ลู่เส้าหลินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้กำลังรอให้นางเอ่ยปากขึ้นเอง แต่นางจะไม่ยอมกล่าวเด็ดขาด นางยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้กังวลไปก็ไร้ประโยชน์
นางเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาข้างมือขึ้นมาจิบเบาๆ เพื่อระงับความตื่นตระหนกในใจนาง
ลู่เส้าหลินเฝ้าสังเกตท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินตลอดเวลา เขาคิดว่าการที่ตนกล่าวออกไปเช่นนี้ จะต้องสร้างความตื่นตระหนกแก่เฟิ่งชิงเฉินอย่างแน่นอน และนางจะต้องถามขึ้นอย่างกังวลใจ แต่คาดไม่ถึงว่านอกจากความตกตะลึงในตอนแรกแล้ว นางกลับไม่มีท่าทางความวิตกกังวล ท่าทางอันสงบนิ่งนี้ดูไม่เหมือนหญิงสาวในวัยนี้เอาเสียเลย
ในใจของลู่เส้าหลินรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก ความไม่พอใจของเขาก็สิ้นสุดลง เขาถามกลับแทนที่จะตอบ “ในเมื่อเฟิ่งซิ่วไม่ได้เดินทางมาที่นี่เพื่อเรื่องตระกูลซุน แล้วเฟิ่งซิ่วเดินทางมาที่นี่เพื่อสิ่งใด”
หากไม่มีเรื่องอันใดคงจะไม่เดินทางมา ผู้คนที่เดินทางมายังจวนลู่โดยมากแล้วก็จะมาขอความช่วยเหลือจากเขา และเนื่องจากว่านางคือเฟิ่งชิงเฉิน เพราะหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปมาที่จวนลู่คงไม่อาจพบเขาได้
เฟิ่งชิงเฉินวางถ้วยน้ำชาลงแล้วยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น “ใต้เท้าลู่ หากข้ากล่าวว่าข้าเพียงแค่ไม่มีสิ่งใดทำ ดังนั้นจึงเดินทางมาเยี่ยมท่านที่จวนลู่ และนำของขวัญเล็กน้อยมาให้ ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
นี่คือเรื่องจริง แต่แน่นอนว่าลู่เส้าหลินคงจะไม่เชื่อ เพราะหากว่าเป็นนางล่ะก็นางเองก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่ด้วย
ส่วนจวนซุนที่ลู่เส้าหลินกล่าวออกมานั้น ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินจะพอเดาได้ว่าเป็นจวนของซุนยี่จิ่นแต่ในเมื่อ ตกอยู่ในมือของลู่เส้าหลิน ฟังจากน้ำเสียงของลู่เส้าหลินที่ถอนหายใจออกมาแล้วนั้นนางจึงได้รู้ว่าตระกูลซุนและความสัมพันธ์ของนาง เขาคงไม่ทำให้ตระกูลซุนต้องรู้สึกอึดอัดใจ ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อน
“ข้าเชื่อ” ลู่เส้าหลินเชื่อว่าสายตาของตนจะมองไม่ผิดไป ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเมื่อครู่ดูเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
“ของขวัญที่นำมามอบให้ใต้เท้าลู่นั้น ลู่ฮูหยินได้นำมันเก็บไปไว้แล้วในห้องหนังสือ ประเดี๋ยวท่านใต้เท้าลู่อย่าลืมไปดูเล่า” ส่วนของขวัญคืออะไรนั้น ทุกคนแท้จริงก็รู้อยู่ การที่เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจกล่าวออกมาเพียงเพราะนางต้องการบอกกับลู่เส้าหลิน ว่านางจดจำลู่เส้าหลินได้เป็นอย่างดี
“แค่กๆ ……” เรื่องเช่นนี้ถูกสตรีตัวเล็กๆ เช่นนางกล่าวออกมาจึงทำให้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ใบหน้าของลู่เส้าหลิงแดงเรื่อ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านลมผ่านฝนมามากมาย ในที่สุดก็สงบอารมณ์ลง “ต้องขอบคุณเฟิ่งซิ่วที่จำได้”
หากว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เดินทางมา และเขาเป็นผู้เดินทางไปเอง ในฐานะบุรุษ เรื่องเช่นนั้นเพียงแค่ได้ลิ้มรส เขาจะยอมปล่อยมันไปได้ง่ายได้อย่างไร เพียงแต่ยังหาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้ก็เท่านั้น
