในการรักษาหลี่เซี่ยง
หลี่เซี่ยงไม่ได้อยู่ในศูนย์กลางของระเบิดเลย และจากที่หลานจิ่วชิงกล่าวมาดูเหมือนหลี่เซี่ยงจะสวมชุดเกราะป้องกันระเบิดอีกด้วย การที่ร่างกายของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ นั่นหมายความว่าระเบิดนั้นไม่ทำอันตรายเขาเลย คนที่โชคร้ายมีเพียงนางในและขันทีของตำหนักชิงเหยียนเท่านั้น
หึๆ…… เขามาจากยุคปัจจุบันไม่ใช่หรือ? เขาสนับสนุนให้ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือ? แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตซึ่งขึ้นอยู่กับความเป็นความตาย เขากลับผลักเอาคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ได้รับการศึกษาด้านกฎหมายแล้วอย่างไร ความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยปิดบังสิ่งนี้
ภายใต้การนำทางของนางใน เฟิ่งชิงเฉินจึงเดินเข้าไปในห้องโถงด้านในแล้วปิดผ้าม่านให้สนิท ประกอบกับนางในมากมายและหมอหลวงที่อยู่ด้านใน เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินตรงเข้าไปจึงรู้สึกถึงอากาศที่ร้อนอบอ้าว
“เฟิ่งชิงเฉิน ในที่สุดเจ้าก็มาสักที เร็วเข้า เชิญดูเถิดคุณชายผู้นี้เป็นอะไรไป” ซุนเจิ้งเต้ารู้ดีว่าคนในสำนักหมอหลวงไม่อยากจะเห็นเฟิ่งชิงเฉินนัก ดังนั้นเมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินตรงเข้าไปเค้าจึงได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยตนเอง
เขาเป็นถึงหัวหน้าสำนักหมอหลวงที่สง่างามเพียบพร้อม ต่อให้หมอหลวงคนอื่นๆ ไม่ชื่นชอบและต่อต้านเฟิ่งชิงเฉินสักเพียงไร บัดนี้ก็จำเป็นจะต้องเข้าไปทักทาย
การทำให้เฟิ่งชิงเฉินขุ่นเคืองใจไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือการเป็นปรปักษ์ต่อหัวหน้าสำนักหมอหลวงไม่ใช่ความคิดอันชาญฉลาด หากว่าหัวหน้าสำนักหมอหลวงใส่ร้ายพวกเขาเขาก็คงจะสูญเสียแม้กระทั่งชีวิต
เฟิ่งชิงเฉินหันไปทักทายกับทุกคนด้วยใบหน้าอันอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อได้ยินคำกล่าวทักทายจากหมอหลวงทั้งหลาย นางจึงได้รีบปฏิเสธและทำท่าทางต่ำต้อย หลังจากได้ยินผลการวินิจฉัยของหมอหลวงทั้งหลายแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ทำท่าทางราวกับได้รับความรู้ใหม่ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะสรรเสริญเยินยอ
แท้จริงแล้วอาชีพหมอมีความเฉพาะเจาะจงและค่อนข้างใส่ใจเรื่องของลำดับความอาวุโส เฟิ่งชิงเฉินนับได้ว่าเป็นผู้อาวุโสอันดับท้ายๆ ดังนั้นการที่นางทำท่าทางสรรเสริญเยินยอก็นับว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว
ก่อนหน้านี้นางต้องการที่จะเยินยอพวกเขา แต่ก็ไม่มีใครเลยเห็นลูกกำพร้าไร้ที่พึ่งเช่นนางอยู่ในสายตา นางจึงทำได้เพียงแสดงท่าทีเย่อหยิ่ง จึงจะไม่ถูกผู้อื่นรังแก
บัดนี้ตัวตนของนางแตกต่างไปจากเดิม ประกอบกับการที่หวังจิ่นหลิงเดินทางกลับมาตงหลิงแล้วมีชื่อเสียงโด่งดังกว่าเดิม นางจึงกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมมากในเมืองหลวง
บัดนี้นางมีคุณสมบัติพอที่จะเย่อหยิ่ง แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น นางไม่หยิ่งยโสเหมือนเช่นแต่ก่อน ไม่อย่างนั้นคงจะถูกกล่าวขานว่านางใช้อำนาจรังแกคนอื่น ผู้ที่ยืนยิ่งสูงยิ่งต้องอ่อนน้อมถ่อมตนและเจียมตัว เหตุผลหลักการนี้ไม่ว่าที่ได้ก็นำไปใช้ได้เสมอ
ตราบใดที่อยู่ในจุดต่ำต้อย การถ่อมตนของเจ้าคนอื่นจะมองว่าเป็นความต่ำ หากชื่นชมผู้อื่นจะมองว่าเป็นการยกยอ แต่เมื่อไหร่ที่อยู่ในจุดสูง การถ่อมตนนับว่าเป็นความสง่างาม การเยินยอก็ดูเหมือนคนได้รับการศึกษา
เรื่องเดียวกันแต่ตัวตนของคนแตกต่างกัน ผลที่ออกมานั้นช่างต่างกันอย่างชัดเจน