ในวันนี้เขายังคิดอยู่ว่าเขาจะอ้างเหตุผลเรื่องของตระกูลซุน แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับเขามาหาเขาด้วยตนเอง อีกทั้งไม่มีข้อร้องขอใด ทำให้ลู่เส้าหลินรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก
“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับใต้เท้าลู่ ชิงเฉินจะกล้าละเลยได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นด้วยท่าทางสงบ เพียงแต่นางไม่กล่าวถึงเรื่องตระกูลซุนออกมาด้วยตนเอง
ลู่เส้าหลินแอบด่าอยู่ในใจว่า เฟิ่งชิงเฉินนับวันยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณและความมีน้ำใจของเฟิ่งชิงเฉิน ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขึ้นด้วยตนเองว่า “เฟิ่งซิ่ว ในวันนี้องครักษ์เสื้อโลหิตได้เชิญใต้เท้าซุนไปดื่มน้ำชา”
น้ำชาขององครักษ์เสื้อโลหิตนั้นไม่ใช่สิ่งดีอะไร โดยมากคนที่เข้าไปดื่มน้ำชาขององครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว แทบไม่มีใครมีชีวิตออกมาได้อีกเลย ยกเว้นเฟิ่งชิงเฉินและมารดาของนาง
“เพราะเรื่องอะไร?”
“ทุจริต” เมื่อลู่เส้าหลินได้ยินเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามเช่นนั้นเขาก็รู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น
แท้จริงแล้วเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ดูเชยเมยอย่างที่เห็น จากที่เขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉิน นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญ กับความรู้สึกมากยิ่งนัก ซุนยี่จิ่นเสียชีวิตเนื่องจากนาง แน่นอนว่านางจะไม่เยือกเย็นต่อจวนซุนอย่างแน่นอน
“ทุจริต? เรื่องเล็กน้อยเท่านี้จะต้องเชิญไปที่องครักษ์เสื้อโลหิตด้วยหรือ? ในโลกนี้มีขุนนางคนใดบ้างที่ไม่ทุจริต?” เฟิ่งชิงเฉินเยาะเย้ยออกมาว่า “ใต้เท้าลู่ ในตงหลิงนี้มีขุนนางคนใดที่ไม่ทุจริตบ้าง?”
“แค่กๆ……” ลู่เส้าหลินเกือบสำลักน้ำชาตาย
เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่ามีความหมายบางอย่างจากประโยคของเฟิ่งชิงเฉินเมื่อครู่ ในตงหลิงนี้มีขุนนางที่ไม่ทุจริตหรือไม่เขาไม่รู้ เขารู้เพียงแค่ว่าเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ใต้เท้าซุนทุจริตเงินจากการบรรเทาภัยพิบัติที่เจียงหนาน การทุจริตในวงการขุนนางนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่จะต้องทำให้สะอาดหมดจด ทุจริตเงินที่ได้มาจากการบรรเทายิ่งไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลย เพราะว่าเงินที่ใช้ในการบรรเทาเหล่านี้ค่อนข้างมาก
“ใต้เท้าซุนทุจริตเงินบรรเทาทุกข์หรือ ตำแหน่งเขาคืออะไร?” เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว เหตุใดจึงไม่ทุจริตเงินอื่น กลับไปทุจริตเงินบรรเทาภัยพิบัติ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือการที่ถูกคนจับได้ เหตุการณ์เช่นนี้เมื่อถูกจับได้ล่ะก็ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ องค์จักรพรรดิก็จะสั่งทำลายล้างครอบครัวทั้งตระกูล
“รองเจ้ากรมคลัง” ลู่เส้าหลินจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน เขาต้องการรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจหรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินเบิกตากว้าง “อะไรนะ? รองเจ้ากรมคลัง? เขาได้เลื่อนตำแหน่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อครึ่งปีก่อนใต้เท้าซุนยังเป็นขุนนางที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ ต่อให้เป็นจรวดยังไม่อาจพุ่งขึ้นไปได้รวดเร็วเช่นนี้!”
รองเจ้ากรมคลัง หึๆ รองเจ้ากรมคลัง? เห็นได้ชัดว่ามีคนขุดหลุมพราง แล้วรอให้เขากระโดดลงไป
ลู่เส้าหลินพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล่าวถึงแนวคิดนี้ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจ เรื่องนี้มีคนมุ่งเป้าหมายไปที่บิดาของซุนยี่จิ่น และได้จัดเตรียมจัดการเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว
สองเดือนก่อน เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งก็รับผิดชอบเงินบรรเทาสาธารณภัยในเจียงหนาน เรื่องนี้บันทึกที่จวนเจิ้นกั๋วกงมีหลักฐานมากมาย ลู่เส้าหลินเองก็ไม่ได้ปิดบัง เขากล่าวทุกสิ่งที่รู้ออกมา
“เจิ้นกั๋วกง? เป็นคนที่จัดการยากจริงๆ การรังแกข้าคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ หรือ? ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดูมืดมนลง รัศมีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาจากร่างของนาง ทำเอาเสียจนลู่เส้าหลินตกใจจนสะดุ้ง เฟิ่งซิ่วช่างเหมือนนายพลเฟิ่งเหลือเกิน น่าเกรงขามสง่างาม
“เจิ้นกั๋วกงได้ไปลากระเบิดมาจากภูเขาเหลียนเฉินเป็นคันรถให้แก่องค์จักรพรรดิ” ลู่เส้าหลินรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่กระทำการใดอย่างหุนหันพลันแล่น แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องเอ่ยเตือนนางว่าบัดนี้เจิ้นกั๋วกงค่อนข้างได้รับความนิยม การเผชิญหน้ากับเขาโดยตรงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดนัก
“ว่าอย่างไรนะ? ระเบิดหรือ? หลี่เซี่ยงสร้างมันมาหรืออย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงมากจริงๆ เดิมทีนางคิดว่าทำให้เจ้าหลี่เซี่ยงกลายเป็นคนพิการเช่นนั้นแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นเขาคงจะไม่ก่อเรื่องอีก แต่คิดไม่ถึงว่า……
ทุกวันนี้ไม่มีใครโง่ไปกว่าใคร นางมองคนง่ายไปจริงๆ
“เรื่องนี้คนที่รู้มีไม่มาก” ในฐานะผู้บัญชาการทหารองครักษ์เสื้อโลหิต เขามีช่องทางเป็นของตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า เป็นความหมายว่านางจะไม่พูดออกไปอย่างแน่นอน แม้นางจะไม่พออกพอใจหลี่เซี่ยงนัก แต่ก็จะไม่ให้ลู่เส้าหลิงรู้ถึงความรู้สึกนี้ เพราะถึงอย่างไรลู่เส้าหลินก็เป็นคนขององค์จักรพรรดิ
“ขอขอบพระคุณใต้เท้าลู่ยิ่งนักที่เอ่ยเตือนข้า ชิงเฉินรู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไร” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับลู่เส้าหลิง
“เฟิงซิ่วเกรงใจกันมากไปแล้ว เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ลู่เส้าหลินรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเอนกายไปด้านข้างไม่กล้ารับการคำนับนั้นจากนาง เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องอึดอัดใจ “ใต้เท้าลู่ บุตรสาวของใต้เท้าซุนนั้นมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ตอนที่ใต้เท้าซุนอยู่ในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต ขอใต้เท้าลู่โปรดดูแลเขาด้วยเถิด ใต้เท้าซุนอายุมากแล้วเกรงว่าจะไม่อาจอดทนได้กับบทลงโทษในคุก”
“เฟิ่งซิ่ววางใจ ใต้เท้าซุนจะไม่รู้สึกอึดอัดใจยามอยู่ในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตอย่างแน่นอน ข้าเชื่อว่าใต้เท้าซุนไม่ใช่คนเช่นนั้น” ลู่เส้าหลินรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินจะต้องเข้ามาจัดการเรื่องของใต้เท้าซุนอย่างแน่นอน
เขาเองก็อยากจะเห็นนักว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีความสามารถสักเพียงไร จะจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่?
“ขอบพระคุณใต้เท้าลู่ เรื่องของใต้เท้าซุนที่กลายมาเป็นเช่นนี้ คาดว่าตระกูลซุนแต่ละคนคงจะเดือดร้อนกังวลใจยิ่งนัก ชิงเฉินจะเดินทางไปที่จวนซุนสักหน่อย รบกวนใต้เท้าลู่บอกกับลู่ฮูหยินว่าชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจในความเมตตาของนางยิ่งนัก แต่ในวันนี้คงจะไม่รบกวนเรื่องอาหารค่ำ ไว้วันหลังชิงเฉินจะเดินทางมาขอโทษด้วยตนเอง”
ลู่เส้าหลินก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้ ขณะเดียวกันได้กล่าวขึ้นอย่างใจกว้างว่า “เฟิ่งซิ่ว หากคนในตระกูลซุนเป็นกังวลใจเเล้วก็ ในวันพรุ่งนี้ให้พวกเขาเดินทางไปที่หน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตได้”
นั่นหมายความว่าเขาอนุญาตให้คนในตระกูลซุนเข้าไปเยี่ยมได้ในเรือนจำ
เฟิ่งชิงเฉินแววตาเป็นประกายแล้วพยักหน้า “บุญคุณและความเมตตาของใต้เท้าลู่ ชิงเฉินจะจดจำไว้ในใจ”
นี่เป็นความเมตตาอย่างยิ่ง ต้องรู้ไว้ว่าในขณะนั้นที่นางถูกส่งเข้าไปในองครักษ์เสื้อโลหิต แม้แต่หวังจิ่นหลิง อวี่เหวินหยวนฮั่วก็ยังไม่อาจเข้าไปหานางที่เรือนจำได้
ลู่เส้าหลิงผู้นี้น่าสนใจไม่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินขึ้นรถม้าไปจากนั้นมุ่งไปทางจวนซุน เป็นไปดังที่เฟิ่งชิงเฉินคาดคิดเอาไว้จริงๆ คนในตระกูลซุนดูท่าทางร้อนรนแววตามืดมนไร้ซึ่งชีวิตชีวา
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา ในครานั้นที่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเป็นรองเจ้ากรมคลัง เหตุใดคนในตระกูลซุนจึงไม่คิดให้มากกว่านี้เล่า ใต้หล้าท้องฟ้านี้ไม่มีสิ่งใดดีๆ จะร่วงลงมาโดยไม่มีเหตุผล ต่อให้มีจริงๆ ก็คงไม่บังเอิญถูกเข้ากับพวกเขาเช่นนี้
แม้จะไม่พอใจที่คนในตระกูลซุนประมาทเลินเล่อ แต่เมื่อนึกถึงซุนยี่จิ่น นึกถึงว่าตระกูลซุนต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้ ไม่น้อยก็มากคงเกี่ยวข้องกับตัวนางแน่ ดังนั้นความไม่พอใจจึงได้ลดน้อยลงจนจางหาย……